ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ถาม:

ปริมาณน้ำตาลต่อวันเท่าไหร่ ถึงจะพอดี

หมอต้าร์-exosome-สกินบูสเตอร์-ดีเลิฟเวอรี่คลินิก

(หมอต้าร์) พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

ว.49465

ตอบ:

คนไข้ถามได้โดนใจหมอเหมือนกัน เพราะพอพูดถึงเรื่องน้ำตาล เชื่อว่าหลายคนคงปวดหัวไม่น้อย เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่คำเตือนเต็มไปหมด ตั้งแต่หมอ พยาบาล ไปจนถึงบล็อกเกอร์สายสุขภาพต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ควรลดหวานนะคะ” ซึ่งความจริงแล้ว การรับประทานน้ำตาลไม่ใช่สิ่งผิด แต่ควรควบคุมปริมาณให้เหมาะสมกับร่างกายของเราเอง เพราะหากมากเกินไป ก็อาจเสี่ยงทำให้น้ำหนักขึ้น ระบบเผาผลาญรวน ร่างกายอักเสบนุ่นนี่นั่น หรืออาจกระทบต่อสุขภาพผิวและรูปร่างในระยะยาวได้ค่ะ

หมอคิดว่าข้อเสียของน้ำตาล ทุกคนพอทราบกันแล้ว ทีนี้ถ้าอยากสวยสุขภาพดีแบบองค์รวม แนะนำให้ได้รับปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 24-25 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 6 ช้อนชา (อ้างอิงตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกเลยนะ) ซึ่งตัวเลขนี้เป็นค่าเฉลี่ยทั่วไป เพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงโรคอ้วน เบาหวาน และอื่น ๆ

ตารางแนะนำปริมาณน้ำตาลต่อวัน

รายการปริมาณน้ำตาลที่แนะนำต่อวัน (กรัม)เทียบเป็นจำนวนช้อนชา (ช้อนชา)
ผู้หญิง (สุขภาพทั่วไป)24–25ประมาณ 6
ผู้ชาย (สุขภาพทั่วไป)36–37ประมาณ 9
ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงเบาหวานแนะนำลดหรือปรึกษาแพทย์

ตัวอย่างอาหารไทยและปริมาณน้ำตาล

ตารางด้านล่างนี้คือปริมาณน้ำตาลคร่าว ๆ ในเมนูไทยยอดนิยม ซึ่งอาจแตกต่างตามสูตรและร้านที่ทำ แต่จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้นค่ะ

เมนูอาหาร/เครื่องดื่มปริมาณ (ต่อ 1 ที่/แก้ว)ปริมาณน้ำตาลโดยประมาณ (กรัม)หมายเหตุ
ชาเย็น (ชาไทย)1 แก้ว (250 มล.)~25–30อาจลดได้หากใส่นมจืดแทนหรือลดการเติมน้ำตาล
ข้าวเหนียวมะม่วง1 จาน~20–25ส่วนใหญ่มาจากน้ำกะทิและความหวานของมะม่วง
ขนมครก (ประมาณ 6–8 ชิ้น)1 ชุด~10–15ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาลที่ผสมน้ำกะทิและแป้ง
บัวลอย (ใส่ไข่หวาน)1 ถ้วย~20–25หากลดความหวานของน้ำกะทิก็จะช่วยลดน้ำตาลลงได้
น้ำอัดลม (กระป๋อง 330 มล.)1 กระป๋อง~35–40แหล่งน้ำตาลหลักมาจากน้ำเชื่อมข้าวโพดหรือซูโครส

กระบวนการอักเสบจากน้ำตาลและผลกระทบต่อสุขภาพ

กระบวนการอักเสบจากน้ำตาลเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นเมื่อเรารับประทานน้ำตาลมากเกินไปเป็นประจำ เริ่มจากน้ำตาลในเลือดสูงไปจับกับโปรตีนต่างๆ ในร่างกาย สร้างสาร AGEs ที่ทำร้ายเซลล์ กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอักเสบออกมา ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน บั่นทอนระบบไมโครไบโอมในลำไส้ ซึ่งเมื่อเกิดซ้ำต่อเนื่องจะกลายเป็นการอักเสบเรื้อรังระดับต่ำ (low-grade chronic inflammation) ที่แม้จะไม่รุนแรงแต่เป็นรากฐานของหลายโรคในระยะยาว—ทั้งนี้ หมออยากย้ำว่าร่างกายมีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ดี การปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยฟื้นฟูและลดการอักเสบได้ค่อนข้างเร็ว ไม่ต้องกังวลมากเกินไปสำหรับการรับประทานของหวานเป็นครั้งคราวค่ะ

  1. จุดเริ่มต้น: การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  2. การสร้าง AGEs: น้ำตาลจะไปจับกับโปรตีนในร่างกาย ก่อให้เกิดสารที่เรียกว่า AGEs ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อและกระตุ้นการอักเสบ
  3. ระดับอินซูลินสูง: ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินมากเพื่อจัดการกับน้ำตาลที่สูงเกินไป ซึ่งไปกระตุ้นการผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
  4. ผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้: น้ำตาลเปลี่ยนสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่ว ส่งผลให้สารพิษรั่วเข้าสู่กระแสเลือด
  5. การอักเสบเรื้อรัง: เมื่อกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง จะนำไปสู่ภาวะอักเสบเรื้อรังที่เป็นรากฐานของโรคต่างๆ มากมาย

น้ำตาลไม่ได้เลวร้ายเสมอไป มันมีประโยชน์ที่สำคัญ สมองของคนไข้ต้องการกลูโคสเป็นเชื้อเพลิงหลักในการทำงาน ร่างกายใช้น้ำตาลสร้างพลังงานฉับไว ช่วยในภาวะเครียดและออกกำลังกายหนัก และกระตุ้นการหลั่งโดพามีนทำให้รู้สึกมีความสุข ในทางการแพทย์ เรายังใช้น้ำตาลรักษาภาวะน้ำตาลต่ำที่อันตรายถึงชีวิตได้ ประเด็นสำคัญไม่ใช่การตัดน้ำตาลทั้งหมด แต่คือการรู้จักพอดี และเลือกแหล่งที่มาอย่างฉลาด เช่น จากผลไม้แทนขนมหวานหรือน้ำอัดลมค่ะ

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย