ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ปวดหัว คอบ่าไหล่ แบบไหนคือไมเกรน หรือ ออฟฟิสซินโดรม

คือ ออฟฟิศซินโดรม คืออาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่เกิดจาก ท่าทางและการใช้งานหนัก โดยมักจะ เริ่มปวดจากคอบ่าไหล่แล้วลามขึ้นศีรษะ ในขณะที่ ไมเกรน เป็นโรคทางสมองที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้มีอาการ ปวดหัวตุ้บๆ ที่ศีรษะข้างเดียวเป็นหลัก และมีอาการอื่นร่วมด้วย ข่าวดีคือ การฉีดโบท็อกซ์สามารถรักษาได้ทั้งสองภาวะ แต่ทำงานในกลไกที่ต่างกันค่ะ ในออฟฟิศซินโดรม โบท็อกซ์จะเข้าไป คลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นก้อนโดยตรง เพื่อลดอาการปวดตึงที่ต้นเหตุ ส่วนในเคสไมเกรน โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ ยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวดในระบบประสาท เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ และเนื่องจากความตึงของกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรม เป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ การรักษาด้วยโบท็อกซ์จึงอาจช่วยลดปัญหาได้ทั้งสองทาง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการ เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และวางแผนการรักษาที่ตรงจุดที่สุดค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้น กรุณาทำนัดเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรับข้อมูลโดยละเอียด

ฉีดโบท็อกซ์ แก้ปวดไมเกรน ทำได้จริงไหม ฉีดตรงไหน ราคาเท่าไหร่ คำถามที่พบบ่อย
โบท็อกซ์ช่วยลดอาการปวดหัวได้อย่างไร? ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ลดปวดไมเกรน

ปวดหัวร้าวลงคอ บ่า ไหล่… ตกลงเป็นไมเกรน หรือ ออฟฟิศซินโดรมกันแน่?

ก่อนอื่นหมอต้องบอกว่า ทั้งสองโรคนี้เป็นคนละโรคกันโดยสิ้นเชิงนะคะ แต่สามารถเกิดร่วมกัน หรือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอีกโรคหนึ่งได้ค่ะ ทำให้คนไข้หลายคนสับสน เรามาแยกกันดูชัดๆ ทีละโรคเลยนะคะ

1. ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome): ปัญหาจาก “กล้ามเนื้อและโครงสร้าง”

ลองจินตนาการว่าร่างกายเราเป็นเหมือนตึกค่ะ เมื่อเรานั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ ก้มหน้าเล่นมือถือ หรือนั่งผิดท่า โครงสร้างตึก (กระดูกสันหลัง) ของเราจะเริ่มผิดรูป กล้ามเนื้อที่คอยพยุงตึก (กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่) ก็จะ ทำงานหนักและเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อดึงโครงสร้างให้กลับมาตรง

  • ลักษณะการปวด: จะเป็นการ ปวดตื้อๆ หนักๆ เมื่อยๆ หรือรู้สึกระบม เหมือนมีใครมานั่งทับที่บ่าตลอดเวลา บางครั้งปวดร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอยหรือขมับได้ แต่จุดเริ่มต้นมักจะมาจากกล้ามเนื้อค่ะ
  • จุดเริ่มต้นของอาการ: มักเริ่มปวดที่ คอ บ่า หรือไหล่ก่อน แล้วอาการปวดศีรษะค่อยตามมาทีหลัง
  • อาการร่วมอื่นๆ: อาจมีอาการ ชาลงแขนหรือปลายนิ้ว เพราะกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวไปกดทับเส้นประสาท หรือมีอาการนิ้วล็อกร่วมด้วยได้
  • สิ่งที่กระตุ้น: การนั่งทำงานนานๆ หรืออยู่ในท่าเดิม คือตัวกระตุ้นหลักเลยค่ะ

พูดง่ายๆ ก็คือ ออฟฟิศซินโดรมคือ “อาการปวดจากกล้ามเนื้อที่ใช้งานหนักเกินไป” ค่ะ

เช็คอาการปวดหัวแต่ละแบบก่อนรักษา ปวดหัวไมเกรนเป็นยังไง

2. ไมเกรน (Migraine): ปัญหาจาก “ระบบประสาทและสมองที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น”

ในทางกลับกัน ไมเกรนไม่ได้เกี่ยวกับกล้ามเนื้อโดยตรงค่ะ แต่เป็นโรคทางระบบประสาท หมอขอเปรียบเทียบว่าสมองของคนที่เป็นไมเกรนนั้นเหมือนกับ “ระบบสัญญาณเตือนภัยที่เซนซิทีฟเกินไป” แค่มีอะไรมากระทบเพียงนิดหน่อย สัญญาณเตือนภัย (อาการปวด) ก็ดังขึ้นมาทันที

  • ลักษณะการปวด: จะเป็นการ ปวดตุ้บๆ ตามจังหวะชีพจร และมักจะปวดรุนแรงที่ ศีรษะข้างเดียว (อาจสลับข้างได้)
  • จุดเริ่มต้นของอาการ: มักเริ่มปวดที่ศีรษะก่อนเสมอ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ อาจเป็นอาการที่เกิดร่วมด้วย แต่ไม่ใช่จุดเริ่มต้น
  • อาการร่วมอื่นๆ: อาการเหล่านี้คือจุดเด่นของไมเกรนเลยค่ะ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน, ทนแสงจ้าหรือเสียงดังไม่ได้, บางคนอาจเห็นแสงซิกแซกหรือภาพเบลอๆ ก่อนปวด (Aura)
  • สิ่งที่กระตุ้น: หลากหลายมากค่ะ เช่น แสงแดดจ้า, เสียงดัง, กลิ่นน้ำหอม, การนอนน้อย, ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (ช่วงมีประจำเดือน) หรือแม้แต่อาหารบางชนิด

แล้วทำไมถึงรู้สึกว่ามันเกิดพร้อมกันล่ะคะคุณหมอ?

นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดค่ะ! อาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรม สามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวกระตุ้น” ให้ไมเกรนของคนไข้กำเริบได้ค่ะ! พูดง่ายๆ คือ พอคนไข้ปวดคอบ่าไหล่จากออฟฟิศซินโดรมมากๆ ความเจ็บปวดและความตึงเครียดนั้นก็ไปกดปุ่มเปิดระบบสัญญาณเตือนภัยในสมอง ทำให้ไมเกรนทำงานขึ้นมาทันที กลายเป็นว่าคนไข้มีอาการปวดทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

ดังนั้น การวินิจฉัยที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญที่สุด ค่ะ เพราะการรักษาทั้งสองโรคนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การทานยาแก้ปวดทั่วไปอาจช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่ไม่สามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ค่ะ

คนเป็นไมเกรนดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไร

การดูแลตัวเองเรื่องอาหารเป็นหนึ่งในหัวใจของการควบคุมไมเกรนเลยก็ว่าได้ค่ะ ข้อมูลที่คนไข้ให้มานั้น หมอจะอธิบายเสริมให้เข้ากับเนื้อหาของเรานะคะ

‘รายชื่ออาหารผู้ต้องสงสัย’ ที่มักจะไปกดปุ่มเปิดสัญญาณเตือนภัยไมเกรนในสมองของเรา”

หมอขออธิบายตามหลักการแพทย์ง่ายๆ ว่าทำไมอาหารเหล่านี้ถึงเป็นตัวกระตุ้นได้ค่ะ

สารเคมีในอาหารบางชนิด โดยเฉพาะสารที่ชื่อว่า ไทรามีน (Tyramine) และ ฮิสตามีน (Histamine) เป็นผู้ร้ายตัวฉกาจเลยค่ะ สารเหล่านี้มีผลต่อการ หดและขยายตัวของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดไมเกรนตุ้บๆ นั่นเองค่ะ

ทีนี้เรามาดูกันทีละข้อนะคะ ว่าทำไมถึงติดอยู่ใน “รายชื่อผู้ต้องสงสัย”

  • ของมึนเมาทุกชนิด: อันนี้ชัดเจนที่สุดค่ะ โดยเฉพาะไวน์แดงและเบียร์ เพราะมีทั้งแอลกอฮอล์และไทรามีนสูงมาก เป็นตัวกระตุ้นอันดับต้นๆ เลยค่ะ
  • กล้วย (โดยเฉพาะกล้วยงอม) และผลไม้ตระกูลส้ม/มะนาว: ผลไม้เหล่านี้ โดยเฉพาะเปลือกและส่วนที่เป็นเยื่อใย จะมีสารไทรามีนอยู่ค่ะ ยิ่งกล้วยสุกงอมมากเท่าไหร่ ปริมาณไทรามีนก็จะยิ่งสูงขึ้น ส่วนส้มและมะนาวก็เป็นผลไม้อีกกลุ่มที่มักถูกรายงานว่าเป็นตัวกระตุ้นในคนไข้หลายๆ คนค่ะ
  • อาหารที่มียีสต์เป็นส่วนประกอบ (ขนมปัง, เห็ด): กลุ่มนี้คือแหล่งรวมไทรามีนเลยค่ะ อะไรก็ตามที่ผ่านการหมักหรือใช้ยีสต์ เช่น ขนมปังที่หมักฟูใหม่ๆ
  • เนย: ข้อนี้อาจจะไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นหลักในคนส่วนใหญ่ แต่ในคนไข้บางรายอาจจะไวต่อไขมันบางชนิด หรือผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเนยก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ

ที่หมอใช้คำว่า “รายชื่อผู้ต้องสงสัย” ก็เพราะว่า ไม่ใช่คนไข้ไมเกรนทุกคนจะแพ้อาหารทุกอย่างตามนี้ค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เฉพาะบุคคลมากๆ บางคนอาจจะทานกล้วยได้แต่ทานส้มแล้วปวดหัวทันที

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการทำ “สมุดบันทึกไมเกรน (Migraine Diary)” ค่ะ ลองสังเกตตัวเองง่ายๆ ว่าในวันที่ปวดหัว ก่อนหน้านั้น 24 ชั่วโมงเราทานอะไรเข้าไปบ้าง ทำแบบนี้สัก 1-2 เดือน คนไข้จะเริ่มเห็นรูปแบบและเจอ “ผู้ต้องสงสัยตัวจริง” ของตัวเองค่ะ การเลี่ยงอาหารที่เราไม่ได้แพ้ไปทั้งหมด อาจทำให้เราขาดความสุขในการทานอาหารไปโดยไม่จำเป็นนะคะ

การเข้าใจเรื่องอาหารนี้ จะช่วยเสริมการรักษาด้วยโบท็อกซ์ได้ดีมากค่ะ เพราะในขณะที่โบท็อกซ์ช่วยป้องกันจากภายใน การควบคุมปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกอย่างอาหาร ก็เหมือนการช่วยปิดประตูไม่ให้ผู้ร้ายเข้ามาในบ้านอีกทางหนึ่งค่ะ

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย