INBO คืออะไร?
INBO เป็น Botulinum Toxin Type A ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุดิบหลัก (Raw Material) คือ CCUG 7968 และได้รับการขึ้นทะเบียนสำหรับการรักษาริ้วรอยระหว่างคิ้ว (Glabellar Lines) ในหลายประเทศ เช่น เกาหลี ไทย และที่อื่นๆ ทั่วโลก

จุดเด่นของ INBO
- เห็นผลเร็วภายใน 1-3 วัน (ริ้วรอย)
- ลดโอกาสการดื้อยา
- การกระจายตัวยาคงที่
- ออกฤทธิ์ตรงจุดอย่างอ่อนโยน
- ผลิตด้วยกระบวนการ Vacuum Drying Method และ Quality by Design (QbD)

Botulinum Toxin ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์จะเหมือนกัน
Botulinum toxin (โบทูลินัมท็อกซิน) เกิดจากแบคทีเรียชื่อ “Clostridium botulinum” ซึ่งในธรรมชาติมีอยู่หลายชนิด หลายสายพันธุ์ แต่ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์จะให้ผลลัพธ์หรือคุณสมบัติที่เหมือนกัน เพราะ
- ที่มาของสายพันธุ์ที่มีความแตกต่างกัน
- วิธีการเพาะเลี้ยงแบคทีเรียและการสกัดโปรตีน
- องค์ประกอบของโปรตีน มีสิ่งเจือปนหรือไม่ ?
- โอกาสเกิดแอนติบอดีหรือภาวะดื้อยามากน้อยแค่ไหน
นั่นคือเหตุผลที่ “แหล่งที่มาของสายพันธุ์” จึงมีความสำคัญไม่แพ้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ภายนอก
การเตรียมตัวก่อนทำ INBO
- พักผ่อนให้เพียงพอ เตรียมร่างกายและใบหน้าให้พร้อม
- งดวิตามินหรือสมุนไพรที่อาจทำให้เลือดหยุดไหลยาก 1-2 สัปดาห์
- งดใช้ยาแก้ปวด แอสไพริน และยากลุ่ม NSAIDs 1-2 สัปดาห์
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 48 ชั่วโมงก่อนรับบริการ
- ควรปรึกษาแพทย์และแจ้งปัญหาที่ต้องการแก้ไขให้ชัดเจน

การดูแลตนเองหลังทำ INBO
- หลังฉีด ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ทำทันที
- งดนอนราบประมาณ 3-4 ชั่วโมง
- งดประคบร้อน 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนในชั้นผิว
- หากทำบริเวณกราม หลังฉีดให้เคี้ยวหมากฝรั่งสองข้างเท่าๆ กัน
- หลังฉีดประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
- หากมีรอยนูนแดง จะหายไปเองภายใน 1-2 ชั่วโมง

โดยทั่วไปแล้ว การฉีดโบท็อกซ์กรามที่ถูกวิธี จะไม่ทำให้หน้าห้อยค่ะ เพราะกระบวนการนี้เป็นการลดขนาดกล้ามเนื้อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความหย่อนคล้อยของผิวโดยตรง
แต่ที่บางคนรู้สึกว่าหน้าห้อย มีสาเหตุดังนี้ค่ะ
- ฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่มากเกินไป จนกล้ามเนื้อกรามลีบเร็วเกิน ส่งผลให้ผิวอาจดูห้อยจากที่เคยมีกล้ามเนื้อพยุงไว้
- กรณีบางคนที่โครงสร้างใบหน้ามีไขมันน้อย หรือเนื้อแก้มบาง เมื่อกรามเล็กลงอาจแอบรู้สึกว่าผิวตรงแนวกรามหย่อนกว่าเดิมเล็กน้อย
สำหรับเคสที่มีไขมันแก้มเยอะ เวลาฉีดโบท็อกซ์กรามแล้วกล้ามเนื้อกรามยุบลง ใบหน้าจะดูเรียวขึ้น แต่ ถ้าไขมันบริเวณแก้ม, มุมกราม หรือเหนียงเยอะอยู่แล้ว ในบางคนอาจสังเกตว่าไขมันตรงนั้น “ดูหย่อน” มากกว่าเดิมได้ค่ะ กรณีนี้ต้องหาตัวช่วยอื่นในการจัดการกับไขมันร่วมด้วย ดังนั้นการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อลดกรามอย่างเดียวยุคนี้ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆของใบหน้าด้วย ว่าทำแล้วจะส่งผลดีมากน้อยแค่ไหนกับรูปหน้าของเราค่ะ
หลังจากฉีด Sculptra แล้ว แนะนำให้เว้นระยะห่างก่อนที่จะฉีด โบท็อกซ์ หรือ ฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ค่ะ
เหตุผลก็เพราะ Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึกซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะในการเซตตัวและกระจายวัสดุให้ทั่วบริเวณที่ฉีดค่ะ การรบกวนด้วยหัตถการอื่นๆ (เช่น การเติมฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์) อาจทำให้ผลลัพธ์ของ Sculptra ไม่สวยอย่างที่ควรจะเป็น หรือเพิ่มความเสี่ยงบวม/ช้ำมากขึ้น
ยกเว้นว่าอยากฉีดลดกราม สามารถฉีดไปพร้อมกันได้เลย เพราะโบท็อกซ์กรามฉีดเข้ากล้ามเนื้อกรามโดยตรง และไม่ส่งผลต่อการบวมช้ำ ทับซ้อนกับตำแหน่งฉีดพวก Biostimulator
ได้ผลค่ะ เพราะจมูกเรามีกล้ามเนื้ออยู่ การฉีดโบท็อกซ์ลดปีกจมูก “เห็นผลจริง” จากงานวิจัยใหม่ปี 2025 ที่ใช้ ultrasound ยืนยัน พบว่าการฉีด 2–3 จุดสำคัญรอบปีกจมูกและฐานปลายจมูก จุดละ 2-3 ยูนิต สามารถช่วยให้ปีกจมูกแคบลงและแนวสันจมูกดูคมชัดขึ้น โดยจะเริ่มเห็นผลประมาณ 3–7 วัน และผลชัดสุดใน 2 สัปดาห์ค่ะ ผลลัพธ์นี้รองรับด้วยข้อมูลกายวิภาคและภาพเปรียบเทียบก่อน-หลังจากในงานวิจัยจริงเลยค่ะ
เทคนิคนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ปีกจมูกบาน หรืออยากให้แนวแกนจมูกดูคมชัดขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนรูปจมูกแบบธรรมชาติ ปลอดภัย แผลน้อย และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำ โดยเฉพาะในเคสที่กล้ามเนื้อบริเวณปีกจมูกและฐานจมูกทำงานเด่น เช่น เวลายิ้มปีกจมูกขยายออก เวลาหายใจแรงหรือแสดงสีหน้าแล้วจมูกจะขยับหรือปีกจมูกบานโดยไม่ตั้งใจ หรือมีปัญหา nasal tip ตก หมอเองก็เคยเจอเคสแบบนี้บ่อยค่ะ การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดการเคลื่อนไหวส่วนนี้ ทำให้จมูกดูเรียวขึ้น และนิ่งขึ้นโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมาะมากสำหรับใครที่อยากปรับรูปจมูกให้ดูดีขึ้นแบบธรรมชาติค่ะ
ถ้าคนไข้เพิ่งไปฉีดโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์ แล้วเพิ่งมารู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ ไม่ต้องกังวลมาก เพราะจากข้อมูลทางการแพทย์ยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ค่ะ แต่ควรงดฉีดทุกชนิดในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร สำหรับทีมแพทย์ของดีเลิฟเวอรี่คลินิก ซักประวัติก่อนรับบริการ ถ้าคนไข้มีตั้งครรภ์จะไม่แนะนำทุกกรณีค่ะ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด หรือหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมปรึกษาหมอประจำตัวหรือแพทย์ผู้ฝากครรภ์ได้เลยนะคะ
หลายคนที่ใช้ชีวิตหรือทำงานอยู่ต่างประเทศ เมื่อถึงเวลาวันหยุดหรือกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย ก็มักจะนัดมาปรึกษาหรือทำหัตถการความงามกัน ไม่ว่าจะฉีดฟิลเลอร์ เติมเต็มร่องลึก หรือโบท็อกซ์ลดริ้วรอย เพราะคนไข้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หมอไทยเรานี่แหล่ะดีสุดแล้ว ทั้งคุยเข้าใจง่าย รู้ความต้องการจริงๆ แม้จะไม่ได้บอก และงานบริการ ราคาก็เข้าถึงได้ง่ายกว่าหลายประเทศ ซึ่งหลายคนวางแผนไว้ว่ากลับไทยปีละครั้งก็ต้องสวยแบบจบครบ ก่อนบินกลับไปเริ่มต้นงานใหม่อีกครั้ง
คนไข้หมอถามบ่อยสุด ก็คือ “ถ้าหมอฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์วันนี้ พรุ่งนี้หรืออีกสองสามวันฉันบินเลยได้ไหม?” หรือบางคนฉีดแล้วบึ่งไปสนามบินเลยได้ไหม กลัวว่าจะมีปัญหา ต้องถูกปฏิเสธขึ้นเครื่อง หรือเกิดผลข้างเคียงระหว่างการเดินทางหรือเปล่า วันนี้หมอจะขอสรุปข้อควรรู้และคำแนะนำแบบเข้าใจง่าย ให้คนไข้เตรียมตัวและวางแผนความสวยได้อย่างมั่นใจก่อนเดินทางกลับต่างประเทศค่ะ
หมอเชื่อว่าหลายคนที่สนใจฉีดโบท็อกซ์ อาจจะยังมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการเลือกคลินิกและการดูแลตัวเอง ก่อน–หลังฉีดอยู่บ้างนะคะ วันนี้หมอรวมข้อควรรู้ ให้ทุกคนใช้เป็นเช็กลิสต์ก่อนตัดสินใจฉีดค่ะ
- เลือกแบรนด์ชั้นนำ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี ควรยึดแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแบรนด์บ่อยๆ
- อยากลองแบรนด์ใหม่ๆ ต้องมั่นใจว่าหาข้อมูลดีพอ
- อย่าเชื่อโปรโมชั่นที่ไม่จำกัดยูนิต โบท็อกซ์ที่ดีควรฉีดครั้งเดียวจบ
- เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์จริงๆ เพราะการฉีดโบท็อกซ์มีรายละเอียด แต่คนไข้มักคิดว่าที่ไหนก็เหมือนกัน
- หลังฉีดควรเลี่ยงความร้อน 72 ชั่วโมง เช่น การเข้าซาวน่า เพราะอาจมีผลต่อประสิทธิภาพของยา
- ไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป ควรเว้นระยะห่างประมาณ 4-6 เดือน หลีกเลี่ยงการฉีดซ้ำในช่วงเวลาน้อยกว่า 3 เดือน
ไม่ใช่เรื่องแปลกไปนะคะ ความจริงแล้วคอเหี่ยวก่อนหน้าทั้งที่โดนแดดน้อยกว่า เพราะผิวบริเวณคอบางกว่า มีคอลลาเจนน้อยกว่า แล้วก็แทบไม่มีต่อมไขมันเหมือนผิวหน้า เวลาที่เราดูแลผิวหน้ากันอย่างดี—ทาครีม ทาเซรั่ม ลงกันแดด—แต่ส่วนใหญ่จะลืมดูแลผิวคอไปค่ะ คอก็เลยขาดการบำรุงสะสมไว้นาน ๆ พออายุมากขึ้นผิวตรงคอเลยหย่อนคล้อยเร็วกว่าหน้านั่นเอง
อีกอย่างหนึ่ง เวลาทำกิจกรรมเช่นก้มหน้าดูโทรศัพท์ หรือเล่นมือถือบ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดรอยพับลึกที่คอ (เรียกว่า tech neck) ซึ่งไปเร่งให้คอเหี่ยวไวขึ้นอีก ดังนั้นหมอแนะนำว่าต่อไปนี้ดูแลผิวหน้าท่าไหน ก็ขยับลงมาทาครีมและกันแดดที่คอด้วยนะคะ จะช่วยให้คอดูอ่อนวัยใกล้เคียงกับผิวหน้าค่ะ
ถ้าเราฉีดฟิลเลอร์ตอนอายุมากๆ ซึ่งคำว่ามากของหมอในที่นี้คือ เกิน 60 ขึ้นไป จะมีความเสี่ยงบางประการที่เราต้องระวังค่ะ เนื้อเยื่อบริเวณนั้นบอบบางมากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดการบวม ช้ำมากกว่าปกติ เพราะโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงเหมือนตอนหนุ่มสาว
อีกอย่างหนึ่งที่คนไข้มักจะสงสัย คือเรื่องปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้จะมากขึ้น เพื่อช่วยเติมเต็มรูปหน้าและแก้ไขริ้วรอยที่ลึกขึ้นตามวัย เพราะโครงสร้างกระดูกและผิวที่เปลี่ยนไปนี่เองค่ะ อย่างไรก็ตาม หมอจะประเมินละเอียด ใช้เทคนิคพิเศษและเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้คนไข้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดค่ะ