Turning back the clock on your skin has never been more achievable.
ตัวช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ด้วยกลไกทางกายภาพ คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวหน้าและกาย

รีวิวงานผิว Biostimulator


NeoFilera คืออะไร? นวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูผิว
NeoFilera คือนวัตกรรมการฉีดสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) ที่ไม่ใช่แค่การเติมเต็มแบบชั่วคราว แต่เป็นการเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน เพื่อคืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติและยั่งยืน
หัวใจสำคัญของ NeoFilera คือส่วนประกอบที่ทรงพลัง 2 ชนิด ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
- PDLLA (Poly-D, L-lactic-acid): สารสกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยสูงและสามารถเข้ากับร่างกายได้ดี PDLLA เป็นสารสำคัญที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์หลักในชั้นผิวหนังแท้ ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง เมื่อคอลลาเจนในผิวเพิ่มขึ้น ผิวของเราก็จะค่อยๆ แข็งแรง แน่นฟู และกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
- CMC (Carboxymethyl cellulose): สารเพิ่มความหนืดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและคงตัวสูง ทำหน้าที่เป็น “ตัวพา” (Carrier) ให้กับ PDLLA และยังช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกให้ดูตื้นขึ้นได้ทันทีหลังการฉีด ทำให้เราเห็นผลลัพธ์เรื่องความอิ่มฟูได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำค่ะ

กลไกการทำงานและจุดเด่นของ NeoFilera
จากภาพที่คุณส่งมาจะเห็นได้ว่า อนุภาคของ PDLLA ใน NeoFilera ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะเป็น Compact Spherical Beads หรือทรงกลมที่มีขนาดเล็กเพียง 25-35 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนค่ะ
ด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้อนุภาคของ PDLLA สามารถกระจายตัวใต้ผิวได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เกาะกันเป็นก้อน จึงลดโอกาสการเกิดก้อนใต้ผิวหนัง (Nodule) ซึ่งเป็นข้อกังวลของการใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนในอดีตค่ะ
เมื่อฉีด NeoFilera เข้าสู่ชั้นผิว
- ผลลัพธ์ทันที (Immediate Effect): โมเลกุลของ CMC จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิว ช่วยให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและผิวดูอิ่มฟูขึ้นทันที
- การฟื้นฟูระยะยาว (Long-term Rejuvenation): หลังจากนั้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ CMC จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ และเป็นช่วงเวลาที่ PDLLA เริ่มกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ผิวที่แน่นกระชับและแข็งแรงจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และคงอยู่ได้ยาวนาน 1-2 ปี

ตำแหน่งที่แนะนำในการฉีด NeoFilera เพื่อแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด
โปรแกรม NeoFilera เป็นโปรแกรมบูสต์ผิวที่สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งทั่วใบหน้า ลำคอ และหลังมือ เพื่อแก้ปัญหาผิวในแต่ละจุดได้อย่างตรงจุด โดยจุดเด่นคือไม่ทิ้งรอย ไม่บวม และไม่ต้องพักฟื้นค่ะ
- ใต้ตา (ใต้ตาคล้ำ / ผิวแห้ง): ช่วยฟื้นฟูร่องลึกใต้ตา ลดความหมองคล้ำ เติมความชุ่มชื้นให้ใต้ตาดูสดใสขึ้นทันทีหลังฉีดค่ะ
- ร่องแก้ม / ร่องมุมปาก: ช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้นบริเวณร่องแก้มและมุมปาก พร้อมเติมเต็มผิวที่ขาดความยืดหยุ่นให้ดูเรียบเนียนและอิ่มฟูขึ้นค่ะ
- หน้าผาก / ขมับ: สามารถเติมเต็มขมับที่ตอบหรือลึกให้ใบหน้าได้สัดส่วนที่สวยงามมากยิ่งขึ้น พร้อมปรับผิวบริเวณหน้าผากให้เรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ขึ้นค่ะ
- กรอบหน้า: ช่วยให้ผิวบริเวณกรอบหน้าดูกระชับขึ้น ลดความหย่อนคล้อย ทำให้กรอบหน้าคมชัดและผิวดูเต่งตึงอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
- คอ (ลำคอและเนินอก): สามารถลดเลือนริ้วรอยบริเวณลำคอและเนินอกที่มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอายุ ช่วยเติมความชุ่มชื้นและความเรียบเนียนให้ผิวบริเวณนี้กลับมาสวยงามอีกครั้งค่ะ
- หลังมือ: เติมความอิ่มฟูให้ผิวบริเวณหลังมือที่ดูเหี่ยวย่นหรือเห็นเส้นเลือดชัดเจน ให้กลับมาดูเต่งตึง อิ่มเอิบ และผิวแน่นกระชับขึ้นค่ะ
ความแตกต่างของโปรแกรม Neofilera, Lenisna, Juvelook, Aesthefill
ผลิตภัณฑ์ | ส่วนประกอบ | จุดเด่น | ผลลัพธ์ | แนะนำการฉีด |
---|---|---|---|---|
Neofilera | PDLLA 150 mg. + CMC 50 mg. | อนุภาครูปทรงกลม กระจายตัวสม่ำเสมอ กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ลดริ้วรอย ปรับสีผิว เพิ่มความชุ่มชื้น | 12 – 24 เดือน | 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน |
Lenisna | PDLLA 170 mg. + HA 30 mg. (non-crosslinked) | เพิ่มความยืดหยุ่น พยุงโครงสร้างผิว คืนวอลลุ่มให้ผิวแน่นกระชับ | 12 – 24 เดือน | 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน |
Juvelook | PDLLA 42.5 mg. + HA 7.5 mg. (non-crosslinked) | ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู สว่างกระจ่างใส ลดรอยแผลเป็น รักษาสิวอย่างมีประสิทธิภาพ | 12 – 18 เดือน | 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน |
Aesthefill | PDLLA | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยยกกระชับผิว เพิ่มความกระจ่างใส | 12 – 24 เดือน | 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน หรือ 1 เดือนครั้ง* |
PDLLA + CMC กับ PN
โปรแกรม | NeoFilera | Plinest |
---|---|---|
ตัวยา | PDLLA + CMC | PN (Polynucleotide) จาก DNA ปลา Trout |
กลไกการทำงาน | กระตุ้น Fibroblast สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน | กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน, ลดการอักเสบ, ซ่อมแซม DNA ผิว, เพิ่มความชุ่มชื้น |
ผลลัพธ์หลัก | เพิ่มคอลลาเจนใต้ชั้นผิว, ผิวกระชับ | ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมโทรม, ลดเลือนริ้วรอยตื้นๆและหลุมสิว, กระชับรูขุมขน, ผิวชุ่มชื้น |
วิธีการใช้ | ฉีดเข็มทู่เข้าใต้ผิวหนัง (Subdermal) | ฉีดเข็มแหลมขึ้นตุ่มบนผิวหนัง (Intradermal) |
เวลาเห็นผล | ค่อยๆ เห็นผลประมาณ 12 สัปดาห์ | ค่อยๆ เห็นผลประมาณ 4 สัปดาห์ |
เวลาผลลัพธ์ | ประมาณ 12 เดือน | ประมาณ 12 เดือน |
เน้นการรักษา | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว และเพิ่มความกระชับผิว | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผิวชั้นบน, ลดการอักเสบ, ซ่อมแซมผิว |
เหมาะสำหรับ | ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดกระตุ้นคอลลาเจน ผิวหย่อนคล้อย | ผิวหมองคล้ำเสื่อมโทรม, มีริ้วรอย, ขาดความชุ่มชื้น, หลุมสิว, รูขุมขนกว้าง |
เลือกตามปัญหาผิว
สภาพผิว | ตัวเลือกที่เหมาะสม |
---|---|
ผิวขาดน้ำ ดูไม่ชุ่มชื้น | ✔️ Profhilo |
เริ่มหย่อนคล้อยเล็กน้อย | Profhilo หรือ Neofilera (หรือใช้ร่วมกัน) |
ใต้ตาลึก / ผิวบาง / กรอบหน้าหาย | ✔️ Neofilera หรือ HA Filler |
เคย Laser แล้วไม่ดีขึ้น | ✔️ Neofilera หรือ Plinest |
อยากหน้าอ่อนกว่าวัยแบบไม่ฉีดฟิลเลอร์ | ทั้ง 2 ตัว เหมาะต่างบริบท |
NeoFilera เหมาะกับใครและช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง?
NeoFilera เป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวและความกังวลดังต่อไปนี้ค่ะ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย: ขาดความกระชับ แก้มตก กรอบหน้าไม่คมชัด
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก: เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือริ้วรอยบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเสื่อมโทรม: ผิวขาดความยืดหยุ่น แห้งกร้าน ดูไม่สดใส
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ: ต้องการให้ผิวค่อยๆ ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนเกินไป
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนาน: ไม่อยากฉีดสารเติมเต็มบ่อยๆ เนื่องจาก NeoFilera ให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับการดูแลและสภาพผิวของแต่ละบุคคล)
- ผู้ที่กังวลเรื่องผลข้างเคียง: ด้วยอนุภาคทรงกลมของ PDLLA ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงการเกิดก้อน

ขั้นตอนการเตรียมตัวและการดูแลหลังฉีด NeoFilera
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ควรมีการเตรียมตัวและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ
ก่อนการรักษา:
- งดรับประทานยาหรือวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, วิตามินอี, น้ำมันปลา อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมงก่อนทำ
- แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบโดยละเอียด
หลังการรักษา:
- อาจมีรอยแดง บวม หรือรอยเข็มเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 2-3 วัน สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมได้ค่ะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดแรงๆ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- งดการแต่งหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การเข้าซาวน่า และการสัมผัสความร้อนสูงประมาณ 1 สัปดาห์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อปกป้องผิวและรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น
โดยสรุปแล้ว NeoFilera ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและยกกระชับผิวอย่างล้ำลึก ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและยาวนาน โดยไม่ต้องพักฟื้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาวิธีคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาการรักษาด้วย NeoFilera ก็อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหาอยู่ค่ะ
NeoFilera ราคาเท่าไหร่
จำนวน (1 ขวด มี 10 cc) | ราคารวม |
---|---|
1 | 17,900.- |
2 | 33,900.- |
3 | 43,900.- |
“ไหมน้ำ” คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้การ “ฉีด” สารกระตุ้นคอลลาเจนลงใต้ผิวหนังเพื่อฟื้นฟูให้ผิวกลับมาเต่งตึง กระชับ แลดูอ่อนเยาว์ โดย ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น เหมือนการร้อยไหมแบบเดิมๆ ค่ะ ซึ่งไหมน้ำแต่ละชนิดก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป เช่น PLLA (Sculptra) เน้นกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ, PDLLA (Juvelook) เป็นสูตรไฮบริดที่ทั้งกระตุ้นคอลลาเจนและเติมความชุ่มชื้น, PDO (Ultracol) ช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้ผิวตึงกระชับ และ PCL (Gouri) โดดเด่นเรื่องการลดริ้วรอยและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้แต่ละคนค่ะ
หากคนไข้ส่องกระจกแล้วเห็นว่าใต้ตา “เป็นร่องลึกชัดเจน” มีลักษณะยุบตัวลงไป การแก้ไขที่ตรงจุดคือ “การฉีดฟิลเลอร์” เพื่อเข้าไปเติมเต็มร่องนั้นให้ตื้นขึ้นค่ะ แต่ถ้าปัญหาหลักของคนไข้คือ “ผิวใต้ตาบาง” จนมองเห็นเป็นสีคล้ำๆ หรือมี “ริ้วรอยเล็กๆ” เยอะๆ แบบนี้การเลือกทำ “ไหมน้ำ” หรือ Biostimulator เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนาและแข็งแรงขึ้น จะเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากกว่าค่ะ ซึ่งในบางเคสอาจต้องทำทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนะคะ
สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ แม้ Juvelook และ Sculptra จะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่มีความถนัดคนละด้านค่ะ Juvelook จะเน้นการฟื้นฟู “คุณภาพผิว” ในองค์รวม เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ รูขุมขน และปัญหาใต้ตา ทำให้ผิวดูละเอียด เนียนใส และอิ่มฟูขึ้น ในขณะที่ Sculptra จะเน้นเรื่อง “การยกกระชับและปรับโครงสร้าง” เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ปรับกรอบหน้าให้คมชัด หรือเติมเต็มใบหน้าที่ดูตอบลงค่ะ
Juvelook ช่วยลดริ้วรอย แต่ไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือนโบท็อกซ์ Juvelook อาจช่วยปรับสภาพผิวและลดเลือนหลุมสิวได้บ้าง แต่ไม่ใช่วิธีการรักษาหลุมสิวโดยตรง
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ
ปัญหาขอบตาคล้ำและใต้ตาลึกถือเป็นหนึ่งในปัญหายอดฮิตของคนวัยทำงานและสาว ๆ หลาย ๆ คน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งกรรมพันธุ์ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือแม้แต่โครงสร้างผิวที่เริ่มบางลงเมื่ออายุมากขึ้น ปัจจุบันทางการแพทย์มีทางเลือกในการแก้ไขอยู่มากมาย ทั้งแบบแก้ด่วนและฟื้นฟูระยะยาว แต่สิ่งสำคัญคือแต่ละวิธีให้ผลลัพธ์และความรวดเร็วที่ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วน กลุ่มฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันทีหลังฉีด เหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนลุคในเวลาอันสั้น รองลงมาคือเมโสใต้ตาที่ช่วยให้ผิวใต้ตาสว่างกระจ่างใสในไม่กี่วัน ขณะที่เลเซอร์และ กลุ่มไหมน้ำ จะค่อย ๆ ฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติและชัดเจนในระยะยาว ดังนั้นการเลือกวิธีที่เหมาะสมจึงควรขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคนและความต้องการที่ชัดเจนค่ะ หมอทำข้อมูลเพิ่มเติมให้ด้านล่างนะคะ
คนไข้บอกรักพี่เสียดายน้อง อันนี้เพื่อนบอกดี ยี่ห้อนี้ ดาราบอกดี หมอสรุปให้แบบนี้ค่ะ
ทั้งสองตัวเป็นกลุ่ม “Biostimulator” คือยากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว แต่แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นและวิธีออกฤทธิ์ต่างกัน แบบนี้ถ้าเราฉีดพร้อมกันในวันเดียว หรือจุดเดียวกัน อาจทำให้ผิวสับสน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เต็มที่ หรือผิวมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อนแข็งหรือการอักเสบได้มากขึ้นค่ะ และที่สำคัญ เราจะไม่รู้ว่า ตัวไหนทำงานได้ดีกับผิวเรา เพราะมันเข้าไปพร้อมกัน จุดเดียวกัน นึกภาพตามหมอได้เลย
ถ้าคนไข้มีปัญหาหลายอย่าง หมอจะวางแผนเลือกใช้ให้เหมาะสม แยกเป็นรอบหรือเลือกต่างจุด อย่างเช่น Sculptra หมออาจใช้เติมวอลลุ่มลึกๆ ส่วน JuveLook เหมาะกับผิวบางหรือใต้ตา ผลัดกันดูแลทีละอย่าง จะปลอดภัยกว่าและได้ผลสวยนาน หมออยากให้คนไข้มั่นใจว่าวิธีนี้ปลอดภัยกับผิวหน้าที่สุดค่ะ
หลังจากฉีด Sculptra แล้ว แนะนำให้เว้นระยะห่างก่อนที่จะฉีด โบท็อกซ์ หรือ ฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ค่ะ
เหตุผลก็เพราะ Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึกซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะในการเซตตัวและกระจายวัสดุให้ทั่วบริเวณที่ฉีดค่ะ การรบกวนด้วยหัตถการอื่นๆ (เช่น การเติมฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์) อาจทำให้ผลลัพธ์ของ Sculptra ไม่สวยอย่างที่ควรจะเป็น หรือเพิ่มความเสี่ยงบวม/ช้ำมากขึ้น
ยกเว้นว่าอยากฉีดลดกราม สามารถฉีดไปพร้อมกันได้เลย เพราะโบท็อกซ์กรามฉีดเข้ากล้ามเนื้อกรามโดยตรง และไม่ส่งผลต่อการบวมช้ำ ทับซ้อนกับตำแหน่งฉีดพวก Biostimulator