NCTF 135 HA คืออะไร
ต้องเรียกว่าเป็นต้นฉบับชาแนลเลยก็ว่าได้ หลายคนอาจจะรู้จักในชื่อที่คุ้นหูเช่น Filorga, Real Chanel หรือ Fillmed ชื่อนี้เป็นที่รู้จักในแถบยุโรปเป็น HA (Non Cross-Linked) (เป็นสารเติมเต็มผิวเช่นเดียวกับฟิลเลอร์ แต่มีคุณสมบัติสที่มีส่วนผสมของ Amino acids, Co-enzymes, Nucleic acids วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อผิว จึงเด่นในเรื่องฟื้นฟูผิว กระตุ้นไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน พร้อมช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ

NCTF 135 HA ช่วยเรื่องอะไร
- ช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำจากเม็ดสี ความลึกใต้ตาได้ดี
- กักเก็บความชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิวฉ่ำ
- ซ่อมแซมผิว ทำให้คุณภาพผิวดีขึ้น
- ฟื้นฟูผิวหมองคล่ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใสขึ้น
- ลดริ้วรอย ทำให้ผิวกระชับแน่นขึ้น



NCTF 135 HA มาจากประเทศอะไร
Filorga NCTF 135 HA จัดว่าเป็นสกินบูสเตอร์ เพิ่มคุณภาพผิว และอยู่ในหมวดหมู่ของเมโสชนิดหนึ่ง เมโสเทอราปี (Mesotherapy) ซึ่งมีความเข้มข้นของวิตามินและตัวยาที่จำเป็นต่อผิวหลายตัว มากถึง 50 ชนิด ซึ่งผ่านการพิสูจน์จากศูนย์การวิจัยของประเทศฝรั่งเศส (French Research Center) จนเป็นที่นิยมไปทั่วยุโรปและเอเชีย
NCTF 135 HA เหมาะกับใคร
ฉีดตัวยา NCTF 135 HA เข้าไปบริเวณผิวหนังชั้นในของคนไข้สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่าง แต่จุดเด่นที่คนไข้เกิน 90% พอใจในผลลัพธ์มากที่สุดจะเป็นการลดเม็ดสีในบริเวณที่รักษา เช่นใบหน้าหรือผิวที่คล้ำ ผิวขาดน้ำ หรือมีจุดด่างดำ ฝ้า รอยคล้ำรอบดวงตา กลับมาเปล่งปลั่ง อิ่มฟู เรียบเนียน และกระชับขึ้น
NCTF 135 HA ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง
- ผิวใต้ตา รอบดวงตา *ยอดนิยม
- ทั่วใบหน้า เพื่อความกระจ่างใส
- ลำคอ เพื่อลดอายุ รอยพับรอยย่นดีขึ้น *แนะนำ
- ผิวเนินหน้าอก *นิยมมากในยุโรป
- หลังมือ
- แขนและขา








NCTF 135 HA เจ็บไหม
การฉีดสกินบูสเตอร์ตัว NCTF 135HA ไม่ได้รู้สึกเจ็บ เพราะเข็มเล็กสั้น และก่อนรับบริการ มีการแปะยาชาเพื่อความสบายผิวสำหรับคนไข้ที่ยังไม่เคยรับบริการหัตถการใดๆมาก่อน และโปรแกรมรักษาใช้เวลาไม่นาน


อยากให้ผิวใต้ตาดีขึ้น เลือกอะไร Filler, Filorga NCTF 135 HA, หรือทาครีม?
การรักษาต้องประเมินแบบ Case by Case อาจจะเลือกรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ในบางเคสอาจจะผสานการรักษา เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด หมอสรุปสั้นๆไว้ดังนี้
- ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นทางเลือกของเคสที่มีปัญหาใต้ตาเป็นร่องลึก มีถุงใต้ตา หรือคล้ำจากการห่อตัวของผิวบริเวณใต้ตา เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที
- Filorga NCTF 135 HA ประกอบไปด้วยวิตามินแร่ธาตุ โคเอมไซม์ สารต้านอนุมูนอิสระ และ hyaluronic acid (HA) ช่วยริ้วรอยใต้ตาเล็กๆ ที่เป็นเส้นๆ รวมถึงความคล้ำจากเม็ดสีดีขึ้น ทำให้ใต้ตาสว่างสดใสขึ้น และอิ่มฟูขึ้นจากเดิมได้ดี
- Eye ครีม มักได้ผลลัพธ์เรื่องความชุ่มชื้นกับผิวชั้นบน แต่จะไม่ได้ช่วยเรื่องการอิ่มฟูของผิวใต้ตา หรือทำให้เม็ดสีบริเวณนั้นๆกระจ่างใส จนสังเกตหรือเห็นได้ถึงความแตกต่างมากนัก


NCTF 135 HA ต้องฉีดกี่ครั้ง อยู่ได้นานแค่ไหน
สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ต้องการเน้นความกระจ่างใส แนะนำ 3 ครั้ง รับบริการสัปดาห์ละ 1 ครั้งอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ ดูไม่สดชื่น หรือต้องการบูสผิวเฉพาะจุด แนะนำ 1-2 ครั้ง ซึ่งหมอจะให้คำแนะนำจากการประเมินผิวหน้าจริงในวันที่เข้ามารับคำปรึกษาเป็นหลัก
ผลลัพธ์หลังรับบริการ จะอยู่ได้สั้นกว่าฟิลเลอร์ที่เป็น HA (Cross-Link) เนื่องด้วย NCTF 135 HA (Non Cross -Linked) จึงคงผลลัพธ์ได้นานประมาณ 4-5 เดือนแล้วแต่บุคคล
รีวิว NCTF 135HA

คุณภาพผิวเนียนขึ้นละเอียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงจุดด่างดำเม็ดสี ฝ้ากระ ก็จางลงเช่นเดียวกัน จึงเหมาะกับผิวคนไทยเรื่องเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวทุกบริเวณที่ทำการรักษา



เก็บริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณสมบัติคล้ายกับการฉีดโบท็อกซ์ แต่ดีกว่าในแง่ของผิวอุ้มน้ำ ฉ่ำวาว

NCTF 135 HA ราคาเท่าไหร่

การเตรียมตัวก่อนฉีด NCTF 135 HA
- ก่อนรับบริการจะมีการทำความสะอาดผิวก่อน ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้ามาก็ได้
- ควรงดรับประทานวิตามินและอาหารเสริมที่กระตุ้นให้เลือดออกได้ง่าย อย่างน้อย 7 วันก่อนเข้ารับการรักษา
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดการแพ้
- หากมีการรับบริการ หัตการอื่นๆก่อนเข้ารับบริการกรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้ง
- หากมีโรคประจำตัวและประวัติแพ้ยาจำเป็นต้องแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
6 ขั้นตอนรับบริการ NCTF
พบแพทย์ ประเมินปัญหา หมอต้าร์จะต้องสอบถามประวัติ และประเมินปัญหาผิว ว่าเหมาะกับการรับบริการ
ทำความสะอาดบริเวณคาง ทำความสะอาดผิวด้วยคลีนซิ่ง ลบเครื่องสำอาง และทายาฆ่าเชื้อก่อนรับการรักษา
แปะยาชา เพื่อความสบายผิว เจ้าหน้าที่จะแปะยาชา ให้คนไข้ก่อนรับบริการ ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที
แพทย์เริ่มทำการรักษา คุณหมอจะทำการรักษาข้างที่ปัญหา ไปทีละข้าง โดยจะใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 10 นาที
รับยาตามแพทย์สั่ง แพทย์จ่ายยา (ถ้ามี) และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง
ติดตามผล ควรเข้ามาพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลลัพธ์การรักษาให้ออกมาอย่างที่คาดหวัง
การดูแลผิวหน้าหลังฉีด NCTF 135 HA
เนื่องจากการฉีดสกินบูสเตอร์จะมีลักษณะเป็นตุ่มๆ ซึ่งจะหายได้เองใน 2-3 ชม. จึงมีคำแนะนำดังนี้
- แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมตัวยาได้ดียิ่งขึ้น
- งดแต่งหน้าและล้างหน้าหลังฉีด 4-6 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือสัมผัสบริเวณที่ฉีดแบบรุนแรง
- สามารถทาครีมบำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นได้

สรุป NCTF 135 HA
- NCTF 135 HA คือ Filorga ที่หลายคนชินหู คุ้นเคยกันดี
- ปัจจุบันผ่านการรับรองจาก อย.ไทย ปลอดภัย
- NCTF 135 HA เป็นเมโส ที่มี HA (Non Cross-Linked) ไม่ใช่ฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มหรือปรับรูปหน้า
- NCTF 135 HA มีวิตามินตัวยาที่จำเป็นต่อผิวมากถึง 50 ชนิด ในบางเคสอาจจะมีการระคายเคืองผิว หรือแพ้ได้ ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์
- NCTF 135 HA กับ รีจูรัน สามารถรักษาร่วมกันได้ เพราะแก้ไขปัญหาได้ดีแตกต่างกัน ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ทั้งผิวอิ่มฟู กระจ่างใส และฉ่ำวาว
- คนไข้ D’ Lovevery clinic พึงพอใจผลลัพธ์การฉีดใต้ตา รอบดวงตา ลดริ้วรอย ผิวฉ่ำน้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ใครๆ ก็อยากมีผิวหน้าฉ่ำวาว ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีแบบเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งแอปแต่งภาพ หรือแต่งหน้าหนาๆ เพื่อปกปิดจุดบกพร่อง ยิ่งในวันที่ต้องการโชว์หน้าสดอย่างมั่นใจ ผิวที่เรียบเนียน กระจ่างใส ช่วยเสริมความมั่นใจได้อย่างมาก ซึ่งสารสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid, Polynucleotide, Glutathione และอื่นๆ ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ทั้งการฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณในเชิงลึก ช่วยให้สาวๆ และหนุ่มๆ สามารถมีผิวดีได้จริงอย่างยาวนาน
ที่ D’ Lovevery Clinic เรามีผลิตภัณฑ์และโปรแกรมดูแลผิวหลากหลาย โดยคุณหมอผู้มีประสบการณ์ที่พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการเติมความชุ่มชื้น การฟื้นฟูสภาพผิว หรือการลดริ้วรอยแห่งวัย เผยผิวสุขภาพดีและเปล่งประกายมั่นใจในทุกๆ วัน
ยอมรับว่าหมอเพิ่งเคยถูกถามแบบนี้เป็นครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าคนไข้ไปรับข้อมูลนี้จากที่ไหนอย่างไร แต่หมอสรุปและอธิบายให้ประมาณนี้ค่ะ อย่างแรกที่ต้องรู้คือ ครีมและเลเซอร์ ทำงานต่างกัน ต่างชั้นผิวกัน
ตามหลักการแพทย์ ครีมบำรุงผิวทั่วไปไม่สามารถซึมลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ อย่างมากที่สุดจะทำงานที่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เท่านั้น เพราะในชั้นหนังกำพร้ามีเกราะไขมัน (lipid barrier) ที่ช่วยปกป้องผิวและทำให้สารต่างๆ ซึมลึกได้จำกัด
แต่ Pico laser นี่ต่างออกไป เพราะเลเซอร์ตัวนี้ลงได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ (dermis) เพื่อจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น รอยดำฝังลึก ฝ้า หรือกระลึกได้เร็วกว่า
ดังนั้น ถ้าคนไข้มีปัญหาชัดเจนที่ต้องรีบเห็นผล เช่น จุดด่างดำ ฝ้า หรือรอยสิว เลเซอร์จะให้ผลลัพธ์เร็วกว่าแน่นอนค่ะ แต่ถ้าแค่บำรุงผิวพื้นฐาน ไม่มีปัญหาอะไร ฉะนั้นการใช้ครีมอย่างต่อเนื่องก็เพียงพอแล้ว แต่การใช้ครีมควบคู่กับการทำเลเซอร์จะช่วยฟื้นฟูผิวและให้ผลลัพธ์ดีขึ้นในระยะยาว
ทีนี้กลับมาที่คำถาม ทำ pico laser ครั้งเดียว ดีกว่าทาครีมทั้งเดือนจริงไหม ถ้าเรื่องลดเม็ดสี อาจจะดีกว่า แต่เรื่องชุ่มชื้น อาจจะด้อยกว่า ส่วนการทาครีมดีกว่าเรื่องบำรุง ชุ่มชื้น แต่จะด้อยกว่าเรื่องลดรอยจุดด่างดำ
ดังนั้นการเทียบแบบนี้ไม่ได้มีนัยสำคัญในการรักษา ทั้งคู่ ต้องการทำอย่างต่อเนื่อง ถูกรอยโรค ถูกเวลา เหมาะสมตามปัญหาที่คนไข้มี และหมอมองว่าทั้งคู่จำเป็นและสำคัญต่อผิวมากในยุคนี้ค่ะ
หมอขอสรุปเรื่องฟิลเลอร์ให้ฟังนะคะ
- การเลือกประเภทฟิลเลอร์:
- เราจะตรวจสภาพผิวของเราก่อนเสมอค่ะ
- จากผลตรวจ เราจะรู้เลยว่าผิวของคุณเหมาะกับฟิลเลอร์แบบไหน
- ฟิลเลอร์ 2 ประเภท:
- ฟิลเลอร์งานผิว: ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นและคุณภาพผิว
- ฟิลเลอร์ทั่วไป: ช่วยปรับรูปหน้าและลดริ้วรอยร่องลึกแห่งวัย
- บางกรณีต้องทำทั้งสองอย่าง:
- ควรปรับรูปหน้าให้ดีก่อน
- แล้วค่อยมาปรับคุณภาพผิวทีหลัง
- Plinest ประกอบด้วยสาร Polynucleotides (PN-HPT™) เข้มข้น 40mg/2ml แนะนำสำหรับการป้องกันริ้วรอย และช่วยรักษาสภาพผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ เช่น ใบหน้า ลำคอ และเนินอก อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการปรับผิวบริเวณที่มีพังผืดหนาแน่น เช่น รอยแผลจากการเป็นสิว
- Plinest Fast ประกอบด้วยสาร Polynucleotides (PN-HPT™) เข้มข้น 15mg/2ml เหมาะสำหรับการปรับผิวรอบดวงตา ผิวบอบบาง และผิวที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย อีกทั้งยังสามารถใช้ได้ในผิวบริเวณอื่น เช่น ลำคอ และเนินอก
- Plinest Eyes *ไม่มีรายงานการผ่าน อย. ประเทศไทย
- Plinest Hair *ไม่มีรายงานการผ่าน อย. ประเทศไทย
หมอไม่แนะนำให้ทำทรีตเมนต์ทั้งสามอย่างในวันเดียวกันนะคะ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองมากเกินไป แต่ถ้าต้องการทำ 2 โปรแกรมร่วมกัน สามารถทำได้เฉพาะการฉีดฟิลเลอร์คู่กับการฉีดหน้าใสค่ะ เพราะเป็นการฉีดคนละระดับชั้นผิว โดยฟิลเลอร์จะฉีดลึกกว่า ส่วนหน้าใสจะอยู่ชั้นตื้นกว่า
สำหรับการทำเลเซอร์ควรแยกทำต่างหาก โดยเว้นระยะห่างจากการฉีดทั้งสองแบบอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้พักฟื้นและลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงค่ะ แต่ถ้าหมายถึงทำวางแผนการรักษาฟื้นฟูผิวหน้า แบบองค์รวมไปพร้อมๆกัน แบบนี้ได้ ซึ่งปกติเราจะเริ่มที่การปรับโครงสร้างใบหน้าก่อน ซึ่งอาจจะเป็นการปรับแก้ด้วยฟิลเลอร์ก่อน เช่น ใต้ตาลึก มีร่องแก้ม ขมับตอบแก้มตอบ ตามด้วยฉีดหน้าใส หน้าฉ่ำวาว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และก็ตามด้วยเลเซอร์ปรับคุณภาพและความกระจ่างใสให้แก่ผิว แบบนี้ตามลำดับค่ะ
จำนวนครั้งค่อนข้างตอบได้ยาก เพราะผิวแต่ละคนที่มาก็แตกต่างกัน บางคนผิวแห้ง ขาดการบำรุงมานานมาก อาจจะใช้ปริมาณตัวยา และจำนวนครั้งที่ต่อเนื่องมากกว่า แต่ถ้าสุขภาพผิวดี ต้องการบำรุงให้ดีขึ้นอีก แบบนี้อาจจะใช้จำนวนครั้งรักษาที่น้อยกว่า ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคลลเป็นหลักค่ะ
Rejuran ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
- ฉีดครั้งที่ 1 จะเริ่มรู้สึกได้ว่าผิวนุ่ม และเรียบเนียนขึ้น หลังฉีด 3-7 วัน
- ฉีดครั้งที่ 2 ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวเต่งตึง รูขุมขนกระชับ หลังฉีด 2 สัปดาห์ – 1 เดือน
- ฉีดครั้งที่ 3 จะรู้สึกว่าผิวแข็งแรงขึ้น ตึงกระชับ ผิวใสเปล่งประกาย
- ฉีดครั้งที่ 4 ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ ผิวไร้ริ้วรอย ชุ่มฉ่ำเต่งตึงได้ชัดเจนขึ้น
Profhilo และ Rejuran ทั้งสองโปรแกรมมีความแตกต่างกันในด้านวัตถุประสงค์และส่วนประกอบในการฟื้นฟูผิวค่ะ โดยเริ่มจาก Rejuran ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือ Polynucleotide (PN) ที่สกัดได้จาก DNA ตามธรรมชาติของปลาแซลมอน โดยมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับ DNA มนุษย์ถึง 98% ทำหน้าที่เป็น Skinbooster ช่วยซ่อมแซมผิวในระดับเซลล์ ฟื้นฟูผิวที่เสียหาย กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ผลลัพธ์คือ ผิวกลับมาเฟิร์ม กระจ่างใส แลดูสุขภาพดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวเสียจากมลภาวะ หรือริ้วรอยลึกค่ะ
ในขณะที่ Profhilo นั้น มีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid (HA) สังเคราะห์บริสุทธิ์ที่มีความใกล้เคียงกับ HA ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ มีจุดเด่นในการปรับปรุงความชุ่มชื้นของผิว เติมน้ำให้ผิวแบบเต็มที่ พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวลึก ผลที่ได้คือ ผิวที่ดูกระชับ อิ่มฟู และลดเลือนริ้วรอยไปในตัว นอกจากนี้ Profhilo ยังเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือผู้ที่ต้องการปรับปรุงสภาพผิวทั่วใบหน้าที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ รวมถึงการดูแลในระยะยาวเพื่อคงความอ่อนเยาว์ของผิวค่ะ
ใช่เลยค่ะ เป็นเทคนิคการฉีด เวลาฉีด Rejuran ซึ่งก็คือสารสกัดจาก Polynucleotide (PN) มันจะถูกวางไว้ใต้ผิวหนังชั้นตื้นๆ (ชั้น Dermis) เพื่อช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ก็คือสารที่ฉีดเข้าไปจะเหมือนเป็น “น้ำ” กองใต้ผิวเป็นตุ่มๆ ชั่วคราว ตุ่มเหล่านี้จะหายไปเอง เพราะร่างกายจะค่อยๆ กระจายตัวยาให้ซึมเข้าสู่ผิว
ดังนั้น การที่หน้าเป็นตุ่มจึงไม่ใช่อาการผิดปกติ แต่เป็น “ปกติ” ของกระบวนการฟื้นฟูค่ะ เช่นเดียวกับโปรแกรม Skin Booster ตัวอื่นๆค่ะ