True beauty begins from within, revealing radiance that lasts beyond time
คุณเคยรู้สึกไหมว่าผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย แก้มยุบ ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและไร้ชีวิตชีวา แม้จะพยายามดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตาม นั่นเป็นเพราะคอลลาเจนชั้นลึกใต้ผิวหนังของเรากำลังสูญเสียไปตามอายุที่มากขึ้น การฟื้นฟูผิวจากภายในจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผิวกลับมาแน่นกระชับได้อย่างยั่งยืน
โปรแกรม StiCol คือนวัตกรรม PLLA Biostimulator รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิด Type I ในชั้นผิวหนังส่วนลึก ด้วยเทคโนโลยีการละลายตัวที่ช้ากว่าและการกระจายตัวที่สม่ำเสมอกว่า StiCol จึงให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนานกว่าเดิม โดยไม่เปลี่ยนรูปหน้าหรือเติมปริมาตรมากเกินไป

StiCol คืออะไร?
StiCol เป็นเทคโนโลยีความงามสุดล้ำที่จัดอยู่ในกลุ่ม Biostimulator ซึ่งหมายถึงสารที่เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกายใต้ชั้นผิว ส่วนประกอบหลักของ StiCol คือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และมีการใช้ในวงการแพทย์และความงามมาอย่างยาวนานและปลอดภัย PLLA ขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถในการกระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ เมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูผิว จะมีความปลอดภัยสูงและไม่ทำให้เกิดก้อนใต้ผิว
หัวใจสำคัญของประสิทธิภาพ StiCol คือเทคโนโลยีพิเศษ “PSMMT™ PLLA Microspheres” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีไมเซลล์ที่ประกอบด้วย PLLA Microspheres, Mannitol และ CMC ช่วยให้ผลิตภัณฑ์กระจายตัวในชั้นผิวได้อย่างดีเยี่ยมและสม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ อนุภาคทรงกลมที่ใช้มีโครงสร้างที่ละเอียดและสม่ำเสมอเป็นพิเศษ แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นทรงกลมไม่แน่นอน ซึ่งอาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนและการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอ
ความแตกต่างของ StiCol Soft & StiCol Volume
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงจุด โปรแกรม StiCol จึงแบ่งออกเป็น 2 รุ่น
StiCol Soft
- คุณสมบัติ: ช่วยในเรื่องคุณภาพผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เติมเต็มใต้ตา หลุมสิว ริ้วรอยเล็กๆ และกระชับรูขุมขน
- บริเวณที่ฉีด: หน้าผาก รอบดวงตา ขมับ แก้มส่วนบน และลำคอ เพื่อให้ผิวโดยรวมดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียนขึ้น
StiCol Volume
- คุณสมบัติ: เน้นการเพิ่มปริมาตรให้ผิวบริเวณแก้มและขมับที่ตอบลงตามวัย ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์และมีมิติ
- บริเวณที่ฉีด: แก้ม และขมับ
คุณสมบัติ | StiCol SOFT (121.7MG) | StiCol VOLUME (365MG) |
---|---|---|
ชั้นผิวหนัง | ฉีดเข้าสู่ชั้น Deep Dermis | ฉีดเข้าสู่ชั้น Subcutaneous |
ความแน่น/ผลลัพธ์ | ให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ เหมาะกับผิวบางและริ้วรอยเริ่มต้น | ให้ผลลัพธ์เด่นชัด มีมิติ เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน |
จุดประสงค์หลัก | ปรับสภาพผิวเบาๆ กระตุ้นคอลลาเจนเล็กน้อย (ซ่อมแซม, เพิ่มความสดใส) | เติมเต็มโครงสร้าง/ร่องลึก เหมาะกับการสูญเสีย Volume มากกว่า |
ผลลัพธ์ที่เห็น | ค่อยเป็นค่อยไป ดูไม่ “จัดเต็ม” เหมาะกับผลลัพธ์แบบผิวเบาๆ | เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เป็นมิติมากกว่า |
ระยะเวลา/ความคงทน | คงตัวในระดับกลาง (ขึ้นอยู่กับการดูแลและเทคนิค) | คงตัวได้นานกว่า ตอบโจทย์การเติมเต็มได้ดีกว่า |
เหมาะสำหรับ | ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เบาๆ เป็นธรรมชาติ ยังไม่ต้องการเติมเต็มเยอะ | ผู้ที่ต้องการเติมเต็ม แก้ปัญหาการสูญเสียปริมาตร หรือมีริ้วรอยลึก |
สรุป | ผลลัพธ์ธรรมชาติ ไม่ต้องการให้ดู “เติมเยอะ” | เติมเต็มโครงสร้าง สำหรับผิวมีร่องลึกหรือสูญเสีย Volume |
StiCol เหมาะกับใคร?
โปรแกรม StiCol เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวต่างๆ ดังนี้
- กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ผิวแข็งแรง สุขภาพดีขึ้น
- ช่วยลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- ผิวดูอิ่มฟู เต่งตึง ใส มีความยืดหยุ่น
- ผลลัพธ์ค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ได้ 1–2 ปี
- เหมาะกับคนที่ผิวบาง มีริ้วรอย หรือเริ่มสูญเสียคอลลาเจน

StiCol คืออะไร ทำไมถึงต่างจาก Filler
คุณสมบัติ | StiCol (Biostimulator) | HA Filler (Hyaluronic Acid) |
---|---|---|
หลักการทำงาน | กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเอง เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน | เติมสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้าไปเพื่อเพิ่มปริมาตรและเติมเต็มร่องลึกโดยตรง |
การเห็นผล | ค่อยเป็นค่อยไป ผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ใน 2-3 เดือน | เห็นผลทันที หลังฉีด |
ลักษณะผลลัพธ์ | ผิวแน่นกระชับ สุขภาพดีขึ้นทั่วบริเวณอย่างเป็นธรรมชาติ ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม | เน้นการเติมเต็มเฉพาะจุด เช่น ร่องแก้ม, คาง, ปาก หรือเพิ่มมิติให้ใบหน้า |
ระยะเวลาคงทน | 1–2 ปี เพราะเป็นคอลลาเจนที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง | 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นและความหนาแน่นของฟิลเลอร์ |
เหมาะสำหรับ | ผู้ที่ผิวบาง, มีริ้วรอย, หรือเริ่มสูญเสียคอลลาเจน ต้องการฟื้นฟูผิวโดยรวม | ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกเฉพาะจุด หรือต้องการปรับรูปหน้าให้มีมิติ |
การสลายตัว | ตัวยากระตุ้น (PLLA) จะสลายไปหมด แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่ยังคงอยู่ | ตัวยา HA จะถูกร่างกายดูดซึมและสลายไปจนหมด |

- โปรแกรม StiCol เป็นผลิตภัณฑ์ชนิด Collagen Biostimulator ที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Poly-L-Lactic Acid หรือ PLLA ซึ่งเป็นสารที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและใช้ในทางการแพทย์มาอย่างยาวนาน
- สิ่งที่ทำให้ StiCol โดดเด่นคือกลไกการทำงานที่แตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แทนที่จะเติมสารเข้าไปเพิ่มปริมาตรทันที StiCol จะค่อยๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากและยั่งยืนกว่า
- เมื่อเทียบกับ Sculptra ซึ่งเป็น PLLA รุ่นแรก StiCol มีโครงสร้างโมเลกุลที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น ช่วยลดปัญหาก้อนหรือผลลัพธ์ที่ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังละลายตัวช้ากว่า ทำให้คอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นสร้างขึ้นมามีคุณภาพดีและคงอยู่ได้นานขึ้น
จุดเด่นที่ทำให้ StiCol แตกต่าง
sequenceDiagram participant P as "ไทม์ไลน์ผลลัพธ์" P->>P: เดือนที่ 0-1<br>ฉีดครั้งที่ 1 และนวดดูแล note right of P: ผลลัพธ์ยังไม่ปรากฏชัดเจน P->>P: เดือนที่ 2-3<br>ระยะเริ่มเห็นผล note right of P: คอลลาเจนเริ่มถูกสร้าง<br>ผิวเริ่มกระชับขึ้น P->>P: เดือนที่ 4-6<br>ระยะเห็นผลชัดเจน note right of P: ผิวยกกระชับ<br>ริ้วรอยลดลงอย่างเด่นชัด P->>P: เดือนที่ 6-18<br>ระยะคงสภาพผลลัพธ์ note right of P: ผลลัพธ์คงที่<br>อยู่ในระดับดีที่สุด P->>P: เดือนที่ 18-24<br>ระยะผลลัพธ์ลดลง note right of P: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ลดลง<br>ตามกระบวนการของร่างกาย
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจริง StiCol ทำงานโดยกระตุ้นให้เซลล์ Fibroblast ในผิวหนังสร้างคอลลาเจน Type I ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่ร่างกายเราสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ใช่แค่การเติมสารเข้าไปชั่วคราว
- ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป ต่างจากฟิลเลอร์ที่เห็นผลทันทีแต่อาจดูเทียมหรือเปลี่ยนรูปหน้า StiCol จะให้ผลลัพธ์ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นภายใน 4-12 สัปดาห์หลังฉีด ทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าคุณดูดีขึ้น สดใสขึ้น แต่บอกไม่ได้ว่าคุณทำอะไรไป
- ยาวนานกว่า 2 ปี เนื่องจาก StiCol กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนจริงๆ คอลลาเจนเหล่านี้จึงคงอยู่ได้นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปที่มักคงอยู่เพียง 9-18 เดือน ผลลัพธ์ของ StiCol สามารถคงอยู่ได้มากกว่า 2 ปี บางรายถึง 3 ปีหากดูแลตัวเองดี
รายละเอียด | StiCol | Sculptra | Radiesse | AestheFill |
---|---|---|---|---|
ส่วนประกอบหลัก | PLLA | PLLA | Calcium Hydroxylapatite (CaHA) | PDLLA |
เทคโนโลยีพิเศษ | PSMMT™ Microspheres | – | – | – |
การกระจายตัวของสาร | สม่ำเสมอมาก | ดี | ดี | ดี |
ระยะเวลาเห็นผล | 2-3 เดือน | 2-3 เดือน | ทันที-3 เดือน | 2-3 เดือน |
ผลลัพธ์คงทน | 1-2 ปี | 2 ปี | 12-18 เดือน | 1-2 ปี |
ความเสี่ยงการเกิดก้อน | ต่ำมาก | ต่ำ | ปานกลาง | ต่ำ |
ความยากในการฉีด | ปานกลาง | ปานกลาง | ง่าย | ปานกลาง |
ย่อยสลายได้ | ใช่ (24 เดือน) | ใช่ (24 เดือน) | ใช่ (12-18 เดือน) | ใช่ (24 เดือน) |
ราคาโดยประมาณ | ปานกลาง-สูง | สูง | ปานกลาง | สูง |
จุดเด่น | กระจายตัวดีที่สุด ไม่เกิดก้อน | ผลลัพธ์คงทนนาน | เห็นผลบางส่วนทันที | เหมาะกับผิวเอเชีย |
คุณสมบัติ | PROFHILO | Ejal40 | StiCol Soft | StiCol Volume |
---|---|---|---|---|
ส่วนประกอบ | ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ความเข้มข้นสูง | ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) | PLLA + CMC + แมนนิทอล | PLLA + CMC |
ประโยชน์ | ปรับโครงสร้างผิวใหม่ กระตุ้นการฟื้นฟู ซ่อมแซมคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อสุขภาพผิวที่ดีในระยะยาว | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินต่อเนื่อง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ยกกระชับมากขึ้น | กระตุ้นคอลลาเจน ช่วยให้ผิวอิ่มฟูขึ้น | ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type I, III |
กลุ่มเป้าหมาย | ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ผิวแห้งเสีย ขาดน้ำ | ผู้ที่ผิวแห้ง ขาดน้ำง่าย ผู้ที่เริ่มกังวลเรื่องริ้วรอย ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า ผิวไม่กระชับ ขาดความยืดหยุ่น | ผู้ที่ต้องการผิวเต่งตึง ผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ผู้ที่อยากให้หน้ากระจ่างใส อิ่มฟูขึ้น ต้องการผลลัพธ์ดูแลผิวพรรณยาวนาน | ผู้ที่ต้องการผิวเต่งตึง ผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ผู้ที่อยากให้หน้ากระจ่างใส อิ่มฟูขึ้น ต้องการผลลัพธ์ดูแลผิวพรรณยาวนาน |
ระยะเวลา | ประมาณ 6-9 เดือน | ประมาณ 6-9 เดือน | 1.5 ปี | 2 ปี |

ปัญหาผิวใดบ้างที่เหมาะกับการรักษาด้วย StiCol
โปรแกรม StiCol เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาวมากกว่าการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มเห็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพผิว

ใบหน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหน้าจะเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นและแรงดึงที่ทำให้ใบหน้ากระชับ StiCol ช่วยกระตุ้นโครงสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับผิวทั้งใบหน้า ทำให้ผิวกลับมาตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าใบหน้าเริ่มหย่อนแต่ยังไม่อยากผ่าตัด
แก้มยุบและร่องแก้มลึก
หนึ่งในสัญญาณของความแก่ที่ชัดเจนที่สุดคือแก้มที่เริ่มยุบลง ทำให้ร่องแก้มดูลึกและใบหน้าดูเหนื่อยล้า StiCol สามารถเติมเต็มปริมาตรที่หายไปแบบค่อยเป็นค่อยไปและดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้ใบหน้าดูป่องหรือเปลี่ยนรูปหน้าไป
ริ้วรอยและรอยพับบนใบหน้า
สำหรับริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิว เช่น ริ้วรอยบนหน้าผาก ริ้วรอยรอบปาก หรือรอยพับต่างๆ StiCol ช่วยลดเลือนริ้วรอยเหล่านี้ได้โดยการเพิ่มความหนาและความแน่นของผิวจากภายใน
ผิวบางและดูแก่กว่าวัย
ผู้ที่มีผิวบางตามธรรมชาติหรือผิวบางจากการเสื่อมสภาพตามอายุมักจะดูแก่กว่าวัยจริง StiCol ช่วยเพิ่มความหนาของผิวหนังจริงๆ ด้วยการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอิ่มเอิบและอ่อนเยาว์ขึ้น
ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืน
หากคุณเคยฉีดฟิลเลอร์และรู้สึกว่าผลลัพธ์ดูเทียมเกินไปหรือหมดเร็วเกินไป StiCol อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติ และคงอยู่ได้นานกว่ามาก
ปัญหาแต่ละจุดใช้กี่ cc

บริเวณที่ฉีด | ปริมาณที่แนะนำ (ต่อครั้ง) | หมายเหตุ / เป้าหมายหลัก |
---|---|---|
ทั่วใบหน้า (Full Face Rejuvenation) | 1 – 2 ขวด (ประมาณ 8 – 20 cc) | เป็นการใช้ที่พบบ่อยที่สุด เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนโดยรวม ทำให้ผิวแน่นกระชับ สุขภาพดีขึ้นทั่วใบหน้า |
ขมับ (Temples) | ข้างละ 2 – 4 cc | เพื่อเติมเต็มขมับที่ตอบหรือยุบตัวลง ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนเยาว์ขึ้น |
แก้ม / กลางใบหน้า | ข้างละ 3 – 5 cc | เพื่อยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย และช่วยลดความชัดของร่องแก้ม |
กรอบหน้า (Jawline) | ข้างละ 3 – 5 cc | เพื่อสร้างกรอบหน้าที่คมชัดขึ้น ลดความหย่อนคล้อยบริเวณแนวกราม |
คอและเนินอก | 1 ขวด (ประมาณ 8 – 10 cc) | เพื่อลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และปรับสภาพผิวบริเวณลำคอให้เรียบเนียนขึ้น |
กระบวนการรักษาด้วย StiCol ใช้เวลานานแค่ไหน
- การรักษาด้วยโปรแกรม StiCol แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที โดยแพทย์จะเริ่มจากการประเมินสภาพผิวและวางแผนการฉีดที่เหมาะสมกับใบหน้าของคุณ
- ก่อนการฉีด แพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้าและอาจทาครีมชาเพื่อลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างการฉีด หลังจากนั้นจะฉีด StiCol เข้าไปในชั้นผิวหนังส่วนลึกตามจุดที่วางแผนไว้ด้วยเทคนิคพิเศษเพื่อให้สารกระจายตัวสม่ำเสมอ
- สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ StiCol ไม่ใช่การรักษาแบบครั้งเดียวจบ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แพทย์มักจะแนะนำให้ฉีด 2-3 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ เพราะกระบวนการสร้างคอลลาเจนต้องใช้เวลาและการฉีดหลายครั้งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้มากขึ้นและสม่ำเสมอกว่า
- หลังจากฉีดครบตามแผนแล้ว คุณจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นภายใน 8-12 สัปดาห์ และผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุดประมาณ 6 เดือนหลังการรักษา
ระยะเวลา | กระบวนการ | ผลลัพธ์ |
---|---|---|
ครั้งที่ 1 (ทันที – 1 เดือน) | สารเริ่มกระตุ้นตัว สร้างคอลลาเจนใหม่ | ⭐ ผิวเริ่มชุ่มชื้น ผู้ขึ่นเล็กน้อย |
ครั้งที่ 2 (กรณีมีปัญหา/ร่องลอยมาก) | ห่างจากครั้งแรก 1-3 เดือน | ⭐⭐ กระตุ้นคอลลาเจนเพิ่ม เติมเต็มการฟื้นฟู ผิวแน่น กระชับ ร่องลอยลดลงชัดเจน |
หลังทำ 2-3 เดือน | คอลลาเจนใหม่ ถูกสร้างต่อเนื่อง | ⭐⭐⭐⭐⭐ ผิวเต้งแรง ยกหยุ่นดีขึ้น เห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด |
อยู่ได้นาน 1-2 ปี | คงผลลัพธ์ยาวนาน | ⭐⭐⭐⭐⭐ ผิวเด็ก อิ่มฟู เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องทำบ่อย |
ข้อดีและข้อควรพิจารณาของการรักษาด้วย StiCol
ข้อดีของโปรแกรม StiCol
- ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายเอง ผลลัพธ์จึงดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป ไม่มีความเสี่ยงที่จะดูแปลกหรือเปลี่ยนรูปหน้า
- คงอยู่ได้นานมาก ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้มากกว่า 2 ปี บางรายถึง 3 ปี ซึ่งยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปที่มักคงอยู่แค่ 9-18 เดือน คุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
- ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม ไม่ใช่แค่เติมเต็มจุดใดจุดหนึ่ง แต่ช่วยปรับปรุงเนื้อผิว ความหนา ความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวทั้งใบหน้า
- ปลอดภัยและใช้ได้ในระยะยาว PLLA เป็นสารที่ใช้ในทางการแพทย์มายาวนานและสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ไม่ทิ้งสารแปลกปลอมในร่างกาย
- ไม่ต้องหยุดพักนาน สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังการรักษา แม้จะมีอาการบวมแดงเล็กน้อยก็สามารถปกปิดได้
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ
- ต้องใช้เวลาเห็นผลลัพธ์ ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลทันที เพราะต้องรอให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาซึ่งใช้เวลา 8-12 สัปดาห์
- ต้องฉีดหลายครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักต้องฉีด 2-3 ครั้ง ซึ่งหมายความว่าต้องมีการนัดหมายหลายครั้งและใช้งบประมาณมากขึ้น
- ราคาสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป แม้จะคุ้มค่าในระยะยาวเพราะอยู่ได้นาน แต่ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป
- ผลลัพธ์ควบคุมยาก เนื่องจากเป็นกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายเอง ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ สภาพผิว การดูแลตัวเอง
- ต้องการเทคนิคและความชำนาญสูง การฉีด StiCol ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต้องอาศัยประสบการณ์และทักษะของแพทย์มาก หากแพทย์ไม่มีประสบการณ์เพียงพออาจเกิดปัญหาการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอหรือก้อน

การเตรียมตัวก่อนรับบริการ StiCol
การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- หลีกเลี่ยงยาและสารเสริมอาหารบางชนิด หยุดรับประทานยาหรือสารเสริมอาหารที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 7 วันก่อนการรักษา เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา กระเทียม โสม เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผิวที่มีความชุ่มชื้นดีจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวันในช่วง 3-5 วันก่อนการรักษา
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพราะแอลกอฮอล์ทำให้เลือดลมไหลเวียนมากขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำ
- แจ้งประวัติสุขภาพครบถ้วน แจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยาหรือสารใดๆ กำลังรับประทานยา มีโรคประจำตัว หรือเคยทำหัตถการใดๆ บริเวณใบหน้า
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่นบริเวณใบหน้า ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากการทำหัตถการอื่นๆ เช่น เลเซอร์ ปอกเปลือกหนังลึก หรือการฉีดสารอื่นๆ
- ไม่แต่งหน้าในวันนัดหมาย มาพบแพทย์โดยไม่แต่งหน้าหรือแต่งหน้าเบาบางเพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพผิวได้ชัดเจนและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- รับประทานอาหารให้เรียบร้อย ควรรับประทานอาหารก่อนมารับบริการเพื่อป้องกันอาการวิงเวียนหรือเป็นลมจากความตื่นเต้น
การดูแลตัวเองหลังรับบริการ StiCol
การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- นวดบริเวณที่ฉีดทุกวัน นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากสำหรับ StiCol แพทย์จะแนะนำให้นวดบริเวณที่ฉีดวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที เป็นเวลา 5 วันหลังการฉีด การนวดจะช่วยให้สารกระจายตัวสม่ำเสมอและลดโอกาสเกิดก้อน
- ประคบเย็นในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก หากมีอาการบวมหรือแดง สามารถประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อช่วยลดอาการบวมและความรู้สึกไม่สบาย แต่ควรหุ้มผ้าไม่ให้น้ำแข็งสัมผัสผิวโดยตรง
- นอนหนุนหัวสูง ในคืนแรกหลังการรักษาควรนอนหนุนหัวสูงกว่าตัวเพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงความร้อนจัด งดซาวน่า อบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนมากเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดและทาครีมกันแดดทุกวัน เพราะการถูกแดดมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบและส่งผลต่อการสร้างคอลลาเจน
- งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการรักษา เพราะส่งผลเสียต่อกระบวนการฟื้นฟูและการสร้างคอลลาเจน
- ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำอย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวันเพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและส่งเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจน
- หลีกเลี่ยงการกดบริเวณที่ฉีด อย่านอนคว่ำหรือกดทับบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และระวังอย่าให้มีแรงกดดันมากเกินไปบริเวณใบหน้า
- ติดตามอาการผิดปกติ หากมีอาการบวมมาก แดงมาก เจ็บมาก หรือมีอาการผิดปกติใดๆ ควรติดต่อแพทย์ทันที
- งดหัตถการอื่นชั่วคราว หลีกเลี่ยงการทำหัตถการอื่นๆ บริเวณใบหน้า เช่น เลเซอร์ ฉีดสารอื่น หรือทำคลีนหน้าลึก อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์หลังการรักษา
ข้อควรรู้ก่อนรับบริการ StiCol
ข้อควรรู้ | คำอธิบาย |
---|---|
StiCol ถือว่าเป็นไหมน้ำได้ไหม | บางสถานพยาบาล หมอบางคนก็เรียกไหมน้ำ แต่ถ้าให้ถูกต้องก็คือ Biostimulator |
ผลลัพธ์เริ่มเห็นเมื่อไหร่ | เริ่มเห็นผลค่อยๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 8-12 สัปดาห์ และจะดีที่สุดประมาณ 6 เดือนหลังรักษา |
ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน | ⭐⭐⭐⭐⭐ มากกว่า 2 ปี บางรายถึง 3 ปี |
ต้องฉีดกี่ครั้ง | แนะนำ 2-3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ |
บวมหรือไม่ | ⭐⭐ บวมเล็กน้อย 2-3 วัน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ |
เจ็บหรือไม่ | ⭐ เจ็บเล็กน้อยคล้ายการฉีดทั่วไป มีการทาครีมชาก่อนฉีด |
เหมาะกับอายุเท่าไหร่ | เหมาะสำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีสัญญาณเสื่อมสภาพผิว |
เทียบกับ Biostimulator ตัวอื่น | ⭐⭐⭐⭐⭐ StiCol มีโครงสร้างที่ปรับปรุงใหม่ ละลายช้ากว่า กระจายตัวสม่ำเสมอกว่า ลดโอกาสเกิดก้อน |
เทียบกับ Filler | ⭐⭐⭐⭐ StiCol กระตุ้นคอลลาเจนจริง อยู่ได้นาน 2-3 ปี ในขณะที่ Filler เติมปริมาตรทันทีแต่อยู่แค่ 9-18 เดือน |
ใช้กับบริเวณใดได้บ้าง | ใบหน้าทั้งหมด โดยเฉพาะแก้ม ร่องแก้ม ขมับ คาง กรอบหน้า |
ต้องนวดหรือไม่ | ⭐⭐⭐⭐⭐ ต้องนวดทุกวัน 5 นาที เป็นเวลา 5 วัน เพื่อให้สารกระจายตัวสม่ำเสมอ |
สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม | ได้ แต่ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ |
ราคาโดยประมาณ | สูงกว่า Filler ทั่วไปแต่คุ้มค่าในระยะยาวเพราะอยู่ได้นานกว่า |
StiCol ราคาเท่าไหร่
- StiCol 1cc ราคา 2,999.-
- StiCol 1 ขวด (10cc) ราคา 19,999.-

ทำไมต้อง ที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case ละเอียด ไม่เร่งรีบ มีเวลาให้คุณถามและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจ
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน ไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าต้องการทำหรือไม่ โดยไม่รู้สึกกดดัน
- จ่ายสบายเลือกได้ มีระบบมัดจำ แบ่งจ่ายได้ มี Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต ทำให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้ตามความสะดวก
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง ไม่ใช่ผู้ช่วยหรือคนละคนในแต่ละครั้ง แพทย์จะติดตามและปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับความต้องการของคุณ
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง รวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่ใช่ดาราหรือ Influencer คุณจะได้เห็นผลลัพธ์จริงจากคนทั่วไปเหมือนคุณ
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้ แพทย์ของเรามีประสบการณ์ในการทำหัตถการ PLLA Biostimulator มาอย่างยาวนาน เข้าใจเทคนิคการฉีดและการนวดที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกผ่านการรับรองมาตรฐาน มีที่จอดรถฟรี สะดวกสบายทั้งสาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง และสาขา Crystal Design Center
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ ข้อมูลรวดเร็ว เช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวผ่าน อย. ไทยและสามารถตรวจสอบความแท้ได้

รีวิวงานผิว Biostimulator


เริ่มต้นการฟื้นฟูผิวจากภายในกับ StiCol วันนี้
ที่ D’ Lovevery Clinic เราเข้าใจทั้งความสวย ความมั่นใจ และความสุข เราจึงมุ่งมั่นให้บริการที่เป็นส่วนตัว มีคุณภาพ และปลอดภัยที่สุด พร้อมที่จะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง ปรึกษาแพทย์ของเราได้แล้ววันนี้
📍 สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง
โทร 064-424-6526
📍 สาขา Crystal Design Center (CDC)
โทร 095-236-4546


“ไหมน้ำ” คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้การ “ฉีด” สารกระตุ้นคอลลาเจนลงใต้ผิวหนังเพื่อฟื้นฟูให้ผิวกลับมาเต่งตึง กระชับ แลดูอ่อนเยาว์ โดย ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น เหมือนการร้อยไหมแบบเดิมๆ ค่ะ ซึ่งไหมน้ำแต่ละชนิดก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป เช่น PLLA (Sculptra) เน้นกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ, PDLLA (Juvelook) เป็นสูตรไฮบริดที่ทั้งกระตุ้นคอลลาเจนและเติมความชุ่มชื้น, PDO (Ultracol) ช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้ผิวตึงกระชับ และ PCL (Gouri) โดดเด่นเรื่องการลดริ้วรอยและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้แต่ละคนค่ะ
หากคนไข้ส่องกระจกแล้วเห็นว่าใต้ตา “เป็นร่องลึกชัดเจน” มีลักษณะยุบตัวลงไป การแก้ไขที่ตรงจุดคือ “การฉีดฟิลเลอร์” เพื่อเข้าไปเติมเต็มร่องนั้นให้ตื้นขึ้นค่ะ แต่ถ้าปัญหาหลักของคนไข้คือ “ผิวใต้ตาบาง” จนมองเห็นเป็นสีคล้ำๆ หรือมี “ริ้วรอยเล็กๆ” เยอะๆ แบบนี้การเลือกทำ “ไหมน้ำ” หรือ Biostimulator เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนาและแข็งแรงขึ้น จะเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากกว่าค่ะ ซึ่งในบางเคสอาจต้องทำทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนะคะ
สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ แม้ Juvelook และ Sculptra จะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่มีความถนัดคนละด้านค่ะ Juvelook จะเน้นการฟื้นฟู “คุณภาพผิว” ในองค์รวม เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ รูขุมขน และปัญหาใต้ตา ทำให้ผิวดูละเอียด เนียนใส และอิ่มฟูขึ้น ในขณะที่ Sculptra จะเน้นเรื่อง “การยกกระชับและปรับโครงสร้าง” เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ปรับกรอบหน้าให้คมชัด หรือเติมเต็มใบหน้าที่ดูตอบลงค่ะ
Juvelook ช่วยลดริ้วรอย แต่ไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือนโบท็อกซ์ Juvelook อาจช่วยปรับสภาพผิวและลดเลือนหลุมสิวได้บ้าง แต่ไม่ใช่วิธีการรักษาหลุมสิวโดยตรง
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ
ปัญหาขอบตาคล้ำและใต้ตาลึกถือเป็นหนึ่งในปัญหายอดฮิตของคนวัยทำงานและสาว ๆ หลาย ๆ คน ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งกรรมพันธุ์ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือแม้แต่โครงสร้างผิวที่เริ่มบางลงเมื่ออายุมากขึ้น ปัจจุบันทางการแพทย์มีทางเลือกในการแก้ไขอยู่มากมาย ทั้งแบบแก้ด่วนและฟื้นฟูระยะยาว แต่สิ่งสำคัญคือแต่ละวิธีให้ผลลัพธ์และความรวดเร็วที่ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วน กลุ่มฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันทีหลังฉีด เหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนลุคในเวลาอันสั้น รองลงมาคือเมโสใต้ตาที่ช่วยให้ผิวใต้ตาสว่างกระจ่างใสในไม่กี่วัน ขณะที่เลเซอร์และ กลุ่มไหมน้ำ จะค่อย ๆ ฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติและชัดเจนในระยะยาว ดังนั้นการเลือกวิธีที่เหมาะสมจึงควรขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคนและความต้องการที่ชัดเจนค่ะ หมอทำข้อมูลเพิ่มเติมให้ด้านล่างนะคะ
คนไข้บอกรักพี่เสียดายน้อง อันนี้เพื่อนบอกดี ยี่ห้อนี้ ดาราบอกดี หมอสรุปให้แบบนี้ค่ะ
ทั้งสองตัวเป็นกลุ่ม “Biostimulator” คือยากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว แต่แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นและวิธีออกฤทธิ์ต่างกัน แบบนี้ถ้าเราฉีดพร้อมกันในวันเดียว หรือจุดเดียวกัน อาจทำให้ผิวสับสน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เต็มที่ หรือผิวมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อนแข็งหรือการอักเสบได้มากขึ้นค่ะ และที่สำคัญ เราจะไม่รู้ว่า ตัวไหนทำงานได้ดีกับผิวเรา เพราะมันเข้าไปพร้อมกัน จุดเดียวกัน นึกภาพตามหมอได้เลย
ถ้าคนไข้มีปัญหาหลายอย่าง หมอจะวางแผนเลือกใช้ให้เหมาะสม แยกเป็นรอบหรือเลือกต่างจุด อย่างเช่น Sculptra หมออาจใช้เติมวอลลุ่มลึกๆ ส่วน JuveLook เหมาะกับผิวบางหรือใต้ตา ผลัดกันดูแลทีละอย่าง จะปลอดภัยกว่าและได้ผลสวยนาน หมออยากให้คนไข้มั่นใจว่าวิธีนี้ปลอดภัยกับผิวหน้าที่สุดค่ะ
หลังจากฉีด Sculptra แล้ว แนะนำให้เว้นระยะห่างก่อนที่จะฉีด โบท็อกซ์ หรือ ฟิลเลอร์ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ค่ะ
เหตุผลก็เพราะ Sculptra จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึกซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะในการเซตตัวและกระจายวัสดุให้ทั่วบริเวณที่ฉีดค่ะ การรบกวนด้วยหัตถการอื่นๆ (เช่น การเติมฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์) อาจทำให้ผลลัพธ์ของ Sculptra ไม่สวยอย่างที่ควรจะเป็น หรือเพิ่มความเสี่ยงบวม/ช้ำมากขึ้น
ยกเว้นว่าอยากฉีดลดกราม สามารถฉีดไปพร้อมกันได้เลย เพราะโบท็อกซ์กรามฉีดเข้ากล้ามเนื้อกรามโดยตรง และไม่ส่งผลต่อการบวมช้ำ ทับซ้อนกับตำแหน่งฉีดพวก Biostimulator