รีวิวฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม





ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร
ฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นหนึ่งในวิธีการเสริมความงามแบบไม่ต้องผ่าตัด ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด HA เข้าไปในบริเวณร่องแก้มที่ลึก เพื่อเติมเต็มให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์มากขึ้น ซึ่งสารนี้ปลอดภัยได้รับการรับรองว่านำมาใช้ปรับรูปหน้าได้
- ร่องแก้มที่ลึกมักเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวตามวัย การสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง หรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลหลังทำ
- ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจทำฟิลเลอร์ร่องแก้มควรปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงควรทำที่สถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- การดูแลหลังทำฟิลเลอร์ร่องแก้มนั้นไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาไม่นานเลย หลังทำก็เพียงหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มช่วยอะไร
- ในด้านรูปลักษณ์ การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องแก้มที่ลึก ทำให้ใบหน้าดูกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น ลดรอยหย่อนคล้อย และสร้างมิติให้ใบหน้าดูมีเสน่ห์มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลของใบหน้าให้ดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ
- ส่วนในด้านความมั่นใจ ผู้ที่ได้รับการฉีดฟิลเลอร์มักรู้สึกพึงพอใจกับภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ส่งผลให้มีความมั่นใจในการเข้าสังคมและการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น
ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ดูจากลักษณะใบหน้าโดยรวม
- ผู้ที่มีใบหน้าที่มีการยุบตัวของไขมันใต้ผิวหนังตามธรรมชาติ
- ผู้ที่มีใบหน้าที่ขาดความอิ่มเอิบ ทำให้ดูแก่กว่าวัย
- ผู้ที่มีโครงสร้างกระดูกใบหน้าดี แต่ต้องการเพิ่มความอิ่มเอิบ
ดูจากปัญหาเฉพาะร่องแก้ม
- ร่องแก้มที่ลึกเกินไปจากการสูญเสียไขมัน
- ร่องแก้มที่ไม่สมมาตร ต้องการปรับให้เท่ากัน
- ร่องแก้มที่ลึกจนทำให้ใบหน้าดูโทรม หรือแก่กว่าวัย
- ร่องแก้มที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตรตามวัย
ร่องแก้มเกิดขึ้นได้ยังไง
- เมื่ออายุมากขึ้น เกิดการสูญเสียไขมันใต้ผิวหนังบริเวณแก้ม (Deep medial fat compartment)
- กล้ามเนื้อแก้ม (Buccal fat pad) มีการฝ่อลง
- เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Facial ligaments) หย่อนตัว
- ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย
ระดับความลึกของร่องแก้ม

Level 0: ไม่มีรอยย่น (No folds)
- ผิวเรียบเนียน ไม่มีร่องหรือรอยย่นปรากฏ
- มักพบในวัยเด็กและวัยรุ่น
- แสดงถึงความยืดหยุ่นของผิวที่ดี และการมีคอลลาเจนที่สมบูรณ์
Level 1: รอยย่นเล็กน้อย (Mild folds)
- เริ่มมีรอยย่นบางๆ ปรากฏให้เห็น
- รอยย่นอาจชัดขึ้นเมื่อแสดงสีหน้าหรือยิ้ม
- เป็นระยะเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตามวัย
Level 2: รอยย่นปานกลาง (Moderate folds)
- รอยย่นชัดเจนขึ้น แม้ในยามพักใบหน้า
- อาจมีความลึกของร่องเพิ่มขึ้น
- พบได้บ่อยในวัยกลางคน
Level 3: รอยย่นลึก (Severe folds)
- ร่องแก้มมีความลึกชัดเจน
- มองเห็นได้ชัดแม้ไม่แสดงสีหน้า
- อาจส่งผลต่อความมั่นใจในรูปลักษณ์
Level 4: รอยย่นลึกมาก (Very severe folds)
- ร่องแก้มลึกมากที่สุด
- มีผลกระทบต่อรูปหน้าอย่างชัดเจน
- มักพบในวัยสูงอายุหรือผู้ที่มีการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวมาก
สาเหตุของการเกิดร่องแก้ม
- อายุที่เพิ่มขึ้น
- การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง
- การลดลงของไขมันใต้ผิวหนัง
- พันธุกรรม
- การแสดงออกทางสีหน้าที่ซ้ำๆ
- การสูญเสียน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- การสูบบุหรี่
- การได้รับแสงแดดมากเกินไป
ประเภทและคุณสมบัติของร่องแก้ม
1. ประเภทผิวหนัง (Skin Type)
| สภาวะ | ลักษณะที่พบ |
|---|---|
| หน้านิ่งๆ (I) | 1) ประเภทผิวธรรมดา: มีริ้วรอยละเอียด 2) ประเภทผิวหย่อนคล้อย: มีริ้วรอยชัดเจน, เนื้อเยื่อหดตัวและบริเวณผิวหนังเพิ่มขึ้น ร่องแก้มปรากฏเป็นร่องลึก |
| หน้านิ่งตรงพร้อมยิ้ม (II) | ร่องลึกเพิ่มขึ้น |
| นอนหงายหน้านิ่งๆ (III) | 1) ร่องแก้มจางหายไปหรือมองไม่เห็น 2) ริ้วรอยยังคงอยู่หรือลดลง |
| นอนหงายพร้อมยิ้ม (IV) | 1) ร่องแก้มเรียบขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับสภาวะ II 2) ริ้วรอยเรียบขึ้นเมื่อเทียบกับสภาวะ II |
| ยกผิวหน้าขณะหน้านิ่งๆ (V) | ร่องแก้มดีขึ้นอย่างชัดเจน (+++) |
2. ประเภทไขมัน (Fat Pad Type)
| สภาวะ | ลักษณะที่พบ |
|---|---|
| หน้านิ่งๆ (I) | บริเวณแก้มอวบหรือมีไขมันหนา ร่องแก้มปรากฏเป็นแอ่ง |
| หน้านิ่งพร้อมยิ้ม (II) | ร่องลึกเป็นแอ่งเพิ่มขึ้น |
| นอนหงายหน้านิ่งๆ (III) | ร่องแก้มตื้นขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงเป็นแอ่ง |
| นอนหงายพร้อมยิ้ม (IV) | ร่องแก้มตื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสภาวะ II |
| ยกผิวหน้าขณะหน้านิ่งๆ (V) | ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (++) |
3. ประเภทกล้ามเนื้อ (Muscular Type)
| สภาวะ | ลักษณะที่พบ |
|---|---|
| หน้านิ่งๆ (I) | กล้ามเนื้อตึงตัวมาก ร่องแก้มปรากฏเป็นร่องลึก |
| หน้านิ่งพร้อมยิ้ม (II) | ร่องลึกเพิ่มขึ้น |
| นอนหงายหน้านิ่งๆ (III) | ร่องแก้มไม่เปลี่ยนแปลงชัดเจน |
| นอนหงายพร้อมยิ้ม (IV) | ร่องแก้มไม่ตื้นขึ้นเมื่อเทียบกับสภาวะ II |
| ยกผิวหน้าขณะหน้านิ่งๆ (V) | ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (++) |
4. ประเภทกระดูก (Bone Retrusion Type)
| สภาวะ | ลักษณะที่พบ |
|---|---|
| หน้านิ่งๆ (I) | กระดูกบริเวณรูแก้มถอยร่น ส่วนบนของร่องแก้มปรากฏเป็นแอ่ง |
| หน้านิ่งพร้อมยิ้ม (II) | ร่องลึกเป็นแอ่งเพิ่มขึ้น |
| นอนหงายหน้านิ่งๆ (III) | ร่องแก้มไม่เปลี่ยนแปลงหรือตื้นขึ้นเล็กน้อย |
| นอนหงายพร้อมยิ้ม (IV) | ร่องแก้มไม่เปลี่ยนแปลงหรือตื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสภาวะ II |
| ยกผิวหน้าขณะหน้านิ่งๆ (V) | ดีขึ้นเล็กน้อย (+) |
5. ประเภทผสม (Hybrid Type)
| สภาวะ | ลักษณะที่พบ |
|---|---|
| หน้านิ่งๆ (I) | ผสมผสานลักษณะตั้งแต่ 2 ประเภทขึ้นไป |
| หน้านิ่งพร้อมยิ้ม (II) | ร่องลึกเพิ่มขึ้น |
| นอนหงายหน้านิ่งๆ (III) | แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทย่อย |
| นอนหงายพร้อมยิ้ม (IV) | แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทย่อย |
| ยกผิวหน้าขณะหน้านิ่งๆ (V) | แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทย่อย |
ความแตกต่างระหว่างชาวยุโรปและเอเชีย
ชาวยุโรป
- มีโครงสร้างกระดูกโหนกแก้มต่ำกว่า
- ผิวหนังบางกว่า
- มักเกิดร่องแก้มลึกเร็วกว่า เนื่องจากไขมันใต้ผิวหนังน้อยกว่า
- ร่องแก้มมักชัดเจนและลึก
ชาวเอเชีย
- มีโครงสร้างกระดูกโหนกแก้มสูงกว่า
- ผิวหนังหนากว่า
- มีไขมันใต้ผิวหนังมากกว่า ทำให้แก้มดูอวบอิ่มนานกว่า
- เมื่อเกิดร่องแก้ม มักไม่ลึกมากเท่าชาวยุโรป

ร่องแก้มลึก แล้วทำไมต้องดูแก่กว่าวัย
- ร่องแก้มลึกทำให้เกิดเงาบนใบหน้า
- สูญเสียความอวบอิ่มของผิว ทำให้ดูโทรม
- เกิดมุมและเส้นที่ชัดเจนบนใบหน้า ซึ่งเป็นลักษณะของความชรา

รอยพับที่แก้ม ไม่ถึงกับเป็นร่องชัด แก้ไขยังไง
การรักษารอยพับร่องแก้มเพื่อความเป็นธรรมชาติ สามารถทำได้หลายวิธีและควรพิจารณาแบบผสมผสาน
Biostimulator / ไหมน้ำ / ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดสุด
- ข้อดี:
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมาก
- ผลการรักษาคงทน 1-2 ปี
- ตัวเลือก:
- Sculptra
- Radiesse
- Ultracol
- ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด
- แก้ไขด้วยฟิลเลอร์ได้แต่ต้องเลือกรุ่นที่บางเบาสุดๆ เพื่อป้องกันการไม่เป็นธรรมชาติ
ร่องแก้มลึก ทั้งที่อายุยังยังน้อย เกิดจากอะไร
ร่องแก้มที่เกิดขึ้นในคนอายุน้อยนั้นไม่ได้ผิดปกติ เพราะสาเหตุไม่ได้มาจากอายุเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ได้แก่
พันธุกรรม
- บางคนมีแนวโน้มที่จะมีร่องแก้มชัดเจนตั้งแต่อายุน้อยตามกรรมพันธุ์
โครงสร้างใบหน้า
- รูปหน้า
- การกระจายตัวของไขมัน
- โครงสร้างกระดูก
พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
- การนอนกดทับใบหน้า
- การสูญเสียน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- การโดนแสงแดดตลอดวัน มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การดูดบุหรี่จัด
ระวัง! ร่องแก้มปลอม ร่องแก้มหลอกตา คืออะไร
ในกรณีที่มีปัญหาเนื้อแก้มเยอะและแก้มตก ทำให้ดูมีร่องแก้ม การเติมฟิลเลอร์อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจาก
เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด
- ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก
- แต่ไม่ได้แก้ปัญหาการหย่อนคล้อยของผิวและกล้ามเนื้อ
- อาจทำให้ใบหน้าดูหนักและบวมมากขึ้น


มีโปรแกรมทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
- การร้อยไหม เพื่อยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อ
- อัลทร้าเธอราปี หรือ HIFU เพื่อกระชับผิวชั้นลึก
- เทคโนโลยี RF (คลื่นวิทยุ) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน
แนวทางการรักษาที่แนะนำ
- ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสม
- อาจต้องใช้การรักษาแบบผสมผสานหลายวิธี
- เน้นการแก้ไขที่สาเหตุของปัญหามากกว่าการเติมเต็ม
ร่องแก้ม กับร่องน้ำหมาก คนละตำแหน่งกัน
ร่องแก้ม (Nasolabial Fold) และร่องน้ำหมาก (Marionette Lines) เป็นร่องลึกบนใบหน้าที่มีความแตกต่างกันทั้งตำแหน่งและวิธีการรักษา
| หัวข้อ | ร่องแก้ม | ร่องน้ำหมาก |
|---|---|---|
| ตำแหน่งที่พบ | จากข้างจมูกลงมาถึงมุมปาก | จากมุมปากลงมาถึงคาง |
| สาเหตุหลัก | การหย่อนคล้อยของ midface, การสูญเสียไขมันแก้ม | การหย่อนคล้อยของผิวบริเวณคาง, การสูญเสียปริมาตรกระดูกขากรรไกร |
| ความลึกของชั้นผิวหนัง | ปานกลาง-ลึก | ปานกลาง |
| หลอดเลือดสำคัญ | Angular artery | Facial artery |
| ความเสี่ยง | ปานกลาง | สูง (ใกล้ facial artery) |
| เทคนิคการฉีด | Linear threading, Fanning | Linear threading, Cross-hatching |
| ระดับความลึกการฉีด | Superficial-Supraperiosteal Layer | Superficial-Supraperiosteal Layer |
ตารางแสดงปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการรักษาร่องแก้มและร่องน้ำหมาก (ปริมาณต่อข้าง)
| ระดับความลึก | ร่องแก้ม | ร่องน้ำหมาก |
|---|---|---|
| น้อย | ข้างละ 0.5-1 cc | ข้างละ 1-2 cc |
| ปานกลาง | ข้างละ 1-2 cc | ข้างละ 1.5-3 cc |
| มาก | ข้างละ 2-3 cc | ข้างละ 2-3 cc |
หมายเหตุ
- ปริมาณดังกล่าวเป็นเพียงค่าเฉลี่ย อาจปรับเพิ่ม/ลดตามสภาพผิวของแต่ละบุคคล
- ควรนัดติดตามผล 2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อประเมินการเพิ่มเติม

เทคนิคฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- ควรเริ่มจากการแก้ไขส่วน midface ก่อน
- ฉีดแบบ layering technique
- อาจใช้ cannula เพื่อความปลอดภัย
- ควรระวังการฉีดลึกเกินไป
เทคนิคฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก
- ต้องระวังเส้นเลือด facial artery
- ควรใช้ cannula เป็นหลัก
- อาจต้องแก้ไขร่วมกับการเพิ่มปริมาตรคาง
- ควรฉีดช้าๆ และใช้แรงดันต่ำ ค่อยๆปรับ
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มอันตรายไหม
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสรีระวิทยาของใบหน้า โดยเฉพาะเรื่องเส้นเลือดและโครงสร้างสำคัญ เมื่อแพทย์มีความรู้พื้นฐานที่แม่นยำ ประกอบกับการใช้เวลาในการรักษาอย่างไม่รีบเร่ง พิถีพิถันในทุกขั้นตอน ผนวกกับเทคนิคการฉีดที่ปลอดภัยและประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำให้การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง สามารถให้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติได้อย่างมั่นใจ
- ความสำคัญของรับบริการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกับแพทย์ที่มีประสบการณ์
- Facial Artery: เป็นเส้นเลือดแดงหลักที่เลี้ยงใบหน้า วิ่งผ่านบริเวณร่องแก้ม
- Angular Artery: เป็นเส้นเลือดที่แยกมาจาก Facial Artery ขึ้นไปเลี้ยงบริเวณหัวตา
- ดีเลิฟเวอรี่คลินิกให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของคนไข้
- แพทย์ต้องหลีกเลี่ยงการฉีดโดนเส้นเลือดโดยตรง
- การฉีดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในจุดที่มีเส้นเลือดสำคัญ
- ต้องเลือกเทคนิคการฉีดที่ปลอดภัย เช่น การใช้เข็มที่เหมาะสม
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- เพิ่มมิติให้ใบหน้า ทำให้ดูอ่อนเยาว์
- แก้ไขร่องแก้มที่ลึกจากการสูญเสียไขมัน
- ไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวเร็ว
- เห็นผลลัพธ์ทันที
- สามารถปรับแต่งปริมาณได้ตามต้องการ
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
- สามารถแก้ไขหรือสลายได้หากไม่พอใจ
- ใช้เวลาทำไม่นาน (15-30 นาที)
ข้อเสียและความเสี่ยง
- อาจเกิดรอยช้ำหรือบวมชั่วคราวได้
- ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หากมีปัญหาเยอะหรืออายุเยอะ
- ต้องมีการฉีดซ้ำ เพราะผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวรตลอดไป จะค่อยๆสลาย ยุบตัวลงตามธรรมชาติ
ผลพลอยได้จากการเติมร่องแก้ม
- ช่วยยกกระชับผิวบริเวณแก้มและใต้ตา
- ทำให้อารมณ์ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
- ช่วยเสริมโหนกแก้มให้ละมุนขึ้น
- ทำให้รอยยิ้มดูสวยงามขึ้น
- ลดร่องริ้วรอยรอบปาก
- ช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้น
- เสริมความมั่นใจในการถ่ายรูป
- ลดการใช้เครื่องสำอางในการเติมแต่ง
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเจ็บไหม
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มไม่ได้เจ็บมากอย่างที่กังวล เมื่อเทียบกับการฉีดในตำแหน่งอื่นๆ
- ร่องแก้ม คาง ขมับตอบ แก้มตอบ – เจ็บน้อย เพราะเนื้อเยื่อไม่บอบบาง
- หน้าแก้ม ริมฝีปาก ใต้ตา – เจ็บปานกลาง เนื้อเยื่อบริเวณนี้จะค่อนข้างบอบบางกว่าบริเวณอื่น
เปรียบเทียบกับการฉีดยารักษาสิว
- การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเจ็บน้อยกว่าการฉีดยารักษาสิว
- ใช้เข็มที่เล็กกว่าการฉีดยารักษาสิว
- ใช้เทคนิคเข็มพิเศษในบางเคสร่วมด้วย
คลินิกมีบริการแปะยาชาที่ช่วยลดความเจ็บปวด
- ทาก่อนการรักษา 15-30 นาที
- ช่วยลดความเจ็บปวดที่ผิวหนัง
ฟิลเลอร์รุ่นใหม่ เจ็บน้อยมากเพราะมียาชาผสม
- มียาชา (Lidocaine) ผสมมาในตัวผลิตภัณฑ์
- ออกฤทธิ์ทันทีที่ฉีด
- ช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างและหลังการรักษาได้ดี
- ทำให้ผ่อนคลายระหว่างการรักษา
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มใช้กี่ CC

| ระดับความรุนแรง | ลักษณะที่พบ | ปริมาณฟิลเลอร์ต่อข้าง (cc) |
|---|---|---|
| Level 1: รอยย่นเล็กน้อย | รอยย่นบางๆ ชัดขึ้นเมื่อแสดงสีหน้า | 0.5 – 0.7 |
| Level 2: รอยย่นปานกลาง | รอยย่นชัดเจนแม้ตอนพักใบหน้า | 1 – 1.5 |
| Level 3: รอยย่นลึก | ร่องแก้มลึกชัดเจน มองเห็นได้ชัด | 1.5 – 2 |
| Level 4: รอยย่นลึกมาก | ร่องแก้มลึกมากที่สุด เป็นรอยพับชัด | 2 – 3 |

ฉีดฟิลเลอร์ร่องมุมปาก แบบนี้ได้ไหม
การเติมฟิลเลอร์บริเวณร่องมุมปากเวลายิ้มทำได้ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
- เป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก
- อาจทำให้รอยยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติถ้าเติมมากเกินไป
- เสี่ยงต่อการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน
- อาจต้องทำร่วมกับการรักษาอื่น เช่น โบท็อกซ์
- ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสม
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มกี่วันเห็นผล
เห็นผล เห็นความแตกต่างหลังทำทันที
เซ็ตตัวเข้าที่ กลืนเป็นเนื้อเดียวกับผิว 1-3 วัน
สัมผัสธรรมชาติ อิ่มฟู เป็นธรรมชาติ 7 วัน และอยู่ได้นานจนกว่าจะสลายตัวไปเอง 8-24 เดือน แล้วแต่รุ่นที่ฉีด*
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มอยู่ได้นานแค่ไหน
ฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นการฉีดในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างมากจากกิจกรรมประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเคี้ยวอาหาร หรือการแสดงสีหน้าต่างๆ ซึ่งการเคลื่อนไหวบ่อยๆ นี้ส่งผลให้สารฟิลเลอร์สลายตัวเร็ว
โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้
- ปริมาณที่ฉีด
- การเผาผลาญของร่างกายแต่ละคน
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การนอน
- การดูแลผิวหลังทำหัตถการ
ฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ได้นานขึ้น หากคนไข้ดูแลดังนี้
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดในช่วงแรก
- ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น
- ป้องกันแสงแดด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอตามเกณฑ์
อาจต้องทำการเติมฟิลเลอร์เป็นระยะเพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลค่ะ
ฟิลเลอร์ร่องแก้มยี่ห้อไหนดี
ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์แต่ละแบรนด์ล้วนมีผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบโมเลกุลมาหลากหลาย จึงมีรุ่นที่เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องแก้มอย่างแน่นอน คุณสามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความต้องการ โดยแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป หรือปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ มั่นใจได้ก่อนตัดสินใจเลือกรับบริการ
ฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม
| แบรนด์ | เนื้อเจล | คุณสมบัติเด่น | ระยะเวลาอยู่ตัว | ระดับราคา |
|---|---|---|---|---|
| Juvederm | เนื้อนุ่ม ยืดหยุ่นสูง | กระจายตัวดี เข้ากับเนื้อเยื่อธรรมชาติ | 12-18 เดือน | สูง |
| Restylane | เนื้อแน่น คงรูปดี | ให้มิติชัดเจน เหมาะกับการเพิ่มโครงหน้า | 9-12 เดือน | ปานกลาง-สูง |
| Teosyal | เนื้อละเอียด นุ่มนวล | ผสมผสานกับเนื้อเยื่อได้ดี ดูเป็นธรรมชาติ | 8-12 เดือน | ปานกลาง |
| Belotero | เนื้อบาง กระจายตัวดี | เหมาะกับการแก้ไขร่องลึกไม่มาก | 6-12 เดือน | ปานกลาง |
| Ultra V Hyal Filler, Neuramis, E.P.T.Q. | เนื้อเนียน ยืดหยุ่นดี | ราคาคุ้มค่า ผลลัพธ์ธรรมชาติ | 6-12 เดือน | ปานกลาง-ต่ำ |
ข้อควรทราบ
- ราคาอาจแตกต่างกันตามสถานพยาบาลและปริมาณที่ใช้
- ระยะเวลาการอยู่ตัวขึ้นอยู่กับสภาพผิวและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
- ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกชนิดที่เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของคุณ
- ทุกแบรนด์ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม


ขั้นตอนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ ดีเลิฟเวอรี่คลินิก
- พบแพทย์ ประเมินปัญหา หมอต้าร์จะต้องสอบถามประวัติ และประเมินปัญหาผิวหน้า ก่อนรับบริการทุกเคส
- ทำความสะอาดผิวหน้า ทำความสะอาดผิวด้วยคลีนซิ่ง ลบเครื่องสำอาง ก่อนเริ่มทำการรักษา
- แปะยาชา เพื่อความสบายผิว เจ้าหน้าที่จะแปะยาชา ให้คนไข้ก่อนรับบริการ ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที
- แพทย์เริ่มทำการรักษา โดยมีเจ้าหน้าที่แจ้งตัวยา ตรงรุ่น ตรงตามคำแนะนำของแพทย์ ตรวจสอบฟิลเลอร์ได้ และใช้เวลาในการรักษาไม่นาน 20-30 นาที
- รับยาตามแพทย์สั่ง แพทย์จ่ายยา (ถ้ามี) และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง
- ติดตามผล ควรเข้ามาพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลลัพธ์การรักษาให้ออกมาอย่างที่คาดหวัง
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่ไหนดี
เมื่อคลินิกความงามมีให้เลือกมากมาย สิ่งสำคัญคือต้องเลือกด้วยวิจารณญาณ ไม่หลงกับกับดักราคาถูกหรือโปรโมชั่นล่อใจ เพราะความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด การเสียเวลาศึกษาข้อมูลและตรวจสอบมาตรฐานคลินิกย่อมคุ้มค่ากว่าการต้องมาแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาด อ่านบทความ การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียด ได้ที่นี่
มาตรฐานสถานพยาบาลที่จะฉีดฟิลเลอร์
- ต้องเป็นคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง
- มีการแสดงใบอนุญาตและใบประกอบวิชาชีพของแพทย์อย่างชัดเจน
- มีมาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย
คุณสมบัติแพทย์ผู้ทำหัตถการฟิลเลอร์
- ต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับการรับรองและมีความเชี่ยวชาญด้านความงาม
- มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ
- ควรมีผลงานที่สามารถตรวจสอบได้
วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์
- สามารถตรวจสอบใบอนุญาตคลินิกผ่านเว็บไซต์กองกฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
- สอบถามประวัติและประสบการณ์ของแพทย์ได้
- มีการให้คำปรึกษาและประเมินสภาพผิวก่อนทำหัตถการ


การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากค่ะ สำหรับคนที่เคยฉีดมาแล้วคงคุ้นเคยกับข้อปฏิบัติเหล่านี้ดี แต่ถ้าเป็นมือใหม่ที่เพิ่งฉีดครั้งแรก หรือมีผิวบอบบางเป็นพิเศษ แนะนำให้ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ
คำแนะนำหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- หลังการฉีด อาจมีอาการบวม เขียวช้ำได้ ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 3 วัน ถ้าอาการแย่ลงให้รีบติดต่อคลินิก
- ใน 48 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมช้ำ
- ระวังไม่ให้ใบหน้ากระทบกระแทก และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวหน้าแรงๆ ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- งดกิจกรรมที่ใช้ความร้อนทั้งหมด เช่น เลเซอร์หน้า อบไอน้ำ ซาวน่า อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
- ห้ามนวดหน้า ทำทรีทเม้นท์ใดๆ เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารหมักดองทุกชนิด 2 สัปดาห์ (หากจำเป็น ให้งดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง)
หลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะรู้สึกอย่างไรบ้าง
สำหรับคนที่ไม่เคยฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มมาก่อน อาจรู้สึกแปลกๆ เมื่อสัมผัสบริเวณที่ฉีด จะรู้สึกว่ามีเจลนูนๆ อยู่ใต้ผิว ซึ่งเป็นเรื่องปกติค่ะ ห้ามกดหรือนวดเด็ดขาด เพราะผิวจะค่อยๆ เข้าที่เองตามธรรมชาติ
ไม่ต้องกังวลว่าการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะทำให้หน้าดูอ้วนหรือบานกว่าเดิมนะคะ เพราะแพทย์จะฉีดในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ใบหน้าดูกระชับและเป็นธรรมชาติ
สำหรับคนที่เคยฉีดจากที่อื่นมาแล้วรู้สึกว่ามีการเติมมาเยอะเกินไปจนล้น ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการ ฉีดสลาย แต่ต้องให้แพทย์ประเมินก่อนว่าเป็นฟิลเลอร์แท้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยในการรักษา
เปรียบเทียบ ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม กับเสริมซิลิโคนร่องแก้ม
การเปรียบเทียบระหว่างฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มและเสริมซิลิโคนร่องแก้ม
| หัวข้อ | ฉีดฟิลเลอร์ | เสริมซิลิโคน |
|---|---|---|
| วิธีการรักษา | ฉีดสารเติมเต็มเข้าใต้ผิวหนัง | ผ่าตัดฝังซิลิโคนแบบถาวร |
| ระยะเวลาทำ | 15-30 นาที | 1-2 ชั่วโมง |
| ความรู้สึกตอนทำ-หลังทำ | ⭐ | ⭐⭐⭐ |
| การพักฟื้น | ⭐ (1-2 วัน) | ⭐⭐⭐ (7-14 วัน) |
| ความคงทน | ⭐⭐ (1-2 ปี) | ⭐⭐⭐⭐ (ยาวนานกว่า) |
| ความเป็นธรรมชาติ | ⭐⭐⭐⭐ | ⭐⭐ |
| การแก้ไขภายหลัง | ง่าย สามารถฉีดสลายได้ | ยาก ต้องผ่าตัดแก้ไข |
| ราคา | (8,000-30,000 บาท) | (50,000-100,000 บาท) |
| ความเสี่ยง | ต่ำ | สูง |
| การดูแลหลังทำ ข้อห้าม | ไม่ซ้ำซ้อน | ซับซ้อนกว่า |

ข้อดีฟิลเลอร์
- ไม่ต้องผ่าตัด
- พักฟื้นน้อย
- แก้ไขง่าย
- ดูเป็นธรรมชาติ
- ความเสี่ยงน้อย
ข้อดีซิลิโคน
- ผลลัพธ์ถาวร
- คุ้มค่าในระยะยาว
- ไม่ต้องทำซ้ำ
- เห็นผลชัดเจน
- ควบคุมรูปร่าง ขนาดได้แน่นอน

ทำไมต้องที่ D’ Lovevery Clinic
การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและไว้วางใจได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณในทุกๆ ด้าน
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case ละเอียด ไม่เร่งรีบ
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน ไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส
- จ่ายสบายเลือกได้ มีระบบมัดจำ แบ่งจ่ายได้ มี Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง รวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่ใช่ดาราหรือ Influencer
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกผ่านการรับรอง มีที่จอดรถฟรี
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ ข้อมูลรวดเร็ว เช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวผ่าน อย. ไทยและตรวจสอบได้

ความถี่ในการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นชนิดของฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีด ไลฟ์สไตล์ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด อีกนัยนึงคือ คนไข้ที่มีปัญหาเยอะและต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมาก (หลาย cc) อาจจะต้องแบ่งการฉีดออกเป็นหลายเซสชั่น (เช่น 2 ครั้ง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเหมาะสม เพราะการอัดฟิลเลอร์เข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในครั้งเดียว อาจจะไม่เหมาะกับบางเคส ดังนั้น การปรึกษารับบริการกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จริง เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
ต้องบอกว่าจริงบางส่วน แต่มันไม่ใช่ทุกคน ทุกบริเวณ และทุกครั้งค่ะ
การที่ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลคือ ชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ บริเวณที่ฉีด การดูแลตัวเองหลังฉีด และกระบวนการสลายของร่างกายแต่ละบุคคล แม้ว่าการฉีดตอนอายุน้อยอาจมีส่วนช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากสภาพผิวที่สมบูรณ์กว่า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมและได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ
การดูแลผิวหน้าให้สวยสมบูรณ์แบบและอ่อนเยาว์นั้น ไม่ใช่แค่การดูแลผิวชั้นบนเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่าปัญหาเกิดจากชั้นผิวไหน เพื่อให้หมอเลือกโปรแกรมที่ ตรงจุด เช่น โปรแกรม Sculptra, Profhilo, Radiesse, Thermage FLX, Potenza, Oligio เหมาะกับการปรับปรุงคุณภาพผิวและกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวหนังและไขมันตื้น, โปรแกรม Botox ใช้กับริ้วรอยจากการทำงานของกล้ามเนื้อ, โปรแกรม Ulthera ยกกระชับโครงสร้างลึกถึงชั้น SMAS, และ โปรแกรม Filler ช่วยเสริมสร้างและเติมเต็มโครงสร้างกระดูกและไขมันชั้นลึก การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินปัญหาในแต่ละชั้นผิวอย่างละเอียด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สวยงามและยั่งยืนค่ะ
“Facial Harmony Filler” ไม่ใช่เทคนิคที่เป็นความลับหรือมีใครเป็นเจ้าของค่ะ แต่มันคือ “ปรัชญา” และ “ศิลปะ” ในการปรับรูปหน้า ที่เปลี่ยนมุมมองจากการ “เติมเป็นจุดๆ” มาเป็นการ “ปั้นและออกแบบใบหน้าแบบองค์รวม” ค่ะ หัวใจสำคัญคือการที่แพทย์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าทั้งหมด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและสร้างความสมดุลให้ทุกส่วนประกอบบนใบหน้าดูกลมกลืนกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่การเติมเต็มส่วนที่ขาด แต่คือการ คืนความอ่อนเยาว์ สร้างมิติที่สวยงาม และดึงความงามในแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุดของคนไข้ ออกมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการย้ำเตือนให้คนไข้เข้าใจว่า การฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ใครก็ฉีดได้ แต่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของแพทย์อย่างแท้จริงค่ะ
คือ โบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อเพื่อ “ป้องกันและลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับ” เช่น เวลายักคิ้ว ในขณะที่ ฟิลเลอร์จะทำหน้าที่ “เติมเต็มร่องลึกถาวร” ที่มองเห็นแม้จะทำหน้าเฉยๆ ค่ะ ในหลายกรณี การใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กันจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผากได้อย่างครอบคลุมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนดูอ่อนเยาว์อีกครั้งค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชายมีความแตกต่างจากผู้หญิงอย่างชัดเจนในเรื่องของเป้าหมายและเทคนิคค่ะ สำหรับผู้ชายจะเน้นการฉีดเพื่อเสริมสร้างความคมชัดของกรอบหน้า (Masculinization) เช่น การทำให้หน้าผากดูกว้างและตรง, สร้างสันจมูกให้คม, เพิ่มความกว้างและความเหลี่ยมของคาง, และสร้างแนวกรามให้คมชัดเป็นสัน เพื่อส่งเสริมโครงสร้างที่ดูแข็งแรงตามแบบผู้ชาย ในขณะที่ การฉีดในผู้หญิงจะเน้นการสร้างความโค้งมน อ่อนหวาน (Feminization) เช่น การทำให้หน้าผากโหนกนูน, สร้างโหนกแก้มให้ดูอิ่มเอิบ, ทำให้คางเรียวเป็น V-shape และปั้นปากให้อวบอิ่มสวยงามค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในบริเวณอื่นๆ เช่น ใต้ตาและร่องแก้ม เทคนิคและเป้าหมายจะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัญหาเกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนังเหมือนกัน เป้าหมายหลักจึงเป็นการ “เติมเต็ม” เพื่อแก้ปัญหาร่องลึกและความโทรมให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่ทั้งนี้ แพทย์จะยังคงพิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละเพศ และใช้เทคนิคการเกลี่ยที่พิถีพิถัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและส่งเสริมเอกลักษณ์ของคนไข้แต่ละคนได้ดีที่สุดค่ะ
ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีในร่างกาย รวมถึงฟิลเลอร์ ที่เป็นกล่องๆ ที่ผ่าน อย. แบบที่เราคุ้นเคยกันนั้นจะค่อย ๆ สลายตัวเองตามกระบวนการปกติของร่างกายค่ะ โดยมีเอนไซม์มาค่อย ๆ ย่อยสลายฟิลเลอร์จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก ๆ สุดท้ายจะถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับของเสียอื่น ๆ จึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีการตกค้างเป็นอันตราย หรือไหลไปสะสมที่อื่นแน่นอนค่ะ
คนไข้หลายคนเข้าใจว่าตอนแรกฟิลเลอร์มีลักษณะเป็น “เจล” เพราะคลินิกต้องเอาหลอดฟิลเลอร์ให้ดูก่อนฉีดอยู่แล้ว และสุดท้ายก็กลายเป็นน้ำ “ถูกขับออกจากร่างกายไป” อันนี้ก็ต้องบอกว่าถูกต้องเหมือนกันค่ะ แต่หมอขอขยายส่วนที่บอกว่ากลายเป็น “น้ำ” นิดนึงค่ะ
จริงๆ แล้วฟิลเลอร์ HA ไม่ได้สลายตัวกลายเป็น “น้ำ” (H₂O) โดยตรงค่ะ แต่กระบวนการที่ถูกต้องคือ
- จากเจลสู่โมเลกุลน้ำตาล: เอนไซม์ในร่างกายจะย่อยสลายเนื้อเจลของฟิลเลอร์ ให้กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายอยู่ในรูปของ “โมเลกุลน้ำตาล” ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสาร Hyaluronic Acid ค่ะ
- ร่างกายนำไปใช้และขับออก: หลังจากนั้น ร่างกายก็จะดูดซึมโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ หรือ ขับออกตามกระบวนการขับของเสียปกติของร่างกาย ซึ่งก็คือผ่านทางปัสสาวะหรือเหงื่อนั่นเองค่ะ
ดังนั้น ที่คนไข้เข้าใจว่ามันกลายเป็นของเหลวแล้วถูกขับออกนั้นถูกต้องเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้เป๊ะๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือ จากเจล กลายเป็นน้ำตาล แล้วจึงถูกขับออก นั่นเองค่ะ
มีอะไรสงสัยถามหมอได้อีกเลยนะคะ ยินดีตอบเสมอค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์มือจะเน้นฉีดที่บริเวณ “หลังมือ” เป็นหลัก ไม่ได้ฉีดที่ “ข้อมือ หรือนิ้วมือ” โดยตรง นะคะ เพราะเป็นการแก้ปัญหา มือเหี่ยว ผิวบางจนเห็นเส้นเลือดและเส้นเอ็น ได้อย่างตรงจุด ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่ดู เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ มากที่สุดค่ะ การเติมเต็มที่หลังมือจะช่วยฟื้นฟูให้มือกลับมาดูอวบอิ่มและอ่อนเยาว์ขึ้นโดยรวมค่ะ











