ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ถาม:

Juvelook กับ Sculptra เลือกอะไรดี

ตอบ:

ในวงการความงามไม่มีการรักษาใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนค่ะ แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดหรือเป็นที่นิยมมานาน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคนไข้แต่ละท่าน

ก่อนที่เราจะเลือกวิธีการรักษา หมอมีเทคนิคการประเมินผิวเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เราเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดค่ะ ซึ่งหมอมีคำแนะนำเบื้องต้นในการตรวจผิวตัวเองดังนี้ค่ะ

เช็คผิวก่อนทำโปรแกรมกระตุ้นคอลลาเจน

  1. การประเมินสภาพผิวพื้นฐาน
    • ความยืดหยุ่นของผิว (ทดสอบด้วยการบีบเบาๆ)
    • ความหนาของชั้นผิว
    • ปริมาณคอลลาเจนที่มีอยู่
    • ความชุ่มชื้นของผิว
  2. การวิเคราะห์ปัญหาผิว
    • ตำแหน่งและความลึกของริ้วรอย
    • บริเวณที่มีปัญหาหย่อนคล้อย
    • รอยหมองคล้ำหรือปัญหาสีผิว
    • ความสมมาตรของใบหน้า
  3. การพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคล
    • อายุและประวัติการรักษาที่ผ่านมา
    • ไลฟ์สไตล์และการดูแลผิวประจำวัน
    • เวลาในการฟื้นฟูที่ผู้รับการรักษาสะดวก
    • งบประมาณที่เหมาะสม

จากตารางเปรียบเทียบ เราจะเห็นว่าทั้ง Juvelook และ Sculptra มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับผลการประเมินข้างต้น เช่น

  • หากผิวบางและต้องการความอ่อนโยน Juvelook อาจเหมาะสมกว่า
  • หากต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและไม่ติดเรื่องการนวดหลังทำ Sculptra อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
คุณสมบัติJUVELOOKSCULPTRA
ประเทศต้นกำเนิดเกาหลีสหรัฐอเมริกา
ส่วนประกอบหลักPDLLA + HAPLLA + CMC
จำนวนครั้งที่ฉีด3 ครั้ง3-4 ครั้ง
ระยะเวลาที่ผลอยู่1.5 ปี2 ปี
ประโยชน์หลัก• ช่วยเพิ่มรายละเอียดผิวดีขึ้นนาน
• ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ
• แก้ปัญหารอยหมองคล้ำ และกระชับรูปหน้า
• เหมาะสำหรับผิวบริเวณใต้ตา
• ช่วยกระชับผิวหน้า
• ช่วยกระชับบริเวณรอบหน้า
พื้นที่การรักษาสามารถฉีดได้ทั่วหน้าฉีดได้เฉพาะบางจุด
การดูแลหลังทำอนุภาคขนาดเล็กและนุ่ม
ไม่ต้องนวดหลังฉีด
อนุภาคมีความแข็ง
ต้องนวดหลังฉีด

จุดเด่นที่แตกต่าง:

  1. Juvelook มีความอ่อนโยนต่อผิวมาก เนื่องจากอนุภาคเล็กและนุ่ม
  2. Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน แต่ต้องการการดูแลหลังทำที่มากกว่า
  3. Juvelook มีความยืดหยุ่นในการรักษามาก สามารถใช้ได้กับทุกบริเวณของใบหน้า
  4. ทั้งสองตัวเลือกมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน แต่มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน

จุดเด่นของ PDLLA คือการออกแบบโครงสร้างอนุภาคที่เป็นมิตรต่อเนื้อเยื่อ ทำให้การรักษาปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าค่ะ 😊

โครงสร้างอนุภาค PDLLA

คุณสมบัติPLLAPDLLA
ลักษณะอนุภาครูปทรงแตกมีมุมแหลมคม
ไม่สม่ำเสมอ
ทรงกลมมีรูพรุน
คล้ายฟองน้ำ
โครงสร้างภายในแข็ง ไม่มีรูพรุนมีโครงข่ายรูพรุนภายใน
การสลายตัวสลายตัวไม่สม่ำเสมอ
อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดฉับพลัน
สลายตัวจากภายในทีละน้อย
ค่าความเป็นกรดเปลี่ยนแปลงน้อย
ผลต่อเนื้อเยื่อ– อาจระคายเคืองเนื้อเยื่อ
– เสี่ยงต่อการเกิดก้อนแข็ง
– กระตุ้นภูมิคุ้มกันมากเกินไป
– อ่อนโยนต่อเนื้อเยื่อ
– ความเสี่ยงต่อการเกิดก้อนแข็งต่ำ
– กระตุ้นภูมิคุ้มกันพอเหมาะ
การสร้างคอลลาเจนไม่สม่ำเสมอ
ควบคุมทิศทางได้ยาก
สม่ำเสมอทั่วบริเวณ
ควบคุมทิศทางได้ดี
ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ไม่แน่นอน
เป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์สม่ำเสมอ
ความเหมาะสมเหมาะกับการเพิ่มปริมาตร
บริเวณกว้าง
เหมาะกับการฟื้นฟูผิว
และเพิ่มปริมาตรแบบละเอียด

ลองนึกภาพว่า ถ้าเรามีก้อนน้ำแข็งสองแบบ แบบแรกเป็นก้อนที่แตกมีมุมแหลมคม กับอีกแบบที่เป็นทรงกลมมีรูพรุนข้างใน ทรงกลมจะกลืนเข้ากับผิวได้ดีกว่า

PLA แบบทั่วไปจะมีโครงสร้างแบบแรก คือมีรูปทรงที่แตกมีมุม เวลาสลายตัวอาจทำให้

  • การสร้างคอลลาเจนไม่สม่ำเสมอ
  • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันมากเกินไป
  • เสี่ยงต่อการเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (แกรนูโลมา)

แต่ PDLLA มีความพิเศษตรงที่มีโครงสร้างเป็นทรงกลมและมีรูพรุนข้างในคล้ายฟองน้ำค่ะ ซึ่งให้ข้อดีหลายอย่าง

  • สลายตัวจากด้านในทีละน้อย เหมือนฟองน้ำค่อยๆ ปล่อยน้ำออกมา
  • ไม่ทำให้ความเป็นกรดในเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน
  • ผิวที่เรียบนุ่มไม่มีมุมแหลมคม จึงไม่ระคายเคืองเนื้อเยื่อ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้สม่ำเสมอทั่วบริเวณ

ผลลัพธ์ที่ได้คือ การเพิ่มปริมาตรผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ สม่ำเสมอ และปลอดภัยค่ะ เหมือนเราค่อยๆ ฟื้นฟูผิวจากภายใน ไม่ใช่การเติมเต็มแบบฉับพลัน

เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนการรดน้ำต้นไม้ค่ะ PDLLA ก็เหมือนฟองน้ำที่ค่อยๆ ปล่อยน้ำให้ต้นไม้ ดีกว่าการเทน้ำทีเดียวจำนวนมากๆ ผิวของเราก็เช่นกัน ต้องการการฟื้นฟูที่ค่อยเป็นค่อยไป จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยและปลอดภัยที่สุดค่ะ 😊