ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

เนื้อหานี้เกี่ยวกับการเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับสีผิวและกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ตารางสรุปเนื้อหาครีมกันแดด

หัวข้อรายละเอียด
SPF (Sunburn Protection Factor)ค่าที่บ่งบอกระยะเวลาในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ยิ่งค่าสูง ยิ่งปกป้องได้นาน คำนวณคร่าวๆ ได้จาก $$ระยะเวลาที่ผิวไหม้โดยไม่ทาครีมกันแดด (นาที) x ค่า SPF = ระยะเวลาที่ผิวได้รับการปกป้อง (นาที)$$
PA (Protection Grade of UVA)ค่าที่ใช้วัดระดับการปกป้องผิวจากรังสี UVA แบ่งเป็น 3 ระดับ
• PA +ปกป้องรังสี UVA ระดับปานกลาง (2-4 เท่า)
• PA ++ปกป้องรังสี UVA ระดับสูง (4-8 เท่า)
• PA +++ปกป้องรังสี UVA ระดับสูงสุด (8-16 เท่า)
ระดับ SPF ที่แนะนำ
• ผิวขาวอมชมพูควรใช้ SPF 50+ ทุกช่วงเวลา
• ผิวขาวควรใช้ SPF 30 เป็นเวลา 1-3 ชั่วโมง และ SPF 50+ หากอยู่กลางแจ้งนานกว่านั้น
• ผิวขาวเหลืองควรใช้ SPF 8-14 ในร่ม, SPF 15 เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง, SPF 30 เป็นเวลา 3 ชั่วโมง และ SPF50+ หากอยู่กลางแจ้งนานกว่านั้น
• ผิวเข้มควรใช้ SPF 8-14 ในร่ม, SPF 15 เป็นเวลา 1-3 ชั่วโมง และ SPF 30 หากอยู่กลางแจ้งนานกว่านั้น

หมายเหตุ: ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง หากอยู่กลางแจ้ง หรือหลังจากเหงื่อออกหรือเล่นน้ำ

วิธีเลือกครีมกันแดด

เลือกโลชั่นกันแดดอย่างไรให้ปัง

แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยก่อนวัย แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการปกป้องผิวของเรา แต่ครีมกันแดดนั้นมีมากมายหลายแบบ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบบไหนที่เหมาะกับเรา วันนี้เรามาทำความรู้จักกับครีมกันแดดแต่ละประเภท รวมถึง SPF และ PA ที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อกันค่ะ

ชนิดของครีมกันแดด

ครีมกันแดดมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  • ครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen:
    • กลไกการทำงาน: เป็นครีมกันแดดที่ทำหน้าที่เสมือนกระจกสะท้อนแสงแดดออกไปจากผิวทันทีที่ทา
    • ส่วนผสม: มักมีส่วนผสมของ Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide
    • ข้อดี: อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย ปลอดภัย ไม่ก่อการระคายเคือง สามารถใช้ได้แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย
    • ข้อเสีย: เนื้อสัมผัสค่อนข้างหนา เกลี่ยยาก อาจทำให้ผิวหน้าวอกได้ ไม่เหมาะกับการแต่งหน้า
  • ครีมกันแดดแบบ Chemical Sunscreen:
    • กลไกการทำงาน: ดูดซับรังสี UV เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน และปล่อยออกจากผิว
    • ส่วนผสม: มักมีส่วนผสมหลหลากหลาย เช่น Oxybenzone, Avobenzone, Octinoxate
    • ข้อดี: เนื้อสัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่ทิ้งคราบขาว ไม่ทำให้หน้าวอก
    • ข้อเสีย: อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

SPF คืออะไร เลือกเท่าไหร่ดี?

SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่ทำให้ผิวไหม้ แดง และก่อมะเร็งผิวหนัง โดย SPF จะบอกว่าครีมกันแดดสามารถปกป้องผิวจาก UVB ได้นานเท่าใด เช่น SPF 15 หมายความว่า ครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้นานกว่าการไม่ทาครีมกันแดดประมาณ 15 เท่า หรือประมาณ 2.5 ชั่วโมง เป็นต้น

แล้วควรเลือก SPF เท่าไหร่?

  • SPF 15: เหมาะกับการทำกิจกรรมในร่ม หรือโดนแดดอ่อน ๆ
  • SPF 30: เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งทั่วไป
  • SPF 50 ขึ้นไป: เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องโดนแดดจัดเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ต้องการการปกป้องแบบสูงสุด
ครีมกันแดด ยี่ห้อไหนดี

PA+++ คืออะไร สำคัญอย่างไร?

PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่ทำร้ายผิวลึกถึงชั้นคอลลาเจน ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวเหี่ยวย่น และจุดด่างดำ โดย PA จะมีเครื่องหมาย + กำกับ ยิ่งมีจำนวน + มาก แสดงว่าปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากขึ้น

  • PA+: ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ปานกลาง
  • PA++: ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ดี
  • PA+++: ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ดีมาก
  • PA++++: ปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ดีเยี่ยม (พบได้น้อย)

เลือกครีมกันแดด ตามลักษณะผิว?

  • พิจารณาจากกิจกรรม: หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA สูง ๆ
  • พิจารณาจากสภาพผิว:
    • ผิวแห้ง: ควรเลือกครีมกันแดดเนื้อครีม
    • ผิวมัน: ควรเลือกครีมกันแดดเนื้อเจล หรือเนื้อมูส
    • ผิวแพ้ง่าย: ควรเลือกครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ
  • เลือกใช้ให้เหมาะสม: ควรทาครีมกันแดดย้อนขึ้น เพื่อป้องกันริ้วรอย และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง หากอยู่กลางแจ้ง หรือหลังจากทำกิจกรรมที่เหงื่อออกมาก
วิธีเลือกครีมกันแดด

เลือกเนื้อครีมกันแดดที่เหมาะกับเรา

เนื้อครีมกันแดดมีหลหลายแบบ แต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เลือกใช้ได้ตามความชอบและสภาพผิวได้เลยค่ะ

  • ครีมกันแดดแบบครีม (Cream): เนื้อสัมผัสหนัก เข้มข้น เหมาะกับผิวแห้ง ผิวธรรมดา หรือใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ครีมกันแดดแบบโลชั่น (Lotion): เนื้อสัมผัสเหลวกว่าแบบครีม ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะกับผิวผสม ผิวธรรมดา หรือใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ครีมกันแดดแบบเจล (Gel): เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งความมัน เหมาะกับผิวมัน ผิวเป็นสิวง่าย หรือผู้ที่ต้องการความรู้สึกสบายผิว
  • ครีมกันแดดแบบน้ำ (Water-based): เนื้อสัมผัสเหลว ซึมซาบเร็วมาก ให้ความรู้สึกบางเบา สบายผิว เหมาะกับทุกสภาพผิว
  • ครีมกันแดดแบบสเปรย์ (Spray): ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว เหมาะกับการใช้กับผิวกาย
  • ครีมกันแดดแบบแท่ง (Stick): พกพาสะดวก เหมาะสำหรับการเติมระหว่างวัน
  • ครีมกันแดดแบบแป้ง (Powder): เนื้อสัมผัสบางเบา คุมมัน เหมาะกับการใช้เติมระหว่างวัน

** นอกจากนี้ ครีมกันแดดยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่น กันน้ำ กันเหงื่อ หรือมีส่วนผสมของรองพื้น ซึ่งควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว และกิจกรรมที่ทำด้วยนะคะ

การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ถือเป็นการลงทุนเพื่อผิวสวยสุขภาพดีในระยะยาว อย่าลืมเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรมของตัวเอง เพื่อการปกป้องที่สมบูรณ์แบบนะคะ

แดดบ้านเราแรงขนาดนี้ ไม่ปกป้องผิวตั้งแต่ตอนนี้ ฝ้ากระ หน้าหมองคล้ำ ถามหาก่อนวัยอันควรแน่ๆค่ะ