ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

Sculptra คืออะไร

ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังหาข้อมูล

Biostimulator

ไม่มีเจตนาโปรโมทเครื่องมือแพทย์

รู้จักหมอต้าร์ ดีเลิฟเวอรี่คลินิก

พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

ใบอนุญาต ว.49465

แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านปรับรูปหน้าและการชะลอวัย ประจำดีเลิฟเวอรี่คลินิก

Sculptra คืออะไร กระตุ้นคอลลาเจนได้ยังไง ราคาเท่าไหร่ คำถามที่พบบ่อย

พบแพทย์ก่อนทุกเคส ไม่มีบวกเพิ่มภายหลัง รับกล่องกลับบ้าน ผสมตัวยาต่อหน้า ติดตามผลการรักษา

จุดเด่นของ Sculptra

The first & original collagen biostimulator คอลลาเจนที่มีความสําคัญกับผิวหนังของเรามากที่สุด ก็คือคอลลาเจน ประเภทที่ 1 Sculptra ช่วยกระตุ้น Collagen Type I ให้เพิ่มกว่า 66.5% สภาพผิวแก่ช้าลง 10 ปี นอกจากนั้น Sculptra มีสภาพที่คงตัวและเร่งปฏิกริยาการเพิ่ม Collagen ได้เอง ต่อเนื่องนาน 2 ปี ซึ่งนานที่สุดเท่าที่เคยมีงานวิจัยมา

  • ฟื้นฟูสภาพผิวที่หย่อนคล้อย
  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
  • พยุงโครงสร้างผิว ให้ผิวแน่นขึ้น
  • ยกกระชับ ปรับรูปหน้า
  • ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
  • หลังรับบริการ รักษาตามจุดที่หย่อนคล้อยเห็นผลว่าหน้ายกกระชับขึ้นทันที
  • หลังรักษาไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ เช่น บวม แดง เป็นก้อน
  • มาตรฐาน USFDA approved และผ่าน อย. ประเทศไทย มั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความปลอดภัย

Sculptra คืออะไร

Sculptra เป็นสารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีดที่ประกอบด้วยไหมน้ำชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารกระตุ้นคอลลาเจนในกลุ่มของ Biostimulator Sculptra ถือว่าเป็น Biostimulator ที่มีการศึกษาแล้วและมีผลกระตุนคอลลาเจนอย่างธรรมชาติได้ถึง 66.5% เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) และได้ใช้ตั้งแต่ปี 1999 โดยมีการฉีดจริงมาแล้วจากอเมริกาและจึงมีความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

Biostimulator เป็นการรักษาที่ใช้ในการแพทย์เพื่อชะลอวัยและการดูแลความงามโดยใช้หลักการกระตุ้น Natural Healing และ Regenerative process โดยการใช้สารบางอย่างในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมและฟื้นฟูด้วยตนเอง

สรุปง่ายๆ แบบไม่ต้องจำคำศัพธ์อะไรกันมากก็จะได้ประมาณว่า…

Sculptra เป็นสารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีดที่ใช้ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 โดยใช้ Biostimulator และมีผลลัพธ์ที่ยาวนานและปลอดภัยตามมาตรฐานการรักษาและอนุมัติจาก อย. แล้ว

คอลลาเจนคืออะไร สำคัญกับผิวเราอย่างไร

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกาย มักเปรียบเทียบกับโครงสร้างของร่างกาย คอลลาเจนมีหน้าที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ และอวัยวะอื่นๆ เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้เกิดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และปัญหาสุขภาพอื่นๆ

คอลลาเจนใต้ผิว

กระบวนการทำงานของ Sculptra

Sculptra ประกอบด้วยกรดโพลี-แอล-แลคติก (PLLA) ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ย่อยสลายได้ เมื่อฉีด Sculptra เข้าไปในผิวหนัง PLLA จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะค่อยๆ เติมเต็มและเพิ่มปริมาณของบริเวณที่ฉีด ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วงหลายเดือนและอาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี

Sculptra กับวิธีอื่นๆ ต่างกันอย่างไร

Sculptra แตกต่างจากวิธีการเสริมความงามอื่นๆ เช่น

  • สารเติมเต็มแบบชั่วคราว: สารเติมเต็มแบบชั่วคราว เช่น Restylane และ Juvederm ให้ผลลัพธ์ทันที แต่จะสลายตัวภายใน 6-12 เดือน
  • การผ่าตัด: การผ่าตัด เช่น การเสริมคางและการยกกระชับใบหน้า ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
  • การรักษาด้วยเลเซอร์และคลื่นความถี่วิทยุ: การรักษาด้วยเลเซอร์และคลื่นความถี่วิทยุสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้ แต่ผลลัพธ์มักจะไม่คงอยู่ถาวรเท่ากับ Sculptra

Sculptra กับ ฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร

Sculptra และฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มทั้งคู่ แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญบางประการ

  • องค์ประกอบ: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ย่อยสลายได้ ส่วนฟิลเลอร์ทั่วไปมักประกอบด้วยไฮยาลูโรนิกแอซิด ซึ่งเป็นสารที่พบตามธรรมชาติในร่างกาย
  • กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วนฟิลเลอร์จะเติมเต็มบริเวณที่ฉีดโดยตรง
  • ระยะเวลาผลลัพธ์: ผลลัพธ์ของ Sculptra อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี ส่วนฟิลเลอร์ทั่วไปจะสลายตัวภายใน 6-12 เดือน

Sculptra กับ เมโสหน้าใส ต่างกันอย่างไร

Sculptra และเมโสหน้าใสเป็นการรักษาที่แตกต่างกัน

  • จุดประสงค์: Sculptra ใช้เพื่อเพิ่มปริมาณและปรับรูปร่างของใบหน้าและร่างกาย ส่วนเมโสหน้าใสใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
  • สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วนเมโสหน้าใสประกอบด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิว
  • ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วนเมโสหน้าใสให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราวและมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Sculptra กับ Rejuran ต่างกันอย่างไร

Sculptra และ Rejuran เป็นการรักษาที่แตกต่างกัน

  • สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วน Rejuran ประกอบด้วยโพลีนิวคลีโอไทด์ (PN) ซึ่งเป็นสารที่พบในเซลล์ของร่างกาย
  • กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วน Rejuran กระตุ้นการซ่อมแซมและการฟื้นฟูเซลล์
  • ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วน Rejuran ให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราวและมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Sculptra กับ Gouri ต่างกันอย่างไร

Sculptra และ Gouri เป็นการรักษาที่แตกต่างกัน

  • สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วน Gouri ประกอบด้วยไฮดรอกซีอะพาไทต์ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกและฟัน
  • กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วน Gouri เติมเต็มบริเวณที่ฉีดโดยตรง
  • ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วน Gouri ให้ผลลัพธ์ที่ทันทีและถาวร

Sculptra กับ Exosome ต่างกันอย่างไร

Sculptra และ Exosome เป็นการรักษาที่แตกต่างกัน

  • สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วน Exosome เป็นถุงขนาดเล็กที่ปล่อยออกมาจากเซลล์และมีโปรตีนและโมเลกุลอื่นๆ
  • กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วน Exosome กระตุ้นการซ่อมแซมและการฟื้นฟูเซลล์
  • ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วน Exosome ให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราวและมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Sculptra เหมาะกับใคร

Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ

  • เพิ่มปริมาณและปรับรูปร่างของใบหน้าและร่างกาย
  • แก้ไขริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม

Sculptra ช่วยอะไรได้บ้าง

Sculptra สามารถใช้เพื่อช่วย

  • เติมเต็มบริเวณที่ยุบตัว เช่น ร่องแก้มและขมับ
  • ปรับรูปร่างของใบหน้า เช่น คางและจมูก
  • แก้ไขริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม

ขั้นตอนการฉีด Sculptra

ขั้นตอนการฉีด Sculptra มีดังนี้

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับเป้าหมายและความคาดหวังของคุณ
  2. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่ฉีด
  3. ฉีด Sculptra เข้าไปในบริเวณที่ต้องการโดยใช้เข็มขนาดเล็ก
  4. นวดบริเวณที่ฉีดเพื่อกระจาย Sculptra อย่างสม่ำเสมอ
  5. ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและรอยแดง

หลังฉีด Sculptra ดูแลตัวอย่างไร

หลังฉีด Sculptra ควรดูแลตัวเองดังนี้

  • ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและรอยแดง
  • หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่รุนแรง
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือซาวน่า

Sculptra ราคาเท่าไหร่

ราคาของ Sculptra แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้และบริเวณที่ฉีด โดยทั่วไปราคาอยู่ระหว่าง 20,000-50,000 บาทต่อครั้ง

ฉีด Sculptra อันตรายไหม

Sculptra เป็นสารที่ปลอดภัยและได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) อย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น

  • อาการบวมและรอยแดง
  • อาการปวดและช้ำ
  • การติดเชื้อ
  • การก่อตัวของก้อนแข็ง

ข้อควรระวังการฉีด Sculptra

ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อฉีด Sculptra ในบริเวณต่อไปนี้

  • บริเวณที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ
  • บริเวณที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน
  • บริเวณที่มีเส้นประสาทหรือเส้นเลือดสำคัญ

หลังฉีด Sculptra มีผลข้างเคียงไหม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Sculptra ได้แก่

  • อาการบวมและรอยแดง
  • อาการปวดและช้ำ
  • การติดเชื้อ
  • การก่อตัวของก้อนแข็ง
  • การแพ้

ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล

ผลลัพธ์ของ Sculptra จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วงหลายเดือน ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์อาจใช้เวลาถึง 6 เดือน

ฉีด sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง

จำนวนครั้งในการฉีด Sculptra ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความคาดหวังของคุณ โดยทั่วไปแล้วอาจจำเป็นต้องฉีด 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม

ผลลัพธ์ของ Sculptra อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี

Sculptra ของแท้ดูยังไง

Sculptra ของแท้จะมีคุณสมบัติต่อไปนี้

  • มีการปิดผนึกที่ปลอดภัย
  • มีฉลากที่ชัดเจนระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ปริมาณ และวันหมดอายุ
  • มีการติดตามและตรวจสอบได้

คนไข้บอกรักพี่เสียดายน้อง อันนี้เพื่อนบอกดี ยี่ห้อนี้ ดาราบอกดี หมอสรุปให้แบบนี้ค่ะ

ทั้งสองตัวเป็นกลุ่ม “Biostimulator” คือยากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว แต่แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นและวิธีออกฤทธิ์ต่างกัน แบบนี้ถ้าเราฉีดพร้อมกันในวันเดียว หรือจุดเดียวกัน อาจทำให้ผิวสับสน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เต็มที่ หรือผิวมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อนแข็งหรือการอักเสบได้มากขึ้นค่ะ และที่สำคัญ เราจะไม่รู้ว่า ตัวไหนทำงานได้ดีกับผิวเรา เพราะมันเข้าไปพร้อมกัน จุดเดียวกัน นึกภาพตามหมอได้เลย

ถ้าคนไข้มีปัญหาหลายอย่าง หมอจะวางแผนเลือกใช้ให้เหมาะสม แยกเป็นรอบหรือเลือกต่างจุด อย่างเช่น Sculptra หมออาจใช้เติมวอลลุ่มลึกๆ ส่วน JuveLook เหมาะกับผิวบางหรือใต้ตา ผลัดกันดูแลทีละอย่าง จะปลอดภัยกว่าและได้ผลสวยนาน หมออยากให้คนไข้มั่นใจว่าวิธีนี้ปลอดภัยกับผิวหน้าที่สุดค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

หลังจากฉีด Sculptra แล้ว แนะนำให้เว้นระยะห่างก่อนที่จะฉีด โบท็อกซ์ หรือ ฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ค่ะ

เหตุผลก็เพราะ Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึกซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะในการเซตตัวและกระจายวัสดุให้ทั่วบริเวณที่ฉีดค่ะ การรบกวนด้วยหัตถการอื่นๆ (เช่น การเติมฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์) อาจทำให้ผลลัพธ์ของ Sculptra ไม่สวยอย่างที่ควรจะเป็น หรือเพิ่มความเสี่ยงบวม/ช้ำมากขึ้น

ยกเว้นว่าอยากฉีดลดกราม สามารถฉีดไปพร้อมกันได้เลย เพราะโบท็อกซ์กรามฉีดเข้ากล้ามเนื้อกรามโดยตรง และไม่ส่งผลต่อการบวมช้ำ ทับซ้อนกับตำแหน่งฉีดพวก Biostimulator

อ่านเพิ่มเติม

ช่วง 5 ปีหลังมานี้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า “สายฉีด” ออกมาจนนับกันไม่หวาดไม่ไหว เดี๋ยวนี้แบรนด์ใหม่ทยอยเปิดตัว แค่เฉพาะ Skin Boosters+Biostimulator ก็นับได้เกือบ 20 แบรนด์ บางแบรนด์เคลมว่าผิวอิ่มน้ำทันที บางแบรนด์บอกกระตุ้นคอลลาเจนลึก ๆ จะเลือกตัวไหนดี

จริง ๆ แล้วหลัก ๆ ขอให้มองแยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ “Skin Boosters” เน้นเติมน้ำ เติมความชุ่มชื้นทันที เหมาะกับสายต้องการผิวใสฉ่ำวาวไว ๆ หมอเรียกว่าใช้หน้าด่วน อะไรแบบนั้น กับ “Biostimulators” ที่ไปกระตุ้นเซลล์ให้สร้างคอลลาเจนเอง ผลลัพธ์จะค่อย ๆ มาแต่ชัดในแง่ฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอยระยะยาว เลือกตามความต้องการของผิวเราดีที่สุดค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

Atelocollagen คือคอลลาเจนบริสุทธิ์ที่ผ่านการกำจัดส่วนที่อาจกระตุ้นภูมิแพ้ เหมาะสำหรับการฉีดเข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยฟื้นฟู เติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างของ Atelocollagen ใกล้เคียงกับคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกาย จึงปลอดภัยและลดความเสี่ยงการแพ้ได้มาก

เรียกว่าคอลลาเจนสดได้ไหม ก็ไม่ใช่ที่เข้าใจแบบในท้องตลอดอาหารเสริมนะคะ คนละอย่างกันเลย ในมุมของแพทย์ความงาม Atelocollagen คือคอลลาเจนที่มีความบริสุทธิ์สูง ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่แบบที่อยู่ในรูปครีมหรือผง Atelocollagen ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับกลุ่ม Biostimulator ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู แน่น กระชับ และฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายในค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

กระตุ้นคอลลาเจนด้วย Biostimulator หมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ผลลัพธ์และระยะเวลาที่เห็นได้จริงในแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ แม้ว่าผู้ผลิตจะมีข้อมูลวิจัยบอกว่าอยู่ได้นานกี่ปี แต่ตัวเลขพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการทดลองในกลุ่มคนจำกัดเท่านั้น ในชีวิตจริง สภาพผิว อายุ การดูแลตัวเอง รวมถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มีผลมากต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ บางคนอาจเห็นผลอยู่ได้นานเกิน 1-2 ปี บางคนก็อาจน้อยกว่านั้นได้ หมอจึงเน้นการดูแลแบบรายบุคคลเพื่อให้เหมาะสมที่สุดค่ะ

จากประสบการณ์ของหมอที่รักษามานาน หมอพบว่า บางคนจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี บางเคสก็นานใกล้เคียง 2 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ ซึ่งหมอจะแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และช่วยวางแผนให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ การกระตุ้นคอลลาเจนคือการฟื้นฟูผิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกคนจึงมีระยะเวลาการอยู่ได้นานไม่เท่ากันค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

Atelocollagen ที่คุณหมอหลายๆท่าน หรือคนไข้หลายคนพูดถึงตอนนี้ (อีกชื่อคือคอลลาเจนสด) จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการความงามค่ะ มันคือคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) ที่ผ่านกระบวนการตัดตอนส่วน telopeptide ออก ทำให้ลดโอกาสเกิดอาการแพ้และร่างกายตอบสนองผิดปกติน้อยลง เวลาเราเห็นการโฆษณาว่าเป็น “คอลลาเจนสด” ฉีดเข้าไปเติมเต็มผิว หรือช่วยฟื้นฟูต่าง ๆ ส่วนมากก็คือการนำ Atelocollagen นี้มาใช้ในรูปแบบสารบริสุทธิ์นั่นเอง

สิ่งที่อยากให้ทุกคนรู้ก่อนตัดสินใจฉีดคอลลาเจนสดไม่ว่าจะชื่อใดก็ตาม คือขบวนการฉีดสารเติมเต็มทุกชนิดเสี่ยงต่อการอุดตันเส้นเลือด หากเกิดขึ้นจะไม่มียาสลายฉุกเฉินเหมือนฟิลเลอร์ HA รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำบ่อย ในฐานะแพทย์ที่คลุกคลีในงานผิวหนังและเลเซอร์ “คอลลาเจนสด” หรือ Atelocollagen ไม่ใช่เทรนด์ใหม่อะไร และยังคงมีข้อพึงระวังที่ต้องตระหนัก หากคิดจะฉีดเติมเต็มผิว ควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเหมาะกับเรา หรือคุ้มค่าความเสี่ยงระดับไหนค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

หลายคนมักเข้าใจว่าความแก่ของใบหน้าเกิดขึ้นเพราะอายุมากขึ้น และการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนน้อย ไม่ทาครีมกันแดด หรือความเครียด ซึ่งความเข้าใจนี้ก็มีเหตุผลที่ถูกต้องค่ะ เพราะไลฟ์สไตล์ส่งผลต่อสุขภาพผิวจริง แต่ในความเป็นจริง พันธุกรรมเองก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เราอาจเคยได้ยินข่าวหรือเห็นตัวอย่างเด็กบางคนที่เกิดมาหน้าแก่ หรือคนที่อายุน้อยแต่ดูใบหน้าแก่กว่าวัย ทั้งที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบทำร้ายสุขภาพมากมาย นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า “หน้าแก่” ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์เพียงอย่างเดียว หมอสรุปโรคหน้าแก่ไว้ในด้านล่าง อ่านเพิ่มเติมได้

ความแก่ของผิวหน้าเป็นผลรวมทั้งจากพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต หากครอบครัวมีแนวโน้มแก่เร็วจากยีน ก็อาจเห็นสัญญาณผิวเหี่ยวหรือริ้วรอยไว แม้จะดูแลตัวเองดีมากก็ตาม ในทางกลับกัน การมีไลฟ์สไตล์ดี สามารถช่วยชะลอความชราของผิวแม้จะมีพันธุกรรมไม่ค่อยดี ดังนั้นการเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงและดูแลผิวอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

จากที่หมอรักษาคนไข้มาหลากหลายปัญหาผิว หลากหลายช่วงอายุ พบว่า “ไหมน้ำ” กลุ่ม Sculptra, Juvelook, Ultracol, Gouri จะมีอาการบวมนานกว่าฟิลเลอร์ HA ค่ะ เพราะหลังฉีดไหมน้ำ ร่างกายจะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ต้องใช้เวลาให้เนื้อเยื่อรอบ ๆ ปรับตัว จึงมักจะบวมอยู่ประมาณ 5-14 วัน แล้วค่อย ๆ ดีขึ้น ขณะที่ ฟิลเลอร์ HA อาการบวมจะสั้นกว่า ส่วนใหญ่จะบวมแค่ 1-3 วันและยุบไวกว่า เพราะตัว HA เป็นเนื้อเจลเติมเต็มทันที ไม่ต้องรอกระบวนการกระตุ้นร่างกายเหมือนไหมน้ำ ในบางเคสไม่พบการบวมเลยก็มีค่ะ

สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าคนไข้กังวลเรื่องบวมระยะเวลา ฟิลเลอร์ HA จะบวมน้อยและยุบเร็วกว่าไหมน้ำค่ะ แต่ไหมน้ำจะให้ผลเรื่องความกระชับและฟื้นฟูผิวระยะยาวมากกว่า สำคัญตรงที่การบวมนั้นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติเมื่อมีการทำหัตถการกับผิวหลากหลายชั้นผิว การเลือกใช้โปรแกรมแต่ละแบบต้องดูความเหมาะสมตามปัญหาและความคาดหวังของคนไข้ด้วยนะคะ คนไข้สามารถปรึกษาหมอเพิ่มเติมเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดได้เลยค่ะ

อ่านเพิ่มเติม

ใช้เวลารับบริการ:

60

นาที

ให้บริการโดย:

แพทย์ประจำ

รู้หรือไม่ว่าสาเหตุหลักของผิวเหี่ยวย่นคือการสูญเสียคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 1 ต่อปี

★★ ความประทับใจ ★★

google
Arthur Coupart
Arthur Coupart
facebook
Hana Mizu
Hana Mizu
แนะนำเลย
google
Junny Berry
Junny Berry
facebook
Zypher Kun
Zypher Kun
แนะนำเลย
Chuttanun Thirawadee
Chuttanun Thirawadee
facebook
Pakjira Leattaveevit
Pakjira Leattaveevit
แนะนำเลย
google
Junny Berry
Junny Berry