โบท็อกซ์และฟิลเลอร์เมื่อเพิ่งตั้งครรภ์
สวัสดีค่ะคนไข้ หมอขอตอบคำถามนี้ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจง่ายนะคะ
สำหรับผู้หญิงหลายคนที่เพิ่งทราบว่าตัวเอง ตั้งครรภ์ แต่ก่อนหน้านี้เพิ่งได้รับการฉีด โบท็อกซ์ หรือ ฟิลเลอร์ อาจจะรู้สึกกังวลว่า จะมีผลกระทบอะไรกับลูกหรือเปล่า วันนี้หมอขออธิบายประเด็นนี้อย่างละเอียดค่ะ
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์คืออะไร?
ก่อนอื่นขอให้เข้าใจว่า
- โบท็อกซ์ (Botox) เป็นโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรีย ใช้ฉีดเพื่อลดริ้วรอย หรือลดกล้ามเนื้อบางส่วนบนใบหน้า
- ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารเติมเต็มชนิดหนึ่ง เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่ใช้ฉีดเพื่อเพิ่มวอลลุ่มและความกระชับให้ผิว
หลังฉีดแล้วเพิ่งรู้ว่าตั้งครรภ์ ต้องกังวลไหม?
ข่าวดีคือ ปัจจุบันยังไม่มีรายงานวิจัยทางการแพทย์ ที่ระบุว่า “โบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์ที่ฉีดช่วงก่อนรู้ว่าตั้งครรภ์จะทำให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์” แต่เนื่องจากโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนในสตรีมีครรภ์ หมอจึงแนะนำว่าไม่ควรฉีดในขณะตั้งครรภ์หรือขณะให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัยสูงสุดค่ะ
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย เช่น คนไข้ที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ไปแล้วผ่านไป 1 – 2 สัปดาห์ถึงรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ปัจจุบันก็ยังไม่พบทารกที่มีความผิดปกติจากกรณีนี้ค่ะ แต่สำหรับคนที่รู้แล้วว่าตัวเองตั้งครรภ์ หมอขอแนะนำให้ชะลอการฉีดทุกชนิดไปก่อน ถ้าเป็นเคสฉีดฟิลเลอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดสลาย หรือทำการใดๆกับร่างกายค่ะ
ถ้ารู้ตัวว่าตั้งครรภ์หลังฉีด ต้องทำอย่างไร?
- ไม่ต้องตกใจ หรือวิตกกังวลจนเกินไป เพราะโบท็อกซ์จะทำงานอยู่เฉพาะบริเวณที่ฉีด ไม่กระจายไปทั่วร่างกาย ส่วนฟิลเลอร์ก็มีความปลอดภัยสูงและจะสลายตัวเองตามธรรมชาติ
- ติดตามฝากครรภ์ตามนัด แจ้งแพทย์ผู้ฝากครรภ์ให้ทราบเกี่ยวกับประวัติการฉีด
- หลีกเลี่ยงการฉีดซ้ำ ในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตรจนกว่าจะพ้นระยะที่เหมาะสม
เพราะอะไรถึงห้ามฉีดตอนท้อง?
“เพราะแม้จะยังไม่มีรายงานว่าโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์เมื่อฉีดก่อนทราบว่าตั้งครรภ์จะเป็นอันตราย แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลวิจัยรับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ในหญิงตั้งครรภ์ค่ะ ดังนั้นหลักของความปลอดภัยสูงสุดจึงแนะนำ ‘งด’ การฉีดทุกชนิดในช่วงเวลานี้”