ค้นหาข้อมูล ก่อนทำเลเซอร์
การจี้ไฝด้วย CO2 Laser ส่วนใหญ่ทำเพียง 1 ครั้งก็หายขาด ค่ะ แต่ในกรณีที่เป็น ไฝเม็ดใหญ่นูนหรือมีรากลึก อาจมีโอกาสที่ไฝจะกลับมาขึ้นซ้ำได้เป็นจุดเล็ก ๆ เนื่องจากหมอไม่สามารถยิงเลเซอร์ลงไปลึกถึงรากทั้งหมดได้ในคราวเดียว เพราะจะทำให้เกิด แผลเป็นหลุมลึก บนใบหน้าได้ค่ะ ดังนั้น หากผ่านไป 1 เดือนแล้วยังมีจุดดำขึ้นมา ให้กลับมาให้หมอ ย้ำจุดเดิม (Retouch) อีกครั้ง ซึ่งทำได้ง่ายและแผลหายเร็วกว่าครั้งแรก สรุปคือ เน้นความปลอดภัยไม่ให้เกิดแผลเป็น ดีที่สุดค่ะ (ดูจากภาพตัวอย่างเคสของหมอด้านล่างได้เลยนะคะ
หลังทำทันที ก็จะเป็นแผลสดค่ะ ความกว้างของแผลอาจจะกว้างกว่าไฝ หรือกระเนื้อก่อนที่จะจี้บ้างเล็กน้อย ส่วนความลึกนั้น โดยทั่วไป ไฝ มีโอกาสลงลึกได้มากกว่า เพราะมีรากที่ยาวกว่าปัญหาอื่นๆได้ (บางเคสจุดเล็กนิดเดียว แต่รากลึกมาก) ดังนั้นบอกได้ยาก จะแตกต่างกันไปตามแต่ละเคสเลยค่ะ โดยรวมแล้วไม่ว่าจะเป็น กระเนื้อ ขี้แมลงวัน ไฝ ผ่านไป 3-7 วันก็เริ่มตกสะเก็ด แล้วก็เข้าสู่ภาวะปกติ
หมอตอบแบบเชิงการรักษาให้เข้าใจง่ายๆคือ มันทำงานคนละชั้นผิว แก้ปัญหาคนละจุดกัน แต่มันส่งเสริมกันค่ะ
การทำ Oligio ควบคู่กับหัตถการอื่น (เช่น Ultraformer หรือ Ulthera) เป็นเทคนิคที่แพทย์แนะนำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบ Synergy Effect หรือการเสริมฤทธิ์กันค่ะ โดย Oligio จะเน้นการ กระชับผิวชั้นตื้นและปรับคุณภาพผิว (Skin Quality) ให้แน่นเฟิร์ม ในขณะที่เครื่องมืออื่นจะช่วย ยกพยุงโครงหน้าชั้นลึก (SMAS) เปรียบเสมือนการซ่อมบ้านทั้งโครงสร้างและทาสีใหม่ไปพร้อมกัน นอกจากจะช่วยให้ หน้ายกกระชับครอบคลุมทุกชั้นผิว แล้ว ยังช่วยยืดอายุผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น และได้งานผิวที่ฉ่ำวาวเป็นของแถม ซึ่งดีกว่าการเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ แต่ก็แน่นอนหล่ะคนไข้ก็ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นค่ะ
อย่างแรกเลยคือ ถ้าคนไข้เป็นคนชอบเกา แกะ แบบไม่รู้ตัว หมอก็แนะนำให้หาแผ่นซิลิโคนแปะ ถ้าเป็นแผ่นช่วยลดรอยแผลเป็นได้ก็จะยิ่งดี การดูแลแผลหลังทำ CO2 Laser ให้เนียนสวย ขึ้นอยู่กับความลึกของแผล ค่ะ หากเป็น แผลลึก (เช่น ไฝ) ควรปิดพลาสเตอร์กันน้ำ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันเชื้อโรคและช่วยให้เนื้อเยื่อเต็มไวขึ้นตามหลักการ Moist Wound Healing แต่ถ้าเป็น แผลตื้น (เช่น กระ) สามารถเปิดแผลได้ แต่ถ้าทำเหมาหลายจุดทั่วหน้าคอ ก็แนะนำว่าปล่อยไว้ให้แผลแห้งตามปกติ และที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามโดนน้ำ 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการอักเสบและติดเชื้อค่ะ
โดยปกติหลังทำเลเซอร์ สะเก็ดบางๆ จะเริ่มก่อตัวและหลุดลอกออกเองภายใน 5-7 วัน สำหรับผิวหน้า และอาจใช้เวลาถึง 10-14 วัน สำหรับผิวกาย คนไข้ไม่ควรแกะเกา เพราะจะรบกวนกระบวนการ Re-epithelialization หรือการสร้างผิวใหม่
ฝ้าเลือดเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยร่วมกับเม็ดสี ทำให้เห็นเป็นปื้นแดงและไวต่อความร้อน การรักษาจึงยากกว่าฝ้าปกติเพราะต้องทำควบคู่กันทั้ง ลดเม็ดสี และ ลดการขยายตัวของเส้นเลือด ค่ะ หมอแนะนำว่าการใช้ยาทาอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องใช้หัตถการเข้าช่วย โดย Meso Melasma (เริ่มต้น 4,500.-) จะช่วยลดเลือนจุดด่างดำได้ดี แต่ถ้าคนไข้มีปัญหาหน้าแดงง่ายหรือผิวบางร่วมด้วย หมอแนะนำให้เสริมด้วย OXELLE (3,999.-/cc) เพื่อเข้าไปฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน ป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มง่ายเมื่อเจอความร้อนค่ะ
เรื่องผลลัพธ์ปลายทางไม่ต่างกันมาก คือลดเหงื่อ ลดสาเหตุการเกิดกลิ่น แต่ราคา กับวิธีการรักษานั้นต่างกันอยู่ ตรงนี้แล้วแต่คนไข้ว่าชอบหรือสะดวกแบบไหนมากกว่ากัน การเลือกวิธีลดเหงื่อใต้วงแขนระหว่าง โบท็อกซ์และเลเซอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ค่ะ การฉีดโบท็อกซ์ให้ ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ลดเหงื่อได้ถึง 80-90% ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 6-12 เดือน จึงต้องฉีดซ้ำ ส่วนการทำเลเซอร์ลดเหงื่ออย่าง miraDry ให้ โดยทำลายต่อมเหงื่อและกลิ่นได้ตั้งแต่ 1-2 ครั้ง ลดเหงื่อได้เฉลี่ย 70-80% แต่มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงกว่า การปรึกษาแพทย์ผู้จะช่วยให้คนไข้เลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด เพื่อแก้ปัญหาเหงื่อใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจค่ะ
คนไข้ที่มีทั้งฝ้า กระ และรอยดำสิว สามารถรักษาพร้อมกันได้ในครั้งเดียว ค่ะ โดยหมอจะออกแบบการรักษาตามสภาพผิวจริง หากเคสไหนที่ผิวบอบบางหรือ ฝ้าไวต่อความร้อน หมอจะเลี่ยงการยิงเลเซอร์ทับฝ้าโดยตรง แต่จะใช้ Pico Laser เคลียร์เฉพาะกระและรอยสิว แล้วใช้วิธี ฉีดโปรแกรม D’ Melasma (ราคา 4,500.- ต่อครั้ง หรือเหมาคอร์สสุดคุ้ม 18,000.- / 5 ครั้ง) เพื่อส่งตัวยาลงไปลดเม็ดสีฝ้าและจุดด่างดำที่ต้นตอแทน วิธีผสมผสานนี้จะช่วยให้ ฝ้าจางลงได้ปลอดภัยกว่า ไม่เสี่ยงหน้าบาง และแก้ปัญหาผิวได้ครบทุกจุดในคราวเดียวค่ะ