ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

การตรวจเลือดจะบอกล่วงหน้าได้มั้ยว่าเราเสี่ยงเป็น Stroke

การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจเลือดทั่วไปนั้น สามารถบอกปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้ค่ะ แต่ไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นนะคะ สิ่งที่การตรวจเลือดบอกเราได้คือ ค่าระดับไขมันในเลือด, น้ำตาลในเลือด, การทำงานของไต ซึ่งค่าเหล่านี้หากผิดปกติ จะเป็นสัญญาณเตือนว่าหลอดเลือดของเราอาจกำลังมีปัญหา เช่น เริ่มแข็งตัวหรือมีไขมันไปเกาะ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของ Stroke ค่ะ ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงเป็นการคัดกรองความเสี่ยงเบื้องต้นที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือรับการรักษาปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดโรคค่ะ

นอกเหนือจากการตรวจเลือดแล้ว ปัจจุบันยังมีการตรวจที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเพื่อประเมินสุขภาพของหลอดเลือดโดยตรงเลยค่ะ อย่าง การตรวจ ABI (Ankle Brachial Index) ก็เป็นการวัดสมรรถภาพของหลอดเลือดแดงส่วนปลายเพื่อดูว่ามีการตีบตันหรือไม่ ซึ่งช่วยประเมินความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองได้ชัดเจนขึ้นค่ะ ดังนั้น การตรวจคัดกรองความเสี่ยงร่วมกับการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำให้เราทราบแนวทางการดูแลตัวเองส่วนบุคคลได้ดีที่สุด เพื่อป้องกัน “ภัยเงียบ” อย่าง Stroke ไม่ให้มาทำร้ายเราและคนที่เรารักได้ค่ะ อย่ารอให้มีอาการตามหลัก B-E-F-A-S-T แล้วค่อยรักษานะคะ เพราะทุกนาทีมีค่าจริงๆ ค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค กรุณาพบแพทย์หากมีอาการน่ากังวล

การตรวจเลือดสามารถทำนายความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองของคุณได้หรือไม่?
โรคหลอดเลือดสมองแตก

สัญญาณเตือน Stroke B-E-F-A-S-T

เวลาที่เราสงสัยว่าคนใกล้ตัวอาจมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ให้จำหลักการนี้ให้ขึ้นใจแล้วลองทำตามดูนะคะ เพราะทุกวินาทีมีค่ามากจริงๆ ค่ะ

  • B – Balance (การทรงตัว): อยู่ๆ ก็เกิดอาการ เดินเซ เดินเป๋ ทรงตัวลำบาก หรือเวียนศีรษะรุนแรงแบบบ้านหมุน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาการเหล่านี้เกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมการทรงตัวขาดเลือดไปเลี้ยงค่ะ ลองให้ผู้ป่วยลองยืนตรงหรือเดินดู ถ้ามีอาการเซอย่างเห็นได้ชัด ให้รีบสงสัยไว้ก่อนเลยค่ะ
  • E – Eyes (การมองเห็น): เกิดความผิดปกติกับการมองเห็นอย่างฉับพลัน เช่น มองเห็นภาพซ้อน ภาพเบลอ มองไม่ชัด หรือร้ายแรงที่สุดคือตาบอดข้างเดียวทันที เหมือนมีม่านมาบังภาพไปครึ่งหนึ่งค่ะ
  • F – Face (ใบหน้า): อาการนี้จะสังเกตได้ค่อนข้างชัดเจนค่ะ คือ กล้ามเนื้อใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง ทำให้มุมปากตก ปากเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลองให้ผู้ป่วยยิงฟันหรือยิ้มกว้างๆ จะเห็นเลยว่าใบหน้าทั้งสองซีกขยับไม่เท่ากันค่ะ
  • A – Arms (แขน): แขนขาซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง ชา หรือยกไม่ขึ้นแบบทันทีทันใด วิธีทดสอบง่ายๆ คือให้ผู้ป่วยลองยกแขนทั้งสองข้างค้างไว้ หรือกำมือแบมือสลับกัน จะพบว่ามีแขนข้างหนึ่งที่ตกลงมาหรือไม่สามารถทำตามได้ค่ะ
  • S – Speech (การพูด): มีปัญหาเรื่องการพูดอย่างกะทันหัน เช่น พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ พูดติดขัด นึกคำพูดไม่ออก หรือพูดจาสับสนไม่รู้เรื่อง ซึ่งเกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมการสื่อสารได้รับผลกระทบค่ะ
  • T – Time (เวลา): นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุดค่ะ! ทันทีที่พบอาการข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบโทรเรียกรถพยาบาล (เบอร์ 1669) ทันที อย่าลังเลหรือรอดูอาการเด็ดขาด เพราะทุกนาทีที่ผ่านไป เซลล์สมองจะยิ่งถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

ทำไมต้องรีบ? รู้จัก “Golden Period”

คำว่า “Golden Period” หรือ “ช่วงเวลาทอง” ในทางการแพทย์สำหรับโรคหลอดเลือดสมองนั้นหมายถึง ช่วงเวลาภายใน 4.5 ชั่วโมงแรกหลังจากผู้ป่วยเริ่มมีอาการ ค่ะ

เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ทีมแพทย์สามารถให้ “ยาละลายลิ่มเลือด” (Thrombolytic drug) ทางหลอดเลือดดำได้ค่ะ ยาตัวนี้จะเข้าไปสลายลิ่มเลือดที่อุดตัน ทำให้เลือดสามารถกลับไปเลี้ยงสมองส่วนที่ขาดเลือดได้อีกครั้ง ซึ่งจะช่วย ลดความรุนแรงของความเสียหายที่จะเกิดกับสมองได้อย่างมหาศาล

หากผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลและได้รับการรักษาภายใน Golden Period ก็จะมี โอกาสฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติได้สูงมาก และ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความพิการในระยะยาว เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ได้อย่างมีนัยสำคัญค่ะ แต่หากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปนานกว่านี้ การรักษาจะซับซ้อนขึ้น และเซลล์สมองส่วนนั้นอาจตายถาวรไปแล้ว ทำให้การฟื้นฟูทำได้ยากกว่ามากค่ะ

ดังนั้น การจดจำสัญญาณเตือน B-E-F-A-S-T และการรีบมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ดีที่สุดค่ะ

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย