หากหยุดฉีดโบท็อกซ์ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับการฉีดและวัตถุประสงค์ของการรักษา โดยทั่วไป ผลกระทบหลักๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากหยุดฉีดโบท็อกซ์มีดังนี้
ริ้วรอยกลับสู่สภาพเดิม
กล้ามเนื้อที่ได้รับการฉีดโบท็อกซ์จะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมามีการทำงานเหมือนเดิม ซึ่งหมายความว่าริ้วรอยหรือลักษณะที่โบท็อกซ์ช่วยปรับปรุงจะเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งตามธรรมชาติของการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นๆ
ไม่มีผลข้างเคียงถาวร
โบท็อกซ์เป็นการรักษาชั่วคราว และไม่มีผลข้างเคียงถาวรหากหยุดการรักษา กล้ามเนื้อและผิวหนังจะค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิมก่อนการรักษา
ความต้องการการฉีดซ้ำ
หากต้องการรักษาผลลัพธ์ที่ได้จากโบท็อกซ์ให้คงอยู่ จำเป็นต้องมีการฉีดซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยปกติแล้ว การฉีดซ้ำจะทำทุก 4-6 เดือน หากหยุดฉีด ผลลัพธ์จะค่อยๆ จางหายไป
ไม่มีผลต่อการเกิดริ้วรอยใหม่
การหยุดฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ทำให้ริ้วรอยใหม่เกิดขึ้นเร็วขึ้นหรือมากขึ้นกว่าเดิม ริ้วรอยจะเกิดขึ้นตามกระบวนการแก่ตัวของผิวหนังและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตามปกติ
ผลลัพธ์ที่สามารถคาดหวังได้
หากต้องการกลับมาฉีดโบท็อกซ์อีกครั้งในอนาคต ผลลัพธ์ที่ได้จะคล้ายคลึงกับการฉีดครั้งก่อนหากใช้ปริมาณและบริเวณการฉีดที่เหมือนกัน
ตำแหน่งการฉีดโบท็อกซ์ | ระยะเวลาเริ่มเห็นผล | ระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่ |
---|---|---|
ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก | 3-7 วันหลังการฉีด | 3-6 เดือน |
รอยย่นระหว่างคิ้ว | 3-7 วันหลังการฉีด | 3-6 เดือน |
รอบดวงตา (รอยย่นรอบดวงตา) | 3-7 วันหลังการฉีด | 3-4 เดือน |
มุมปาก | 3-7 วันหลังการฉีด | 3-4 เดือน |
ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม | 2-8 สัปดาห์หลังการฉีด | 4-6 เดือน |
รักแร้ (ลดการผลิตเหงื่อ) | 2-7 วันหลังการฉีด | 4-12 เดือน |
สรุป
การฉีดโบท็อกซ์เป็นวิธีลดริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพ แต่ควรทำด้วยความระมัดระวัง วัยรุ่นควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และดูแลตัวเองด้วยวิธีอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย