ปวดหัวร้าวลงคอ บ่า ไหล่… ตกลงเป็นไมเกรน หรือ ออฟฟิศซินโดรมกันแน่?
ก่อนอื่นหมอต้องบอกว่า ทั้งสองโรคนี้เป็นคนละโรคกันโดยสิ้นเชิงนะคะ แต่สามารถเกิดร่วมกัน หรือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอีกโรคหนึ่งได้ค่ะ ทำให้คนไข้หลายคนสับสน เรามาแยกกันดูชัดๆ ทีละโรคเลยนะคะ
1. ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome): ปัญหาจาก “กล้ามเนื้อและโครงสร้าง”
ลองจินตนาการว่าร่างกายเราเป็นเหมือนตึกค่ะ เมื่อเรานั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ ก้มหน้าเล่นมือถือ หรือนั่งผิดท่า โครงสร้างตึก (กระดูกสันหลัง) ของเราจะเริ่มผิดรูป กล้ามเนื้อที่คอยพยุงตึก (กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่) ก็จะ ทำงานหนักและเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อดึงโครงสร้างให้กลับมาตรง
- ลักษณะการปวด: จะเป็นการ ปวดตื้อๆ หนักๆ เมื่อยๆ หรือรู้สึกระบม เหมือนมีใครมานั่งทับที่บ่าตลอดเวลา บางครั้งปวดร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอยหรือขมับได้ แต่จุดเริ่มต้นมักจะมาจากกล้ามเนื้อค่ะ
- จุดเริ่มต้นของอาการ: มักเริ่มปวดที่ คอ บ่า หรือไหล่ก่อน แล้วอาการปวดศีรษะค่อยตามมาทีหลัง
- อาการร่วมอื่นๆ: อาจมีอาการ ชาลงแขนหรือปลายนิ้ว เพราะกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวไปกดทับเส้นประสาท หรือมีอาการนิ้วล็อกร่วมด้วยได้
- สิ่งที่กระตุ้น: การนั่งทำงานนานๆ หรืออยู่ในท่าเดิม คือตัวกระตุ้นหลักเลยค่ะ
พูดง่ายๆ ก็คือ ออฟฟิศซินโดรมคือ “อาการปวดจากกล้ามเนื้อที่ใช้งานหนักเกินไป” ค่ะ

2. ไมเกรน (Migraine): ปัญหาจาก “ระบบประสาทและสมองที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น”
ในทางกลับกัน ไมเกรนไม่ได้เกี่ยวกับกล้ามเนื้อโดยตรงค่ะ แต่เป็นโรคทางระบบประสาท หมอขอเปรียบเทียบว่าสมองของคนที่เป็นไมเกรนนั้นเหมือนกับ “ระบบสัญญาณเตือนภัยที่เซนซิทีฟเกินไป” แค่มีอะไรมากระทบเพียงนิดหน่อย สัญญาณเตือนภัย (อาการปวด) ก็ดังขึ้นมาทันที
- ลักษณะการปวด: จะเป็นการ ปวดตุ้บๆ ตามจังหวะชีพจร และมักจะปวดรุนแรงที่ ศีรษะข้างเดียว (อาจสลับข้างได้)
- จุดเริ่มต้นของอาการ: มักเริ่มปวดที่ศีรษะก่อนเสมอ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ อาจเป็นอาการที่เกิดร่วมด้วย แต่ไม่ใช่จุดเริ่มต้น
- อาการร่วมอื่นๆ: อาการเหล่านี้คือจุดเด่นของไมเกรนเลยค่ะ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน, ทนแสงจ้าหรือเสียงดังไม่ได้, บางคนอาจเห็นแสงซิกแซกหรือภาพเบลอๆ ก่อนปวด (Aura)
- สิ่งที่กระตุ้น: หลากหลายมากค่ะ เช่น แสงแดดจ้า, เสียงดัง, กลิ่นน้ำหอม, การนอนน้อย, ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (ช่วงมีประจำเดือน) หรือแม้แต่อาหารบางชนิด
แล้วทำไมถึงรู้สึกว่ามันเกิดพร้อมกันล่ะคะคุณหมอ?
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดค่ะ! อาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรม สามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวกระตุ้น” ให้ไมเกรนของคนไข้กำเริบได้ค่ะ! พูดง่ายๆ คือ พอคนไข้ปวดคอบ่าไหล่จากออฟฟิศซินโดรมมากๆ ความเจ็บปวดและความตึงเครียดนั้นก็ไปกดปุ่มเปิดระบบสัญญาณเตือนภัยในสมอง ทำให้ไมเกรนทำงานขึ้นมาทันที กลายเป็นว่าคนไข้มีอาการปวดทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
ดังนั้น การวินิจฉัยที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญที่สุด ค่ะ เพราะการรักษาทั้งสองโรคนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การทานยาแก้ปวดทั่วไปอาจช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่ไม่สามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ค่ะ
คนเป็นไมเกรนดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร
การดูแลตัวเองเรื่องอาหารเป็นหนึ่งในหัวใจของการควบคุมไมเกรนเลยก็ว่าได้ค่ะ ข้อมูลที่คนไข้ให้มานั้น หมอจะอธิบายเสริมให้เข้ากับเนื้อหาของเรานะคะ
‘รายชื่ออาหารผู้ต้องสงสัย’ ที่มักจะไปกดปุ่มเปิดสัญญาณเตือนภัยไมเกรนในสมองของเรา”
หมอขออธิบายตามหลักการแพทย์ง่ายๆ ว่าทำไมอาหารเหล่านี้ถึงเป็นตัวกระตุ้นได้ค่ะ
สารเคมีในอาหารบางชนิด โดยเฉพาะสารที่ชื่อว่า ไทรามีน (Tyramine) และ ฮิสตามีน (Histamine) เป็นผู้ร้ายตัวฉกาจเลยค่ะ สารเหล่านี้มีผลต่อการ หดและขยายตัวของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนตุ้บๆ นั่นเองค่ะ
ทีนี้เรามาดูกันทีละข้อนะคะ ว่าทำไมถึงติดอยู่ใน “รายชื่อผู้ต้องสงสัย”
- ของมึนเมาทุกชนิด: อันนี้ชัดเจนที่สุดค่ะ โดยเฉพาะไวน์แดงและเบียร์ เพราะมีทั้งแอลกอฮอล์และไทรามีนสูงมาก เป็นตัวกระตุ้นอันดับต้นๆ เลยค่ะ
- กล้วย (โดยเฉพาะกล้วยงอม) และผลไม้ตระกูลส้ม/มะนาว: ผลไม้เหล่านี้ โดยเฉพาะเปลือกและส่วนที่เป็นเยื่อใย จะมีสารไทรามีนอยู่ค่ะ ยิ่งกล้วยสุกงอมมากเท่าไหร่ ปริมาณไทรามีนก็จะยิ่งสูงขึ้น ส่วนส้มและมะนาวก็เป็นผลไม้อีกกลุ่มที่มักถูกรายงานว่าเป็นตัวกระตุ้นในคนไข้หลายๆ คนค่ะ
- อาหารที่มียีสต์เป็นส่วนประกอบ (ขนมปัง, เห็ด): กลุ่มนี้คือแหล่งรวมไทรามีนเลยค่ะ อะไรก็ตามที่ผ่านการหมักหรือใช้ยีสต์ เช่น ขนมปังที่หมักฟูใหม่ๆ
- เนย: ข้อนี้อาจจะไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นหลักในคนส่วนใหญ่ แต่ในคนไข้บางรายอาจจะไวต่อไขมันบางชนิด หรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเนยก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
ที่หมอใช้คำว่า “รายชื่อผู้ต้องสงสัย” ก็เพราะว่า ไม่ใช่คนไข้ไมเกรนทุกคนจะแพ้อาหารทุกอย่างตามนี้ค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เฉพาะบุคคลมากๆ บางคนอาจจะทานกล้วยได้แต่ทานส้มแล้วปวดหัวทันที
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการทำ “สมุดบันทึกไมเกรน (Migraine Diary)” ค่ะ ลองสังเกตตัวเองง่ายๆ ว่าในวันที่ปวดหัว ก่อนหน้านั้น 24 ชั่วโมงเราทานอะไรเข้าไปบ้าง ทำแบบนี้สัก 1-2 เดือน คนไข้จะเริ่มเห็นรูปแบบและเจอ “ผู้ต้องสงสัยตัวจริง” ของตัวเองค่ะ การเลี่ยงอาหารที่เราไม่ได้แพ้ไปทั้งหมด อาจทำให้เราขาดความสุขในการทานอาหารไปโดยไม่จำเป็นนะคะ
การเข้าใจเรื่องอาหารนี้ จะช่วยเสริมการรักษาด้วยโบท็อกซ์ได้ดีมากค่ะ เพราะในขณะที่โบท็อกซ์ช่วยป้องกันจากภายใน การควบคุมปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกอย่างอาหาร ก็เหมือนการช่วยปิดประตูไม่ให้ผู้ร้ายเข้ามาในบ้านอีกทางหนึ่งค่ะ








