การรักษาสิวด้วยแสง LED (Acne Light Therapy)
การฉายแสง LED เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยบำบัดผิวพรรณได้ดี เพราะสามารถช่วยดูแล ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย รักษาสิว และฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนกว่าวัย สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้น ไม่ก่อให้เกิดรอยแผล และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำเสร็จ โดยที่ D’ Lovevery Clinic หมอได้นำมาใช้กับคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องสิว รักษาสิวเรื้อรังค่ะ
การฉายแสง LED คืออะไร?
การฉายแสง LED LED (Light – Emitting Diode) คือเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่นิยมในการรักษาสิวและดูแลผิวพรรณให้สุขภาพดีขึ้น ทั้งใบหน้าและบริเวณอื่น ๆ มีความปลอดภัยและไม่ร้ายแรงต่อผิว แสง LED ที่มีความเข้มต่างกันสามารถรักษาเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพและฟื้นฟูผิวให้กลับมาดีกว่าเดิม ไม่รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองในระหว่างการรักษา

คนไข้หมอที่มีปัญหาสิวผด สิวเม็ดๆเล็กๆบริเวณไรผม หน้าผาก สามารถใช้ LED รักษาให้ดีขึ้นได้ และการลดการอักเสบ หลังการเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ทั่วหน้า เพื่อป้องกันไม่ใช้สิวเกิดซ้ำๆค่ะ
หมอต้าร์
ขั้นตอนการรักษา D’ Signature-LED
- 🔍 ขั้นตอนที่ 1: เช็ดเครื่องสำอางค์ และทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด
- 💊 ขั้นตอนที่ 2: ใช้ยาและวิตามินที่จำเป็น ตามด้วยมาส์กเพื่อสิวยุบตัวเร็วขึ้น
- 👉 ขั้นตอนที่ 3: กดสิวอุดตันออกอย่างอ่อนโยนทั่วใบหน้า
- 💡 ขั้นตอนที่ 4: ใช้แสง LED คลื่นยาว 2 ความยาวตามสภาพของสิว
- 🧴 ขั้นตอนที่ 5: ทาครีมบำรุงที่อ่อนโยนและครีมกันแดด
- ⏰ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ผิวหน้าจะรู้สึกสะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้น สิวยุบตัวลง แห้งลง สิวเก่ามีอาการที่ดีขึ้น และโอกาสการเกิดสิวใหม่ลดลง
- 🌞 หลังการทำ Signature-LED สามารถใช้ชีวิตปกติได้ แนะนำให้ใช้ยาสิวตามที่แพทย์แนะนำเพื่อการรักษาที่ครบวงจรของสิว
โดยสำหรับผู้ที่ต้องการให้รอยสิวหายเร็วยิ่งขึ้น แนะนำให้ทำ โปรแกรม D’ Signature LED ควบคู่กับการใช้เลเซอร์รักษารอยดำ รอยแดง Signature-IPL เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น

LED แสงสีต่างๆ ช่วยเรื่องอะไร
D’ Lovevery Clinic แนะนำวิธีการรักษาสิวยอดนิยม โดยเน้นการรักษาสิวจากต้นเหตุ และป้องกันการเกิดสิวใหม่ ด้วยขั้นตอนที่ประกอบไปด้วยการกดสิว ฉีดสิว ให้ยาและวิตามินที่จำเป็น ตามด้วยมาส์กสูตรเฉพาะสำหรับผิวเป็นสิว เพื่อให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น และกดสิวอุดตันออก และไฮไลท์สำคัญคือ การฉายแสง LED 2 ความยาวคลื่น เพื่อลดปัญหาการเกิดสิว ช่วยปรับสภาพผิว และทำให้รอยสิวลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการฉายแสงที่มีส่วนช่วยในการรักษาสิวมี 3 แสง ดังนี้
แสงสีฟ้า (ความยาวคลื่น 470 นาโนเมตร): ช่วยฆ่าเชื้อสิว ทำให้สิวที่เป็นอยู่แห้งตัวเร็วขึ้น และป้องกันการเกิดสิวใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวอย่างเร่งด่วน

แสงสีเหลือง (ความยาวคลื่น 590 นาโนเมตร): ช่วยลดรอยแดงและรอยดำจากการเกิดสิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาจุดด่างดำต่างๆบนใบหน้า ทั้งรอยดำและรอยแดงจากสิว กระ ฝ้า รวมถึงผิวหมองคล้ำจากแสงแดด

แสงสีเขียว (ความยาวคลื่น 527 นาโนเมตร): มีคุณสมบัติในการรักษารอยดำ ลดการสร้างเม็ดสี และปรับสีผิวให้กระจ่างใส คล้ายกับแสงสีเหลือง แต่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในการลดรอยดำมากขึ้น นอกจากนี้ แสงสีเขียวยังช่วยรักษาอาการแพ้ผิวต่าง ๆ ได้อีกด้วย

แสงสีแดง (ความยาวคลื่น 630 นาโนเมตเมตร): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพื่อผิวกระจ่างใสและเนียนเรียบขึ้น เหมาะสำหรับคนผู้ที่ต้องการใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ ผิวดูสดใส

คำแนะนำ ก่อน หลัง รับบริการ
ก่อนเข้ารับการฉายแสง LED
- งดทายาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น Tretinoin (Retin-A) Retinols Retinoids Glycolic Acid หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging อย่างน้อย 3 วัน ก่อนรับบริการ
- งดแวกซ์ผิว, ขัดผิว, สครับผิว, นวดหน้า, โกนขน, ดึงขน, เลเซอร์ บริเวณที่จะทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนรับบริการ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ 24 ชั่วโมง ก่อนรับบริการ
- งดกิจกรรมที่ส่งผลให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย ซาวน่า 24 ชั่วโมง ก่อนรับบริการ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว, ยาที่รับประทานประจำ, หรือแพ้ยาก่อนรับบริการ
หลังเข้ารับการฉายแสง LED
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- งดอาบแดด, ซาวน่า, ถูกแสงแดดหรือความร้อนจัด
- ใช้โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่งที่อ่อนโยนต่อผิว
- ไม่ควรล้างหน้าโดยการถูแรงๆ เพื่อป้องกันผิวเกิดการระคายเคือง
D’ Lovevery Clinic เข้าใจคนเป็นสิว เพราะหมอเอง และเจ้าหน้าที่ทุกคนในคลินิก ล้วนแล้วแต่เคยเป็นสิว (แบบหนักมาก) กันมาก่อน เลยทำให้เราเข้าใจคนไข้เป็นอย่างดี และมีวิธีการรักษา ที่อาจจะแตกต่างจากคลินิกอื่น มุ่งเน้นต้นเหตุของสิว และใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการรักษา จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการจัดการกับปัญหาสิว และปรับปรุงสภาพผิวให้ดูสุขภาพดี ผิวกระจ่างใส และกลับมามีความมั่นใจดังเดิม หมอเป็นกำลังใจทุกคนที่กำลังเป็นสิวค่ะ 🙂
ต้องรับการฉายแสงครบ 4 สีทุกครั้งหรือไม่
การฉายแสง LED ไม่จำเป็นต้องฉายครบทั้ง 4 สีในทุกครั้งค่ะ การรักษาจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ โดยพิจารณาจากวัยผู้รับการรักษา, สภาพผิว, และปัญหาผิวที่แต่ละบุคคลเป็นอยู่ ผู้รับการรักษาอาจได้รับการฉายแสงเพียงสีเดียวหรือสลับกันไปตามความเหมาะสม หากผิวหน้าไม่มีปัญหาสิว ก็สามารถฉายแสงเพื่อฟื้นฟูสภาพผิว ลดจุดด่างดำ ริ้วรอย และปรับผิวให้กระจ่างใสได้ค่ะ
หมอแนะนำให้ทำกี่ครั้ง
ผลการรักษาด้วยแสง LED ส่วนใหญ่จะเห็นผลเมื่อรับการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป ซึ่งจะพบว่าสิวอักเสบลดลง, ใบหน้ามีความมันน้อยลง, และรอยสิวดูจางลง หมอแนะนำให้ทำการรักษาสัปดาห์ละครั้ง ต่อเนื่องกัน 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป ความถี่ในการรักษาจะขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละคน เบื้องต้นหมอแนะนำ สองสัปดาห์/ครั้ง ค่ะ
LED รักษาสิว ราคาเท่าไหร่
จะไม่ใช้เบตาดีนเช็ดหน้าก่อนกดสิว เพราะมีความรุนแรงและอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าได้เกินความจำเป็นค่ะ หัวใจสำคัญคือ “เทคนิคปลอดเชื้อ” (Aseptic Technique) ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน ซึ่งมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับผิวหน้าคือการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่อ่อนโยนแต่ประสิทธิภาพสูงอย่าง “คลอเฮกซิดีน” (Chlorhexidine) เพื่อฆ่าเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ทำลายเกราะป้องกันผิวอันบอบบางของคนไข้ค่ะ
ปกติการทาเบตาดีน ที่จะต้องเป็นเคสผ่าตัดเล็ก เช่นผ่าไฝ หรือผ่าไขมันนูนใต้ผิว หรือผ่าตัดใหญ่ๆอื่นๆค่ะ
การปั่น ถือเป็น 1 ในกระบวนการที่ต้องทำค่ะ แต่เป็นเพียงส่วนเดียว ยังมีอีกหลายขั้นตอน PRP คือการนำเลือดของคนไข้เองมาปั่นเพื่อสกัดเอาเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งมี Growth Factors ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซ่อมแซมผิว ลดริ้วรอย รักษาสิว หลุมสิว กระตุ้นการงอกของเส้นผม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ โดยก่อนทำจะมีการทายาชาเพื่อลดความเจ็บปวด หลังทำควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
สิวที่ขึ้นบริเวณคออาจเกิดจากการเสียดสี ความอับชื้น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ฮอร์โมน ความเครียด การแพ้ สุขอนามัย หรือโรคผิวหนัง หรือบางเคสก็เกิดจากของใกล้ตัวมากกว่านั้น ควรเปลี่ยนโฟมล้างหน้าเป็นสูตร Non-SLES, เปลี่ยนครีมโกนหนวด, ใช้ Cleansing, เลิกดื่มนมวัว, เลิกของหวาน, ห้ามบีบสิวเด็ดขาด, ทายา , เปลี่ยนแชมพูเป็นสูตร Organic และทำความสะอาดผิว หลีกเลี่ยงการเสียดสี เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม รักษาสิว และปรึกษาแพทย์ เพื่อให้คอสวยใส ไร้สิว
ปัญหารูขุมขนกว้างเกิดจากหลายสาเหตุ มีหลายโปรแกรมที่ช่วยแก้ปัญหาได้ เช่น เลเซอร์, Microdermabrasion, Chemical Peeling, Microneedling, และการใช้ Skincare ที่มีส่วนผสมของ Retinoids นอกจากนี้ ยังมีวิธีดูแลเบื้องต้นที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน โดยการใช้น้ำเกลือและมาส์กหน้า การเลือกโปรแกรมและวิธีดูแลที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวแข็งแรงและรูขุมขนกระชับค่ะ
สิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน สิวอุดตันเกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ส่วนสิวอักเสบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง สิวเสี้ยนเกิดจากการสะสมของไขมันในรูขุมขน และสิวจากสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์ การทำความเข้าใจประเภทของสิวจะช่วยให้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้
จากประสบการณ์ของหมอ พฤติกรรมส่วนตัวของคนไข้มีผลต่อการเกิดสิวอย่างมาก การไม่ดูแลรักษาความสะอาดผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม การบีบแกะสิว การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้สิวแย่ลง ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสิวให้หายขาด รวมถึงการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
เทรนด์สักฝ้ากระอาจดูน่าสนใจ โดยเฉพาะในต่างประเทศ แต่ในบ้านเราคงไม่เหมาะเท่าไหร่ มีความเสี่ยงหลายประการ เช่น การแพ้สี การติดเชื้อ รอยแผลเป็น และผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ควรพิจารณาความเสี่ยงให้รอบคอบ เลือกสถานบริการที่ได้มาตรฐาน เทรนด์แฟชั่นเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล แต่หมออยากฝากว่าเมื่ออายุมากขึ้น หากมีฝ้ากระตามธรรมชาติเกิดขึ้น ใบหน้าอาจไม่เหมือนเดิม และอาจไม่ชอบตัวเองในตอนนั้น การรักษาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
ยาแต้มสิวส่วนใหญ่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ หรือผลัดเซลล์ผิว ซึ่งช่วยรักษาสิวเฉพาะจุดได้ แต่ไม่ได้แก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดสิว เช่น ความมันส่วนเกิน การอุดตันของรูขุมขน หรือฮอร์โมนที่ไม่สมดุล การใช้ยาแต้มสิวเพียงอย่างเดียวจึงอาจทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้
การรักษาสิวที่ถูกต้องควรครอบคลุมทั้งการดูแลผิวที่สม่ำเสมอ การใช้ยารักษาสิวที่เหมาะสม การทำทรีทเมนท์ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว
การรักษารอยแดงตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดโอกาสที่รอยแดงจะกลายเป็นรอยดำได้ค่ะ เพราะรอยแดงคือสัญญาณเริ่มต้นของการอักเสบที่อาจนำไปสู่การสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป (PIH) ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยดำ ดังนั้น การจัดการกับรอยแดงตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำที่ฝังลึกและรักษายากกว่า
เปรียบเทียบง่ายๆ
- รอยแดง: เหมือนไฟไหม้เล็กๆ ที่ยังสามารถดับได้ง่าย
- รอยดำ: เหมือนตอไม้ที่ถูกไฟไหม้เกรียมแล้ว ดับยากกว่า และอาจต้องใช้เวลานานกว่าในการกำจัด
ดังนั้น หากคนไข้มีรอยแดงเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลและรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้รอยแดงกลายเป็นรอยดำนะคะ









