คางแบบไหนที่มักต้องใช้ฟิลเลอร์เยอะกว่าปกติ? คำตอบคือ คางที่ถอยมาก คางสั้น และคางที่มีรายละเอียดส่วนขอบหรือส่วนประกอบอื่นๆ ไม่สมดุลกัน ซึ่งทำให้แพทย์จำเป็นต้อง “ปั้น” ฟิลเลอร์หลายจุดเพื่อสร้างสัดส่วนที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องฉีดฟิลเลอร์คางถึงเปลืองแบบสิ้นเปลืองเสมอไป บางคนอาจใช้เพียง 1 ซีซีหากแก้ไขแค่นิดหน่อยได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อประเมินโครงหน้าของตัวเอง จะได้ทราบปริมาณที่เหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ!
ฟิลเลอร์คาง 1 CC ไม่พอ?
เมื่อพูดถึงการฉีดฟิลเลอร์คาง หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมบางรายใช้ฟิลเลอร์แค่ 1 ซีซีก็พอดูสวยแล้ว แต่บางรายกลับต้องใช้เยอะถึง 2–3 ซีซีหรือมากกว่านั้น จำนวนฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับปัญหาคางแต่ละคนล้วนๆเลยค่ะ มันเป็นเรื่องของสัดส่วนและโครงสร้างคางแต่ละคน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อ “ปริมาณ” ฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ในการปรับแต่ง
คางถอย (Receding Chin)
- ลักษณะคางถอยหมายถึงคางที่อยู่ด้านในลึกเมื่อมองจากด้านข้าง ไม่ได้ยื่นออกมาตามแนวสัดส่วนใบหน้า
- หากคางถอยมาก การแก้ไขจะต้องเติมฟิลเลอร์เยอะขึ้นเพื่อ “ดัน” คางให้ออกมาอยู่ในแนวเดียวกับจมูกและปาก หรือที่เรียกกันว่า E-Line
- นอกจากกลางคางแล้ว อาจต้องเติมขอบคางทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้เกิดรอยต่อ ทำให้ใช้ฟิลเลอร์เพิ่มขึ้นอีก
คางสั้น
- บางคนมีคางที่สั้นกว่าปกติ ทำให้สัดส่วนใบหน้าไม่สมดุล เมื่อมองตรงหรือมองข้าง ใบหน้าดูไม่ได้รูป
- หากต้องการให้ “ความยาว” ของคางสมดุลขึ้น จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมากกว่า 1 ซีซี เพื่อสร้างแนวยาวและปรับระดับความพุ่ง
- การเติมฟิลเลอร์ในส่วนนี้ยังต้องคำนึงถึงเรื่องตะเข็บระหว่างปลายคางและกรอบหน้าด้วย จึงอาจต้องใช้เพิ่มอีกเพื่อเก็บรายละเอียด
รูปคางในบางเคสมีมากกว่า 1 ปัญหา
- คางและกรอบหน้าที่ไม่ชัด (Jowl และโครงกรอบหน้า)
– ถ้าจุดต่อระหว่างคางกับแก้มหย่อนหรือมีเนื้อส่วนล่าง (Jowl) ค่อนข้างมาก การเติมแค่ตรงกลางคางเพียงจุดเดียวอาจทำให้เกิดรอยต่อที่ไม่เป็นธรรมชาติ
– เพื่อให้คางและกรอบหน้าดูเรียบเนียนต่อกัน ต้องเติมฟิลเลอร์หลายตำแหน่ง เช่น ด้านข้างคาง แนวขอบกราม จึงทำให้ใช้ซีซีเพิ่มขึ้น
– เมื่อโครงสร้างโดยรวมของคางและกรอบหน้าดูสมดุล จะช่วยให้โครงหน้าดูคมชัดยิ่งขึ้น - ความคาดหวังให้คางพุ่งไปด้านหน้า
– หลายคนอยากให้คางพุ่งมากขึ้น สวยตามแนว E-Line (เส้นสมมติที่ลากจากปลายจมูก ผ่านปาก ไปยังคาง)
– หากโครงสร้างคางดั้งเดิมอยู่ต่ำกว่าหรือถอยหลังจากเส้นส่วนนี้มาก การเติมฟิลเลอร์ให้ได้รูปตามต้องการย่อมต้องใช้ปริมาณมาก
– มิหนำซ้ำ บางกรณีอาจต้องเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รอบๆ คาง เพื่อไม่ให้ดูเป็น “ของต่อเติม” แต่ให้ดูกลมกลืนเหมือนโครงสร้างธรรมชาติ
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างตารางที่สรุป “ปัญหาคาง” กับ “ปริมาณฟิลเลอร์ (โดยประมาณ)” ที่อาจใช้เพื่อปรับแก้คางให้สมดุลตามข้อมูลในบริบทข้างต้น ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจแตกต่างกันไปตามดุลยพินิจของแพทย์และสภาพโครงหน้าของแต่ละคน
ฟิลเลอร์คางใช้กี่ cc
ปัญหาคาง | ปริมาณฟิลเลอร์ (cc) โดยประมาณ | หมายเหตุเพิ่มเติม |
---|---|---|
คางถอย (Receding Chin) | 2–3 cc | ใช้เพื่อดันคางจากด้านในให้ออกมาตามแนว E-Line และอาจต้องเก็บข้างคางร่วมด้วย |
คางสั้น | 1–2 cc | เพิ่มความยาวคางให้ได้รูปสมส่วน อาจเติมหลายจุดป้องกันรอยต่อระหว่างคาง-กรอบหน้า |
คางและกรอบหน้าไม่ชัด (มี Jowl) | 2–3 cc | เก็บรายละเอียดแนวขอบกรามหรือแก้มล่าง (Jowl) เพื่อให้คางและกรอบหน้าดูต่อเนื่อง |
ต้องการความพุ่งสวยตาม E-Line | 2–3 cc หรือมากกว่า | หากคางอยู่ต่ำกว่าหรือถอยหลังจากแนว E-Line จริง อาจต้องใช้ปริมาณมากขึ้น |
แก้ไขเล็กน้อย หรือมีปัญหาเพียงจุดเดียว | 1 cc หรือ < 2 cc | เหมาะกับคนที่คางค่อนข้างสมดุลอยู่แล้ว แต่ต้องการเติมเพียงเล็กน้อย |
คำแนะนำ:
- ตัวเลขปริมาณซีซีในตารางเป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ ไม่ใช่มาตรฐานตายตัว
- การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินโครงสร้างใบหน้าแต่ละบุคคลเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
- การใช้ฟิลเลอร์ที่ต้องการปริมาณมากกว่า 1 cc มักเกิดจากการแก้หลาย ๆ จุดพร้อมกัน (เช่น คางถอยและมี Jowl ร่วมด้วย)
- แม้บางเคสจะใช้ไม่ถึง 1 cc หากเป็นการปรับเพียงเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปเมื่อคางมีหลายปัญหาร่วมกัน มักจะมีการใช้ฟิลเลอร์รวม 2–3 cc ขึ้นไป