จุดเด่นสำคัญของ Radiesse
- เพิ่มคอลลาเจน TYPE 1
- เพิ่มคอลลาเจน TYPE 3
- เพิ่มความยืดหยุ่นด้วย Elastin
- เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย Proteoglycan
- เติมอาหารผิวด้วย Angiogenesis
ผิวของเรามีคอลลาเจนและอีลาสตินที่ร่างกายผลิตขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งทำหน้าที่ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน และกระจ่างใส อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอายุมากขึ้น ปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินจะลดลง รวมถึงสารน้ำหล่อเลี้ยงผิวและความสามารถในการนำสารอาหารมาบำรุงเซลล์ผิวก็ลดลงด้วย ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย ผิวดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน และไม่สดใส ดังนั้น เราจึงควรตรวจสอบสภาพผิวของตนเองอยู่เสมอ เพื่อดูแลและบำรุงผิวให้คงความอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอยู่เสมอ

Radiesse คืออะไร
Radiesse (เรเดียส) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบด้วย CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ซึ่งช่วยเติมเต็มวอลุ่มให้ผิวได้ทันทีและฟื้นฟูผิวได้ถึง 5 องค์ประกอบในระยะยาว จึงเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวเสื่อมสภาพระดับปานกลางถึงสูง เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก คอ และหลังมือ Radiesse กระตุ้นการสร้างผิวใหม่จากภายในโดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียงสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวถึง 5 องค์ประกอบ ช่วยให้ผิวฟื้นฟูจากภายในสู่ภายนอก
Radiesse เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวที่มีริ้วรอยและหย่อนคล้อย เช่น
- ร่องแก้ม
- ร่องน้ำหมาก
- บริเวณคอ
- หลังมือ
CaHA คืออะไร
การสร้างคอลลาเจนของ Radiesse แตกต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนอื่นๆ ตรงที่ Radiesse ไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เนื่องจากส่วนประกอบหลักของ Radiesse คือ CaHA หรือแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สารแปลกปลอมที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
CaHA มีการใช้ในทางการแพทย์มานานกว่า 25 ปี และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเข้ากันได้กับร่างกายและสามารถสลายไปตามธรรมชาติได้โดยกลไกปกติของร่างกาย
CaHA ใน Radiesse เป็น Biostimulator ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเอง ปัจจุบันมี Biostimulator หลายประเภทที่ได้รับความนิยม เช่น PLLA (SculptraⓇ), PDO (UltracolⓇ), PDLLA (JuvelookⓇ), PCL (GouriⓇ) และ Calcium Hydroxyapatite (RadiesseⓇ) แต่ละประเภทมีข้อดี ข้อเสีย และวิธีการฉีดที่แตกต่างกัน

ข้อดีของ Radiesse
- ปลอดภัยสูง: CaHA เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูงและเข้ากันได้ดี
- ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ: Radiesse ไม่กระตุ้นการอักเสบเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น อาการบวมแดงหรือปวด
- เห็นผลลัพธ์ทันทีและยาวนาน: Radiesse ช่วยเติมเต็มวอลุ่มให้ผิวได้ทันที และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเปล่งประกายยิ่งขึ้น ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
ข้อเสียของ Radiesse
- ราคาสูงกว่า: Radiesse มีราคาสูงกว่า Biostimulator บางประเภท
- อาจต้องฉีดซ้ำ: เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาจจำเป็นต้องฉีด Radiesse ซ้ำหลายครั้ง
Radiesse ช่วยอะไรบ้าง
Radiesse filler มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องต่างๆ ได้แก่
- เติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก
- ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเต่งตึงมากขึ้น
- ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและเปล่งประกาย

การทำงานของ Radiesse
Radiesse filler ทำงานโดยการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า นอกจากนี้ Radiesse filler ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเต่งตึงมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลำดับนี้
1. ก่อนการรักษา: ผิวที่มีปัญหา ผิวขาดวอลุ่ม เป็นร่องลึก
2. ระหว่างการรักษา: ฉีด Radiesse เข้าไปเติมเต็มวอลุ่มได้ทันที
3. หลังการรักษาในระยะยาว: CaHA ใน Radiesse กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนรอบๆ ฟิลเลอร์
4. ผลลัพธ์: เกิดโครงสร้างคอลลาเจนช่วยเพิ่มวอลุ่ม เข้ามาแทนที่ฟิลเลอร์ และเกิดการสร้างคอลลาเจนต่อเนื่องไปจนครบกำหนดความเสื่อมของผิว

Radiesse มีกี่รุ่น
Radiesse Filler มี 2 รุ่น ได้แก่
Radiesse Filler
- ใช้ฟื้นฟูริ้วรอยร่องลึก
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ลดปัญหาการสูญเสียไขมันบนใบหน้า
- นิยมใช้ฉีดบริเวณรอยพับ ร่องลึก มือ หรือเนินอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความหนาแน่นของผิว

Radiesse Filler +
- ใช้เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า
- มีส่วนผสมของยาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บขณะฉีด
- ออกแบบมาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บใต้ผิวหนัง
Radiesse เหมาะกับใคร
Radiesse filler เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับริ้วรอยและต้องการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
- ผิวหน้าขาดคอลลาเจน ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ไม่มีวอลลุ่ม
- มีริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องมุมปาก
- ผิวหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื้น มีรูขุมขนกว้าง
- มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือ ลำคอ
- ผิวหนังยุบลง มีรอยแผลเป็น รอยบุ๋ม หรือหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก
- มีอายุ 30 ปีขึ้นไป มีริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย ต้องการมีผิวเด็กและเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว โดยต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์และเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว
Radiesse ไม่เหมาะกับใคร
- อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- มีประวัติแพ้แบบรุนแรงหรือประวัติภาวะช็อกจากการแพ้ยาอย่างรุนแรง
- มีประวัติแพ้ยาชา หรือแพ้สารที่เป็นองค์ประกอบใน Radiesse
- มีผิวหนังที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์สูง
- มีการอักเสบของผิวหนังหรือการติดเชื้อใกล้บริเวณที่ทำการรักษา
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติ

Radiesse ฉีดจุดไหนได้บ้าง
Radiesse filler สามารถฉีดได้กับบริเวณต่างๆ บนใบหน้า ได้แก่
- ร่องแก้ม: เส้นข้างแก้มที่อาจมีร่องลึกเพิ่มขึ้นตามอายุ การเติม Radiesse ช่วยทำให้หน้าดูเด็กลงและร่องตื้นขึ้น
- ร่องน้ำหมาก: เส้นที่ลากจากมุมปากลงมาถึงบริเวณคาง การเติม Radiesse ช่วยลดอายุและปรับร่องน้ำหมากให้ดูเยิ่ง
- หน้าแก้ม: บริเวณที่ขาดวอลุ่มเมื่ออายุมากขึ้น การเติม Radiesse ช่วยยกกระชับหน้าเด็กลงและปรับผิวให้ดีขึ้น
- กรอบหน้า: ช่วยทำให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น และช่วยกระชับหน้า
- ขมับ: ช่วยแก้ปัญหาขมับที่ทำให้ดูมีอายุ
- หลังมือ: ช่วยลดอายุและเติมวอลุ่มให้ผิวหนังดูธรรมชาติบนหลังมือ
- เนินอก: ช่วยแก้ปัญหาผิวย่นบริเวณเนินอกที่ทำให้ดูมีอายุ

Radiesse ราคาเท่าไหร่
ราคาของ Radiesse filler จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และแพทย์ที่ทำการรักษา โดยทั่วไปแล้ว ราคาควรจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-40,000 บาท
ไม่ว่าหัตถการใดๆ ก็ตาม ที่มีราคาถูกเกินจริง มักมีอะไรแอบแฝง ซ่อนเร้น โดยที่เราไม่รู้อยู่เสมอๆ
ตัวอย่างผลลัพธ์หลังทำ



เปรียบเทียบ Radiesse กับโปรแกรมอื่น
ฟิลเลอร์ Radiesse มีความแตกต่างจากหัตถการงานผิวอื่นๆ ดังนี้
- โบท็อกซ์: โบท็อกซ์เป็นสารที่ใช้เพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่น ริ้วรอยบริเวณหน้าผากและริ้วรอยร่องปาก ในขณะที่ Radiesse filler เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก
- ไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA): HA เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและเต่งตึง ฟิลเลอร์ HA มีความนุ่มและยืดหยุ่นกว่า Radiesse filler แต่มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า
เปรียบเทียบ Radiesse กับฟิลเลอร์ HA
คุณสมบัติ | Radiesse | ฟิลเลอร์ HA |
---|---|---|
การเติมเต็มปริมาตร | ★★★★ | ★★★★★ |
อยู่ได้นาน | 2 ปี | 12 ถึง 18 เดือน |
การคงตัวของปริมาตร | คงอยู่ | ลดลงทีละน้อย |
การฉีดสลายเมื่อไม่ต้องการ | ไม่ได้ | ได้ ด้วยไฮยาลูโรนิเดส |
อาการแพ้ | ยังไม่มีรายงาน | มีรายงานแต่น้อยมากในต่างประเทศ |
การเตรียมตัวก่อนทำ Radiesse
ก่อนเข้ารับการฉีด Radiesse ควรปฏิบัติดังนี้
- งดวิตามิน อาหารเสริม และยาที่ทำให้เลือดแข็งตัว เช่น แปะก๊วย กระเทียม และวิตามินอี ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดสครับผิว รวมถึงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมผลัดเซลล์ผิว เพื่อป้องกันการอักเสบหลังฉีด Radiesse
- แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนรับบริการ
- วางแผนการใช้หน้า เพราะหลังทำ อาจจะมีรอยแดงได้บ้างในบางราย
ขั้นตอนการรับบริการ
การฉีด Radiesse โดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้
- การปรึกษาและประเมินสภาพผิว: แพทย์จะประเมินสภาพผิวของคุณและตรวจสุขภาพผิวโดยละเอียด
- การทายาชา: แพทย์จะทายาชาบริเวณที่ต้องการฉีด ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีเพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์
- การฉีด Radiesse: เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะฉีด Radiesse เข้าใต้ชั้นผิว ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณ
- การนวดหลังฉีด: หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะนวดบริเวณที่ฉีดเบาๆ เพื่อให้ Radiesse กระจายตัวอย่างทั่วถึง
- รับยา: หากแพทย์ประเมินว่าต้องมีการทานยาเพิ่มเติม
- รับฟังคำแนะนำ การดูแลตัวเองจากเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดก่อนออกจากคลินิก
Radiesse ต้องทำกี่กล่อง กี่หลอด
จำนวนกล่อง Radiesse ที่ต้องการสำหรับแต่ละบริเวณ
บริเวณ | จำนวนกล่อง |
---|---|
ร่องแก้ม | 1-2 กล่อง |
ร่องน้ำหมาก | 1 กล่อง |
ขมับ | 1-2 กล่อง |
หลังมือ | 1-2 กล่อง |
เนินหน้าอก | 2-3 กล่อง |
ลำคอ | 1 กล่อง |
หมายเหตุ: จำนวนกล่องที่แท้จริงที่จำเป็นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความรุนแรงของริ้วรอย ปริมาณการสูญเสียปริมาตร และผลลัพธ์ที่ต้องการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดจำนวนกล่องที่เหมาะสมสำหรับคุณปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
การดูแลหลังทำ Radiesse
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ Radiesse ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วย
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือซาวน่า
ข้อควรระวังหลังทำ Radiesse
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ Radiesse ผู้ป่วยควรสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อาการบวมแดงมาก อาการปวดหรือคันบริเวณที่ฉีด หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
- อาการบวมแดง
- อาการปวดหรือคันบริเวณที่ฉีด
- อาการฟกช้ำ
- อาการแพ้
- การติดเชื้อ
ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

Radiesse vs Sculptra
คุณสมบัติ | Radiesse | Sculptra |
---|---|---|
ส่วนประกอบหลัก | Calcium Hydroxyapatite (CaHA) | Poly-L-Lactic Acid (PLLA) |
กลไกการออกฤทธิ์ | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 |
เหมาะสำหรับ | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า เติมเต็มริ้วรอย | ฟื้นฟูโครงสร้างผิวเดิม ชะลอริ้วรอย |
เห็นผล | ทันที | 2-3 สัปดาห์ |
ผลลัพธ์ที่ชัดเจน | 3-6 เดือน | 3 เดือน |
ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 2 ปี |
ความปลอดภัย | ปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ | ปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ |
ข้อเสีย | ราคาสูงกว่า , อาจต้องฉีดซ้ำ | อาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง, ต้องรอผลลัพธ์นานกว่า |
Radiesse vs Gouri
คุณสมบัติ | Radiesse | Gouri |
---|---|---|
ประเภท | สารกระตุ้นคอลลาเจน | สารกระตุ้นคอลลาเจน |
เน้น | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า | ฟื้นฟูและแก้ไขผิวเสื่อมสภาพ |
ส่วนประกอบหลัก | CaHA | PCL |
วิธีการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน |
เหมาะสำหรับ | อายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย | อายุ 18 ปีขึ้นไป ผิวเสื่อมสภาพ หย่อนคล้อย |
ผลลัพธ์หลังฉีด | เห็นผลทันที ผลชัดเจนเต็มที่ใน 3-6 เดือน | เห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ |
ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 6-12 เดือน |
Radiesse vs Rejuran
คุณสมบัติ | Radiesse | Rejuran |
---|---|---|
ประเภท | สารกระตุ้นคอลลาเจน | Skin Booster |
เน้น | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า | ฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มน้ำ |
ส่วนประกอบหลัก | CaHA | Polyneucleotide (PN) |
วิธีการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และเส้นใย fibroblast |
เหมาะสำหรับ | อายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย | อายุ 18 ปีขึ้นไป ผิวแห้งกร้าน เสื่อมโทรม |
ผลลัพธ์หลังฉีด | เห็นผลทันที ผลชัดเจนเต็มที่ใน 3-6 เดือน | เริ่มเห็นผลใน 2-5 วัน ผลชัดเจนใน 4 สัปดาห์ |
ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 3-6 เดือน |
Radiesse vs Exosome
คุณสมบัติ | Radiesse | Exosome |
---|---|---|
ประเภท | สารกระตุ้นคอลลาเจน | Skin Booster |
เน้น | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า | ฟื้นฟูผิวจากภายใน |
ส่วนประกอบหลัก | CaHA | สารชีวโมเลกุลกว่า 1,000 ชนิด |
วิธีการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นและฟื้นฟูเซลล์ผิว |
เหมาะสำหรับ | อายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย | เป็นสิว มีหลุมสิวตื้น ๆ รอยสิว ผิวไม่เรียบเนียน แห้งขาดความชุ่มชื้น |
ผลลัพธ์หลังฉีด | เห็นผลทันที ผลชัดเจนเต็มที่ใน 3-6 เดือน | เห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3-7 วัน ผลชัดเจนหลังทำต่อเนื่อง 5 ครั้ง |
ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 1 ปี |
Radiesse vs AestheFill
คุณสมบัติ | Radiesse | Aesthefill |
---|---|---|
ส่วนประกอบหลัก | CAHA (แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) | PDLLA (โพลี-D, L-แลคติกแอซิด) |
กลไกการทำงาน | เติมเต็มปริมาตรทันที + กระตุ้นคอลลาเจน | กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว |
ผลข้างเคียง | อาการแดง บวม ช้ำ | อาการแดง บวม ช้ำ |
การมองเห็นผลลัพธ์ | 7-10 วัน | 1-2 สัปดาห์ |
ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 2 ปี |
คนไข้บอกรักพี่เสียดายน้อง อันนี้เพื่อนบอกดี ยี่ห้อนี้ ดาราบอกดี หมอสรุปให้แบบนี้ค่ะ
ทั้งสองตัวเป็นกลุ่ม “Biostimulator” คือยากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว แต่แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นและวิธีออกฤทธิ์ต่างกัน แบบนี้ถ้าเราฉีดพร้อมกันในวันเดียว หรือจุดเดียวกัน อาจทำให้ผิวสับสน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เต็มที่ หรือผิวมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อนแข็งหรือการอักเสบได้มากขึ้นค่ะ และที่สำคัญ เราจะไม่รู้ว่า ตัวไหนทำงานได้ดีกับผิวเรา เพราะมันเข้าไปพร้อมกัน จุดเดียวกัน นึกภาพตามหมอได้เลย
ถ้าคนไข้มีปัญหาหลายอย่าง หมอจะวางแผนเลือกใช้ให้เหมาะสม แยกเป็นรอบหรือเลือกต่างจุด อย่างเช่น Sculptra หมออาจใช้เติมวอลลุ่มลึกๆ ส่วน JuveLook เหมาะกับผิวบางหรือใต้ตา ผลัดกันดูแลทีละอย่าง จะปลอดภัยกว่าและได้ผลสวยนาน หมออยากให้คนไข้มั่นใจว่าวิธีนี้ปลอดภัยกับผิวหน้าที่สุดค่ะ
ช่วง 5 ปีหลังมานี้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า “สายฉีด” ออกมาจนนับกันไม่หวาดไม่ไหว เดี๋ยวนี้แบรนด์ใหม่ทยอยเปิดตัว แค่เฉพาะ Skin Boosters+Biostimulator ก็นับได้เกือบ 20 แบรนด์ บางแบรนด์เคลมว่าผิวอิ่มน้ำทันที บางแบรนด์บอกกระตุ้นคอลลาเจนลึก ๆ จะเลือกตัวไหนดี
จริง ๆ แล้วหลัก ๆ ขอให้มองแยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ “Skin Boosters” เน้นเติมน้ำ เติมความชุ่มชื้นทันที เหมาะกับสายต้องการผิวใสฉ่ำวาวไว ๆ หมอเรียกว่าใช้หน้าด่วน อะไรแบบนั้น กับ “Biostimulators” ที่ไปกระตุ้นเซลล์ให้สร้างคอลลาเจนเอง ผลลัพธ์จะค่อย ๆ มาแต่ชัดในแง่ฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอยระยะยาว เลือกตามความต้องการของผิวเราดีที่สุดค่ะ
Atelocollagen คือคอลลาเจนบริสุทธิ์ที่ผ่านการกำจัดส่วนที่อาจกระตุ้นภูมิแพ้ เหมาะสำหรับการฉีดเข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยฟื้นฟู เติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างของ Atelocollagen ใกล้เคียงกับคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกาย จึงปลอดภัยและลดความเสี่ยงการแพ้ได้มาก
เรียกว่าคอลลาเจนสดได้ไหม ก็ไม่ใช่ที่เข้าใจแบบในท้องตลอดอาหารเสริมนะคะ คนละอย่างกันเลย ในมุมของแพทย์ความงาม Atelocollagen คือคอลลาเจนที่มีความบริสุทธิ์สูง ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่แบบที่อยู่ในรูปครีมหรือผง Atelocollagen ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับกลุ่ม Biostimulator ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู แน่น กระชับ และฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายในค่ะ
กระตุ้นคอลลาเจนด้วย Biostimulator หมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ผลลัพธ์และระยะเวลาที่เห็นได้จริงในแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ แม้ว่าผู้ผลิตจะมีข้อมูลวิจัยบอกว่าอยู่ได้นานกี่ปี แต่ตัวเลขพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการทดลองในกลุ่มคนจำกัดเท่านั้น ในชีวิตจริง สภาพผิว อายุ การดูแลตัวเอง รวมถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มีผลมากต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ บางคนอาจเห็นผลอยู่ได้นานเกิน 1-2 ปี บางคนก็อาจน้อยกว่านั้นได้ หมอจึงเน้นการดูแลแบบรายบุคคลเพื่อให้เหมาะสมที่สุดค่ะ
จากประสบการณ์ของหมอที่รักษามานาน หมอพบว่า บางคนจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี บางเคสก็นานใกล้เคียง 2 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ ซึ่งหมอจะแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และช่วยวางแผนให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ การกระตุ้นคอลลาเจนคือการฟื้นฟูผิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกคนจึงมีระยะเวลาการอยู่ได้นานไม่เท่ากันค่ะ
Atelocollagen ที่คุณหมอหลายๆท่าน หรือคนไข้หลายคนพูดถึงตอนนี้ (อีกชื่อคือคอลลาเจนสด) จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการความงามค่ะ มันคือคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) ที่ผ่านกระบวนการตัดตอนส่วน telopeptide ออก ทำให้ลดโอกาสเกิดอาการแพ้และร่างกายตอบสนองผิดปกติน้อยลง เวลาเราเห็นการโฆษณาว่าเป็น “คอลลาเจนสด” ฉีดเข้าไปเติมเต็มผิว หรือช่วยฟื้นฟูต่าง ๆ ส่วนมากก็คือการนำ Atelocollagen นี้มาใช้ในรูปแบบสารบริสุทธิ์นั่นเอง
สิ่งที่อยากให้ทุกคนรู้ก่อนตัดสินใจฉีดคอลลาเจนสดไม่ว่าจะชื่อใดก็ตาม คือขบวนการฉีดสารเติมเต็มทุกชนิดเสี่ยงต่อการอุดตันเส้นเลือด หากเกิดขึ้นจะไม่มียาสลายฉุกเฉินเหมือนฟิลเลอร์ HA รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำบ่อย ในฐานะแพทย์ที่คลุกคลีในงานผิวหนังและเลเซอร์ “คอลลาเจนสด” หรือ Atelocollagen ไม่ใช่เทรนด์ใหม่อะไร และยังคงมีข้อพึงระวังที่ต้องตระหนัก หากคิดจะฉีดเติมเต็มผิว ควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่าเหมาะกับเรา หรือคุ้มค่าความเสี่ยงระดับไหนค่ะ
หลายคนมักเข้าใจว่าความแก่ของใบหน้าเกิดขึ้นเพราะอายุมากขึ้น และการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนน้อย ไม่ทาครีมกันแดด หรือความเครียด ซึ่งความเข้าใจนี้ก็มีเหตุผลที่ถูกต้องค่ะ เพราะไลฟ์สไตล์ส่งผลต่อสุขภาพผิวจริง แต่ในความเป็นจริง พันธุกรรมเองก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เราอาจเคยได้ยินข่าวหรือเห็นตัวอย่างเด็กบางคนที่เกิดมาหน้าแก่ หรือคนที่อายุน้อยแต่ดูใบหน้าแก่กว่าวัย ทั้งที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบทำร้ายสุขภาพมากมาย นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า “หน้าแก่” ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์เพียงอย่างเดียว หมอสรุปโรคหน้าแก่ไว้ในด้านล่าง อ่านเพิ่มเติมได้
ความแก่ของผิวหน้าเป็นผลรวมทั้งจากพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต หากครอบครัวมีแนวโน้มแก่เร็วจากยีน ก็อาจเห็นสัญญาณผิวเหี่ยวหรือริ้วรอยไว แม้จะดูแลตัวเองดีมากก็ตาม ในทางกลับกัน การมีไลฟ์สไตล์ดี สามารถช่วยชะลอความชราของผิวแม้จะมีพันธุกรรมไม่ค่อยดี ดังนั้นการเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงและดูแลผิวอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนค่ะ
ถ้าคนไข้มีปัญหาใต้ตาคล้ำแต่ไม่ลึก จริง ๆ แล้วเราเริ่มดูแลตัวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เช่น มาส์กใต้ตาเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และเลือกใช้ครีมหรือเซรั่มที่เหมาะกับผิวรอบดวงตา ถ้ายังรู้สึกว่ารอยคล้ำไม่ดีขึ้น หรืออยากเห็นผลไวขึ้น หมอแนะนำให้ลองทรีทเมนท์ในคลินิก เลเซอร์ลดเม็ดสี ฉีดไหมน้ำ หรือฟิลเลอร์ใต้ตา ซึ่งแต่ละวิธีเห็นผลชัดเจนในระยะเวลาที่ต่างกัน และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ค่ะ
แต่ปัญหาใต้ตาของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ หมอแนะนำให้คนไข้ เข้ามาประเมินกับหมอ เพื่อหาสาเหตุจริง ๆ และเลือกวิธีแก้ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด จะได้สวยแบบปลอดภัย ได้ผลที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดค่ะ
จากที่หมอรักษาคนไข้มาหลากหลายปัญหาผิว หลากหลายช่วงอายุ พบว่า “ไหมน้ำ” กลุ่ม Sculptra, Juvelook, Ultracol, Gouri จะมีอาการบวมนานกว่าฟิลเลอร์ HA ค่ะ เพราะหลังฉีดไหมน้ำ ร่างกายจะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ต้องใช้เวลาให้เนื้อเยื่อรอบ ๆ ปรับตัว จึงมักจะบวมอยู่ประมาณ 5-14 วัน แล้วค่อย ๆ ดีขึ้น ขณะที่ ฟิลเลอร์ HA อาการบวมจะสั้นกว่า ส่วนใหญ่จะบวมแค่ 1-3 วันและยุบไวกว่า เพราะตัว HA เป็นเนื้อเจลเติมเต็มทันที ไม่ต้องรอกระบวนการกระตุ้นร่างกายเหมือนไหมน้ำ ในบางเคสไม่พบการบวมเลยก็มีค่ะ
สรุปง่าย ๆ คือ ถ้าคนไข้กังวลเรื่องบวมระยะเวลา ฟิลเลอร์ HA จะบวมน้อยและยุบเร็วกว่าไหมน้ำค่ะ แต่ไหมน้ำจะให้ผลเรื่องความกระชับและฟื้นฟูผิวระยะยาวมากกว่า สำคัญตรงที่การบวมนั้นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติเมื่อมีการทำหัตถการกับผิวหลากหลายชั้นผิว การเลือกใช้โปรแกรมแต่ละแบบต้องดูความเหมาะสมตามปัญหาและความคาดหวังของคนไข้ด้วยนะคะ คนไข้สามารถปรึกษาหมอเพิ่มเติมเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดได้เลยค่ะ