การรักษารอยสิวด้วย IPL
IPL (Intense Pulsed Light) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษารอยสิว โดยการส่งคลื่นแสงความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีรอยสิว คลื่นแสงจะเข้าไปทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยสิวจางลงและผิวดูเรียบเนียนขึ้น
ทำไมต้องรีบรักษารอยสิวแต่เนิ่นๆ
เพราะถ้าปล่อยให้รอยหายเอง อาจจะใช้เวลาเป็นปี หรือทิ้งรอยถาวร ดังนั้นจึงควรรีบรักษารอยสิวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้รอยสิวมีเวลาลุกลามไปในวงกว้าง ป้องกันไม่ให้รอยสิวกลายเป็นรอยแผลเป็นถาวร
ข้อดีของ IPL
- IPL เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
- IPL สามารถใช้รักษารอยสิวทุกประเภท รวมถึงรอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว
- IPL ใช้เวลาในการรักษาที่รวดเร็ว
- IPL ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผิว
- IPL ผ่านการรักษาทั่วโลกมายาวนานกว่า 20 ปี

IPL ราคาประหยัดกว่าหลายเท่า
IPL เป็นเทคโนโลยีที่ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดอื่น ๆ ค่าใช้จ่ายในการรักษารอยสิวด้วย IPL ซึ่งปลายทางของการทำเลเซอร์ คือทำให้ผิวหน้ากลับมาใส ลดรอยดำ รอยแดงสิว ปรับสีผิวไม่สม่ำเสมอ IPL สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ “ประหยัดกว่า” 5-10 เท่า ของการทำเลเซอร์ตัวอื่นๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน เพียงแต่ต้องทำในจำนวนครั้งที่มากกว่า
โปรแกรม | ราคาต่อครั้ง | ราคาต่อคอร์ส |
IPL | 1,500-3,000 | 15,000-30,000 |
Q-Switch | 3,000-5,000 | 30,000-50,000 |
Pico Laser | 5,000-10,000 | 50,000-100,000 |
Q-Switch เป็นเลเซอร์ที่ใช้พลังงานแสงความเข้มสูงในการกำจัดรอยสักสีดำและสีเข้ม เหมาะกับผิวที่มีปัญหารอยสักสีดำหรือสีเข้ม กระชับรูขุมขน
Pico Laser เป็นเลเซอร์รุ่นใหม่ที่มีพลังงานแสงสูงกว่า IPL และ Q-Switch จึงสามารถกำจัดรอยสักได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผิวที่มีปัญหารอยสักทุกสี
*การเลือกเลเซอร์ควรพิจารณาจากปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข สภาพผิว และงบประมาณ โดยปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก่อนตัดสินใจ




IPL รักษารอยสิวที่เกิดใหม่
รอยแผลเป็นสิวที่เกิดใหม่ มีลักษณะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบของสิว รอยแผลเป็นสิวที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- รอยแดง (Post-inflammatory erythema) เกิดจากการที่หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว รอยแดงมักมีลักษณะเป็นจุดสีแดงหรือสีชมพู
- รอยดำ (Post-inflammatory hyperpigmentation) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป เพื่อซ่อมแซมผิวที่เสียหายจากสิว รอยดำมักมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลหรือสีดำ
- รอยหลุมสิว (Acne scars) เกิดจากการที่ผิวหนังถูกทำลายอย่างรุนแรงจากสิว รอยหลุมสิวมี 3 ประเภท ได้แก่
- รอยหลุมสิวเว้า (Atrophic scars) เกิดจากการที่ผิวหนังยุบตัวลง
- รอยหลุมสิวนูน (Hypertrophic scars) เกิดจากการที่ผิวหนังสร้างเนื้อเยื่อใหม่มากเกินไป
- รอยหลุมสิวคีลอยด์ (Keloid scars) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อใหม่มากเกินไป และลุกลามไปเกินขอบเขตของรอยแผล
รอยแผลเป็นสิวที่เกิดใหม่อาจจางลงหรือหายไปได้เองตามกาลเวลา แต่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี รอยแผลเป็นสิวบางประเภทอาจไม่สามารถรักษาให้หายได้ และอาจต้องใช้การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น เลเซอร์ ฉีดฟิลเลอร์ หรือผ่าตัด

สาเหตุการเกิดรอยสิว อันดับ 1
การกดสิวเป็นวิธีหนึ่งที่หลายคนนิยมทำเพื่อกำจัดสิว แต่การกดสิวเองอาจทำให้เกิดรอยสิวได้ รอยสิวที่เกิดจากการกดสิวเองมีหลายประเภท และการกดสิวเองอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้ดังนี้
- รอยสิว: การกดสิวเองอาจทำให้เกิดรอยสิวได้หลายประเภท ได้แก่ รอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว รอยสิวเหล่านี้อาจจางลงหรือหายไปได้เองตามกาลเวลา แต่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี และบางประเภทอาจไม่สามารถรักษาให้หายได้
- การติดเชื้อ: การกดสิวเองอาจทำให้สิวติดเชื้อได้ การติดเชื้ออาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น และอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้
- รอยแผลเป็น: การกดสิวเองอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ รอยแผลเป็นจากสิวมีหลายประเภท ได้แก่ รอยหลุมสิว รอยนูน และรอยแผลเป็นคีลอยด์ รอยแผลเป็นจากสิวเหล่านี้อาจไม่สามารถรักษาให้หายได้
- ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ: การกดสิวเองอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น อาการบวม อาการแดง และอาการระคายเคืองผิว
การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถลดโอกาสการเกิดรอยสิวได้เกือบ 100% เทคนิคการใช้ยา หรือเครื่องมือที่เหมาะสมมากกว่าการกดด้วยมือ หรือไม้กดสิวทั่วๆไป จึงทำให้ไม่เป็นรอยสิวหลังการกดสิวนั่นเองค่ะ

เรื่องเล็กๆที่คนไข้มักชะล่าใจ คิดว่ารักษาตอนไหนก็ได้ สุดท้ายกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ใช้เวลานานขึ้น รักษารอยสิวที่ดีที่สุดคือการรักษาตั้งแต่ตอนเป็นสิวใหม่ๆ และหาทางป้องกันสิว ลดการเกิดสิวตั้งแต่เนิ่นๆ
หมอต้าร์ แพทย์ประจำดีเลิฟเวอรี่คลินิก
IPL ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

รีวิวรักษาสิว รอยสิว
IPL ราคาเท่าไหร่
IPL รอยสิว ต้องทำกี่ครั้ง
จำนวนครั้งในการทำ IPL ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยสิว โดยปกติแล้ว ถ้าเป็นรอยสิวใหม่ จะสามารถฟื้นฟูผิวหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ คนไข้จะต้องทำ IPL ประมาณ 3-6 ครั้ง แต่ถ้าเป็นรอยสิวที่ถูกทิ้งไว้นาน เม็ดสีค่อนข้างเข็ม อาจจะต้อง 5-10 ครั้ง ต่อเนื่องทุกสัปดาห์ จะเห็นผลชัดเจนที่สุด

IPL มีข้อห้ามอะไรบ้าง
หลังทำไม่มีข้อห้ามรุนแรง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะหลังทำจะไม่มีอาการบวม แดง หรือมีเลือดออกเหมือนกับการทำเลเซอร์ชนิดอื่นๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ
- คนไข้ควรเลี่ยงแดดจัด เช่นช่วงเวลา 11.00-15.00 น.
- คนไข้ที่มีสิวอยู่ อยากจะลดรอยสิว จำเป็นต้องเคลียร์สิวให้ดีขึ้นก่อน
- คนไข้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
สิ่งที่ควรรู้ หลังทำ IPL ลดรอยสิว
- ทาครีมบำรุงผิวหน้าได้ปกติ
- แต่งหน้าได้ปกติ
- ทาครีมกันแดดที่ได้มาตรฐาน เกรดคลินิกได้จะดีที่สุด สั่งซื้อครีมกันแดดของคลินิกได้ที่นี่

ขั้นตอนรักษารอยสิวที่ดีเลิฟเวอรี่คลินิก
พบแพทย์ ประเมินปัญหา หมอจะต้องประเมินรอยสิว จุดด่างดำ ฝ้ากระของคนไข้ก่อนรักษาทุกเคส
ทำความสะอาดผิวหน้า ทำความสะอาดผิวด้วยคลีนซิ่ง ลบเครื่องสำอาง ก่อนเริ่มทำการยิง IPL
แพทย์เริ่มทำการรักษา คุณหมอจะทำการรักษาบริเวณที่คนไข้กังวล ทั่วหน้า หรือแผ่นหลัง ใช้เวลา 10-15 นาที
IPL ใช้รักษารอยสิว จุดด่างดำมาแล้ว 2 ทศวรรษ
IPL ผ่านการพิสูจน์ทางการแพทย์มาแล้วกว่า 20 ปี และได้รับการยอมรับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษารอยสิว
สรุป IPL
หากคุณกำลังมองหาวิธีรักษารอยสิวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เห็นผลชัดเจนในราคาที่สูง IPL เป็นตัวเลือกที่ดี และเพียงพอแล้วกับการจัดการรอยสิว จุดด่างดำในทุกบริเวณ
อาการตุ่มเล็กๆ หรือ ผดที่ขึ้นเฉพาะช่วงบ่าย แล้วหายไปเองนั้น ส่วนใหญ่มักไม่ใช่สิวจริงๆ แต่เป็น “สิวเทียม” หรือผดร้อน ที่เกิดจากการระคายเคือง สาเหตุหลักมาจาก ความร้อน, แสงแดด, และเหงื่อ ที่กระตุ้นให้ต่อมเหงื่ออุดตันชั่วคราว นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการที่ เครื่องสำอางทำปฏิกิริยากับเหงื่อ หรือการเติบโตของเชื้อยีสต์บนผิวหนังเมื่อมีความมันและความอับชื้นสูงในช่วงระหว่างวันค่ะ การรักษาจึงเน้นไปที่การลดความร้อน การซับเหงื่อ และการทำความสะอาดผิวให้หมดจดค่ะ
เป็นคำถามที่เห็นภาพตาม 🙂 พอเห็นหนองเหลืองๆ ขึ้นมาแล้วก็อยากจะให้มันยุบไวๆ สำหรับคำถามที่ว่า “สิวที่มีหนองเหลืองๆ แล้ว ยังฉีดสิวให้ยุบได้ไหม?” หมอขออธิบายแบบนี้นะคะ
โดยทั่วไปแล้ว หมอจะไม่แนะนำให้ฉีดสิวในระยะที่เป็นหนองเต็มที่แล้วค่ะ เหตุผลหลักๆ เลยก็คือ การฉีดยาเข้าไปในสิวที่มีการติดเชื้อและมีหนองสะสมอยู่เยอะ อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้การติดเชื้อกระจายตัวออกไปในบริเวณข้างเคียงได้ค่ะ อีกทั้งตัวยาอาจจะเข้าไปทำงานได้ไม่เต็มที่ และที่สำคัญคือ มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยบุ๋มหรือหลุมสิวถาวรได้ง่ายขึ้น หลังจากที่สิวยุบตัวลงค่ะ เพราะในช่วงที่สิวเป็นหนอง ผนังของต่อมไขมันจะบางมากอยู่แล้ว การฉีดเข้าไปอาจทำให้ผนังแตกและเนื้อเยื่อผิวเกิดความเสียหายได้ง่ายกว่าปกติค่ะ
ดังนั้นแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับสิวลักษณะนี้คือ การสะกิดเปิดหัวสิวเพื่อระบายหนองออกอย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญ มากดที่คลินิกได้ค่ะ หลังจากกดหนองออกจนหมดแล้ว หากสิวยังมีการอักเสบ บวมแดงอยู่ข้างใต้ ในกรณีนี้คุณหมออาจจะพิจารณาฉีดสิวในปริมาณน้อยๆ เพื่อช่วยลดการอักเสบที่เหลืออยู่ ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบได้ไวขึ้นและลดโอกาสการเกิดรอยดำรอยแดงได้ดีกว่าค่ะ สรุปง่ายๆ คือ ควรให้คุณหมอกดหนองออกก่อน แล้วค่อยพิจารณาฉีดลดอักเสบเสริมจะปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ อย่าพยายามบีบหรือเค้นเองเด็ดขาดนะคะ เพราะจะยิ่งทำให้ช้ำและเสี่ยงเป็นแผลเป็นได้ง่ายมากค่ะ
จะบอกว่าหมอตอบคนไข้จะร้อยคนได้แล้วคำถามนี้ 🙂
หมอเข้าใจเลยค่ะว่าอาจจะสับสนได้ง่ายมากๆ เพราะเราได้ยินคำนี้บ่อยจริงๆ ขออธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ นะคะ “เรตินอล” (Retinol) คือ ชื่อของสารซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ค่ะ ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อหรือชื่อยาโดยตรงนะคะ ให้คิดซะว่า “เรตินอล” เป็นเหมือนชื่อของ “ส่วนผสมฮีโร่” ตัวหนึ่งในวงการสกินแคร์ ที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดเลือนริ้วรอย และแก้ปัญหาสิวค่ะ
ทีนี้ ความสับสนมันเกิดตรงที่ว่า พอสารตัวนี้โด่งดังและดีมาก แบรนด์สกินแคร์ต่างๆ ก็นำ “เรตินอล” ไปเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์ของตัวเองค่ะ เราเลยจะเห็นชื่อเรตินอลอยู่บนฉลากครีมหรือเซรั่มหลากหลายยี่ห้อ ดังนั้นสรุปง่ายๆ คือ เรตินอลเป็นชื่อสารออกฤทธิ์ ที่แบรนด์ต่างๆ นำไปใส่ในผลิตภัณฑ์ของตัวเองเพื่อช่วยดูแลผิวเราให้สวยใสยังไงล่ะคะ ไม่ต้องสับสนแล้วน้า
การรักษาสิวโดยไม่กดสิว สามารถทำได้อย่างแน่นอนค่ะ โดยเน้นการรักษาที่ต้นเหตุด้วยการใช้ ยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เพื่อผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน ทำให้สิวหลุดออกไปเอง ควบคู่กับการใช้ ยาฆ่าเชื้อ เช่นกลุ่ม Benzoyl Peroxide เพื่อลดการอักเสบของสิว หรืออาจใช้วิธีเสริมอย่าง การฉีดสิวอักเสบ ให้ยุบลงอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความมีวินัยในการทายา ดูแลผิวให้แข็งแรง และทากันแดดสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนใสได้
และที่สำคัญ ต้องให้ข้อมูลหมอโดยละเอียด เพื่อจะได้ค้นหาสาเหตุการเกิดสิว และแก้ตรงจุดไปพร้อมๆกันค่ะ จะได้ไม่กลับไปเป็นสิวซ้ำๆแบบเดิมนะคะ และ 99% ของคนไข้ที่ถามหมอแบบนี้ เพราะว่ากลัวเข็ม เคยเห็นคลิปกดสิวในยูทูปแล้วกลัวเจ็บ แต่หมอจะบอกว่าการกดสิวก็ถือเป็นทางเลือกในการกำจัดสิว ซึ่งต้องพิจารณาว่าเหมาะกับสิวของคนไข้แต่ละคนไหมด้วยค่ะ
หากแพ้หรือระคายเคืองจาก Benzac (benzoyl peroxide) สามารถเปลี่ยนมาใช้ยาของคลินิกที่มีฤทธิ์ช่วย “ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว” และช่วยลดสิวเสี้ยน-อุดตันได้เช่นกัน โดยเนื้อเจลทาง่าย ไม่มีกลิ่นฉุน ไม่มีน้ำหอม และโดยทั่วไปจะมีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่า เหมาะกับผิวที่ไวต่อการระคายเคือง จุดสำคัญคือยังคงตอบโจทย์หลักเรื่องการควบคุมเชื้อ C. acnes และช่วยเปิดทางให้สิวอุดตันหลุดง่ายขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่อย่างต่อเนื่อง
การใช้ตัวนี้แทนสามารถช่วยเรื่องการควบคุมแบคทีเรียได้และมักจะ ระคายเคืองน้อยกว่า แต่ควรปรับตามคำแนะนำแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ ปลอดภัยและต่อเนื่อง
แม้ว่าคนไข้จะล้างหน้าเป็นประจำ แต่ สิวอุดตันก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้จาก 4 สาเหตุหลัก คือ เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ซึ่งการล้างหน้าทั่วไปเอาออกไม่หมด, การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมา มากผิดปกติ, การใช้สกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่ มีส่วนผสมที่อุดตันง่าย และล้างออกไม่เกลี้ยง, รวมถึง การรบกวนผิวหน้ามากเกินไป จนเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คือต้นตอที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นผิวค่ะ
สำหรับคำถามที่ว่า Pico laser สามารถช่วยดูแลปัญหาผิวในด้านไหนได้บ้าง สามารถดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมหลายรอยโรคเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น
- เรื่องเม็ดสี: ช่วยลด ฝ้า กระ จุดด่างดำ ทั้งชนิดตื้นและลึก ทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
- เรื่องรอยสิว: จัดการได้ทั้ง รอยดำและรอยแดงจากสิว ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง
- เรื่องรอยสัก: สามารถ ลบรอยสัก ให้จางลงได้
- เรื่องคุณภาพผิว: ช่วย ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และ กระชับรูขุมขน ให้เล็กลง
สำหรับคำถามที่ว่าแต่ละปัญหาต้องทำกี่ครั้ง โดยทั่วไปแล้วจำนวนครั้งจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการประเมินของแพทย์ ต้องส่งภาพมาให้หมอประเมิน หรือนัดปรึกษา จึงจะให้คำแนะนำได้ตรงจุดที่สุดค่ะ
สาเหตุที่ทำให้รูขุมขนดูกว้าง เกิดได้จากหลายปัจจัยค่ะ ปัจจัยหลัก ได้แก่
- พันธุกรรม ซึ่งมีผลต่อขนาดรูขุมขนโดยตรงค่ะ
- ผิวมัน หรือมีการผลิตน้ำมันใต้ผิวมากเกินไป ทำให้รูขุมขนขยายตัวเพื่อขับน้ำมันออก
- มีสิ่งอุดตัน เช่น เซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือไขมันสะสมในรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น
- อายุที่เพิ่มขึ้น คอลลาเจนและความยืดหยุ่นผิวลดลง ผิวจึงไม่กระชับเหมือนเดิม
- การดูแลผิวไม่เหมาะสม เช่น ล้างหน้าไม่สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไป หรือไม่ทาครีมกันแดด
ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้นได้ค่ะ ถ้าอยากให้รูขุมขนกระชับขึ้น อาจต้องเน้นการดูแลผิวให้สะอาด หลีกเลี่ยงการอุดตัน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับสมดุลน้ำมัน และดูแลผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอนะคะ