ค้นหาข้อมูล ก่อนทำเลเซอร์
อาการตุ่มเล็กๆ หรือ ผดที่ขึ้นเฉพาะช่วงบ่าย แล้วหายไปเองนั้น ส่วนใหญ่มักไม่ใช่สิวจริงๆ แต่เป็น “สิวเทียม” หรือผดร้อน ที่เกิดจากการระคายเคือง สาเหตุหลักมาจาก ความร้อน, แสงแดด, และเหงื่อ ที่กระตุ้นให้ต่อมเหงื่ออุดตันชั่วคราว นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการที่ เครื่องสำอางทำปฏิกิริยากับเหงื่อ หรือการเติบโตของเชื้อยีสต์บนผิวหนังเมื่อมีความมันและความอับชื้นสูงในช่วงระหว่างวันค่ะ การรักษาจึงเน้นไปที่การลดความร้อน การซับเหงื่อ และการทำความสะอาดผิวให้หมดจดค่ะ
การฉีดหน้า ไม่ได้เท่ากับ การทำศัลยกรรมค่ะ การฉีดหน้าอย่างเช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือ Biostimulator จัดเป็น “หัตถการ” ซึ่งเป็นการเสริมความงามแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องวางยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนการผ่าตัดศัลยกรรมค่ะ จุดเด่นคือเป็นการปรับแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ริ้วรอยร่องลึก การปรับรูปหน้า หรือการเติมเต็มผิว ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนแต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ และเมื่อเวลาผ่านไปสารที่ฉีดเข้าไปส่วนใหญ่ก็จะสลายไปได้เองตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างถาวรเหมือนการทำศัลยกรรมค่ะ
ดังนั้นสบายใจได้เลยนะคะ การฉีดหน้าเป็นวิธีเสริมความงามที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เพราะช่วยให้เราดูดีขึ้นในแบบที่เป็นธรรมชาติและรวดเร็วทันใจค่ะ อย่างเคสของคุณลูกค้าหลาย ๆ ท่านที่ D’lovevery Clinic ก็เข้ามารับบริการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์เพื่อแก้ปัญหาความกังวลต่าง ๆ บนใบหน้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็สร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้เป็นอย่างมาก หลายท่านกลับมาด้วยความมั่นใจและใบหน้าที่ดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้น เหมือนกับรีวิวที่คุณลูกค้าสามารถดูเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของเราเลยค่ะ
โดยปกติหมอนัดที่ 5-14 วัน แล้วแต่ตำแหน่ง แล้วแต่บุคคลค่ะ และก็ประเมินจากภาพแผลล่าสุดของคนไข้ในแต่ละรายด้วยค่ะ อย่าปล่อยไว้นานเกินไป เพราะจะเอาออกยาก เจ็บ และเกิดภาวะไหมจม เสี่ยงติดเชื้อได้ค่ะ
การผ่าตัดทุกชนิดย่อมทิ้งรอยแผลเป็นไว้เสมอค่ะ การผ่าตัดไฝก็เช่นกัน ถึงแม้จะเป็นการผ่าตัดเล็กก็ตาม เพราะเป็นการสร้างแผลลงไปบนผิวหนังเพื่อเอาตัวไฝออก โดยเฉพาะในกรณีของ ไฝที่มีขนาดใหญ่หรือมีรากลึก หมอจำเป็นต้องตัดผิวหนังในบริเวณนั้นให้กว้างและลึกกว่าขนาดไฝที่มองเห็น เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถนำรากของไฝออกได้ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าแผลหลังการเย็บก็จะมีขนาดใหญ่ตามไปด้วยค่ะ ดังนั้น ต้องยอมรับความจริงว่าหลังผ่าตัดไฝ จะต้องมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นได้ แต่รอยแผลนั้นจะจางและเรียบเนียนสวยงามได้ ขึ้นอยู่กับเทคนิคการเย็บของคุณหมอ การดูแลแผลหลังผ่าตัด และที่สำคัญคือการตอบสนองของผิวแต่ละบุคคลค่ะ
ด้วยเหตุผลนี้เองค่ะ ที่คุณหมอส่วนใหญ่มักจะพิจารณาถึงความจำเป็นและผลลัพธ์ด้านความสวยงามควบคู่กันไปค่ะ หากไฝนั้นไม่ได้มีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้อร้าย และไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิต คุณหมอมักจะแนะนำให้ผ่าตัดไฝที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เด่นชัดมากกว่า เช่น ไฝที่อยู่ในร่มผ้า หรือตามลำตัว แขน ขา เนื่องจากผิวหนังบริเวณเหล่านี้สามารถซ่อนรอยแผลเป็นไว้ใต้เสื้อผ้าได้ง่ายกว่า แต่สำหรับ ไฝบนใบหน้า ลำคอ หรือตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน คุณหมอจะประเมินอย่างละเอียดถึงข้อดีข้อเสีย เพราะถึงแม้จะเย็บแผลอย่างประณีตที่สุด ก็ยังคงมีรอยเส้นบางๆ หลงเหลืออยู่ได้ ดังนั้น การตัดสินใจผ่าตัดไฝในบริเวณที่เด่นชัดจึงเป็นการ “แลกเปลี่ยน” จากจุดสีดำของไฝไปเป็นรอยแผลเป็นที่เป็นเส้นแทน ซึ่งคุณลูกค้าต้องพิจารณาว่ายอมรับผลลัพธ์แบบไหนได้มากกว่ากันค่ะ
หลายคนเข้าใจแบบนั้น แต่หมอสรุปให้แบบนี้ค่ะ
“ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งที่ตรวจพบเป็นสำคัญค่ะ” หากไฝมะเร็งนั้นถูกตรวจพบตั้งแต่ ระยะเริ่มต้น (Stage 0 หรือ Stage 1) ซึ่งเป็นระยะที่เซลล์มะเร็งยังอยู่แค่ในชั้นหนังกำพร้า หรือลึกลงไปในชั้นหนังแท้เพียงเล็กน้อย และยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น การผ่าตัดเอาไฝมะเร็งออกทั้งหมดพร้อมกับขอบเนื้อเยื่อดีๆ โดยรอบ ถือเป็นวิธีรักษาหลักและมีโอกาสหายขาดสูงมากๆ ค่ะ เรียกได้ว่า “เจอเร็ว ตัดเร็ว โอกาสหายขาดสูง” คือหัวใจสำคัญเลยค่ะ ศัลยแพทย์จะตัดไฝและผิวหนังรอบๆ ออกไปเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ แล้วจึงส่งชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อยืนยันอีกครั้ง
แต่ในทางกลับกัน หากไฝมะเร็งถูกตรวจพบใน ระยะที่ลุกลามไปแล้ว (Stage 2 ขึ้นไป) คือเซลล์มะเร็งได้เติบโตลึกลงไปในชั้นผิวหนังมากขึ้น หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือมีการ แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง หรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ตับ หรือสมอง ในกรณีนี้การผ่าตัดเอาไฝต้นกำเนิดออกเพียงอย่างเดียว จะไม่เพียงพอที่จะทำให้หายขาดได้ค่ะ การรักษาจะต้องซับซ้อนขึ้นมาก โดยจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง, การให้ยาเคมีบำบัด, การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) หรือการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เพื่อตามไปกำจัดเซลล์มะเร็งที่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ซึ่งการพยากรณ์โรคและความหวังในการหายขาดก็จะลดลงตามระยะของโรคที่เพิ่มขึ้นค่ะ
เป็นคำถามที่เห็นภาพตาม 🙂 พอเห็นหนองเหลืองๆ ขึ้นมาแล้วก็อยากจะให้มันยุบไวๆ สำหรับคำถามที่ว่า “สิวที่มีหนองเหลืองๆ แล้ว ยังฉีดสิวให้ยุบได้ไหม?” หมอขออธิบายแบบนี้นะคะ
โดยทั่วไปแล้ว หมอจะไม่แนะนำให้ฉีดสิวในระยะที่เป็นหนองเต็มที่แล้วค่ะ เหตุผลหลักๆ เลยก็คือ การฉีดยาเข้าไปในสิวที่มีการติดเชื้อและมีหนองสะสมอยู่เยอะ อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้การติดเชื้อกระจายตัวออกไปในบริเวณข้างเคียงได้ค่ะ อีกทั้งตัวยาอาจจะเข้าไปทำงานได้ไม่เต็มที่ และที่สำคัญคือ มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยบุ๋มหรือหลุมสิวถาวรได้ง่ายขึ้น หลังจากที่สิวยุบตัวลงค่ะ เพราะในช่วงที่สิวเป็นหนอง ผนังของต่อมไขมันจะบางมากอยู่แล้ว การฉีดเข้าไปอาจทำให้ผนังแตกและเนื้อเยื่อผิวเกิดความเสียหายได้ง่ายกว่าปกติค่ะ
ดังนั้นแนวทางการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับสิวลักษณะนี้คือ การสะกิดเปิดหัวสิวเพื่อระบายหนองออกอย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญ มากดที่คลินิกได้ค่ะ หลังจากกดหนองออกจนหมดแล้ว หากสิวยังมีการอักเสบ บวมแดงอยู่ข้างใต้ ในกรณีนี้คุณหมออาจจะพิจารณาฉีดสิวในปริมาณน้อยๆ เพื่อช่วยลดการอักเสบที่เหลืออยู่ ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบได้ไวขึ้นและลดโอกาสการเกิดรอยดำรอยแดงได้ดีกว่าค่ะ สรุปง่ายๆ คือ ควรให้คุณหมอกดหนองออกก่อน แล้วค่อยพิจารณาฉีดลดอักเสบเสริมจะปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ อย่าพยายามบีบหรือเค้นเองเด็ดขาดนะคะ เพราะจะยิ่งทำให้ช้ำและเสี่ยงเป็นแผลเป็นได้ง่ายมากค่ะ
โดยปกติแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การฟื้นฟูผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและยาวนาน หมอจะแนะนำให้ทำต่อเนื่องเป็นคอร์สประมาณ 3 ครั้งค่ะ แต่ละครั้งจะเว้นระยะห่างกันประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้เวลาน้อง PN หรือ Polynucleotides ที่เราส่งเข้าไปได้ทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะว่าสารสกัด PN บริสุทธิ์จาก DNA ปลาแซลมอน ปลาเทราต์นี้ เค้าเปรียบเสมือน “อาหารผิว” ที่ลงไปช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ ที่แข็งแรงเกิดขึ้นมาแทนที่ พอเราเติมอาหารผิวดีๆ เข้าไปอย่างสม่ำเสมอในช่วงแรก ผิวของเราก็จะค่อยๆ ถูกปลุกให้กลับมาสดใสและแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอกค่ะ
ผลลัพธ์ในแต่ละครั้งจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับขั้นเหมือนการบำรุงผิวเลยค่ะ
- หลังทำครั้งที่ 1: คนไข้ส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกได้ทันทีว่าผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มฟู และดูกระชับขึ้น เหมือนผิวที่เคยอ่อนล้ากลับมาสดชื่นค่ะ
- หลังทำครั้งที่ 2: ผลลัพธ์จะชัดเจนยิ่งขึ้น ผิวจะดูเรียบเนียนละเอียดขึ้น พวกรอยเล็กๆ หรือริ้วรอยตื้นๆ จะแลดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ และจะเริ่มสังเกตได้ว่าผิวโดยรวมดูกระจ่างใส มีออร่ามากขึ้น
- หลังทำครั้งที่ 3: ในครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มและคงผลลัพธ์ให้อยู่กับเราไปนานๆ ผิวจะดูเฟิร์มแน่นกระชับ สุขภาพดีจากภายใน ทำให้ใบหน้าโดยรวมของเราดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
จะบอกว่าหมอตอบคนไข้จะร้อยคนได้แล้วคำถามนี้ 🙂
หมอเข้าใจเลยค่ะว่าอาจจะสับสนได้ง่ายมากๆ เพราะเราได้ยินคำนี้บ่อยจริงๆ ขออธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ นะคะ “เรตินอล” (Retinol) คือ ชื่อของสารซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ค่ะ ไม่ใช่ชื่อยี่ห้อหรือชื่อยาโดยตรงนะคะ ให้คิดซะว่า “เรตินอล” เป็นเหมือนชื่อของ “ส่วนผสมฮีโร่” ตัวหนึ่งในวงการสกินแคร์ ที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องการช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดเลือนริ้วรอย และแก้ปัญหาสิวค่ะ
ทีนี้ ความสับสนมันเกิดตรงที่ว่า พอสารตัวนี้โด่งดังและดีมาก แบรนด์สกินแคร์ต่างๆ ก็นำ “เรตินอล” ไปเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์ของตัวเองค่ะ เราเลยจะเห็นชื่อเรตินอลอยู่บนฉลากครีมหรือเซรั่มหลากหลายยี่ห้อ ดังนั้นสรุปง่ายๆ คือ เรตินอลเป็นชื่อสารออกฤทธิ์ ที่แบรนด์ต่างๆ นำไปใส่ในผลิตภัณฑ์ของตัวเองเพื่อช่วยดูแลผิวเราให้สวยใสยังไงล่ะคะ ไม่ต้องสับสนแล้วน้า
ไม่เสมอไปค่ะ ฝ้าไม่ได้อยู่ “ลึก” อย่างเดียวเสมอไป—มีทั้งแบบตื้น (อยู่ชั้นหนังกำพร้า), แบบลึก (ถึงชั้นหนังแท้) และแบบผสมซึ่งพบได้บ่อยที่สุด ดังนั้นบางคนทายาที่มีหลักฐานชัดเจน เช่น กันแดดที่เพียงพอ, azelaic acid/niacinamide/วิตามินซี, หรือยาภายใต้แพทย์อย่าง hydroquinone/เรตินอยด์ ก็เห็นจางลงได้ แต่ต้องให้เวลาอย่างน้อย 8–12 สัปดาห์ และทาครีมต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ถ้าฝ้าของคุณมีส่วนที่ลึกหรือมีปัจจัยกระตุ้นยังคงอยู่ เช่น แดด ความร้อน แสงจากจอ ฮอร์โมน ทาอย่างเดียวอาจไม่พอ เราจะเสริมด้วยวิธีแพทย์ เช่น เลเซอร์พลังงานต่ำ/พิโค, ไมโครนีดลิง, หรือ tranexamic acid โดยยังต้องคุมแดดอย่างเคร่งครัดเป็นหัวใจของการรักษา สรุปคือ ครีมช่วยได้ในหลายเคส แต่ในบางเคสฉีดยาลงไปตรงๆก็ได้ผลกว่า และการป้องกันแดดและการรักษาแบบผสมผสาน จะให้ผลดีที่สุดสำหรับฝ้าส่วนลึกและดื้อต่อการรักษาค่ะ