ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ถาม:

ตีนกามาชัดมาก ต้องฉีดโบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์คะ

หมอต้าร์-exosome-สกินบูสเตอร์-ดีเลิฟเวอรี่คลินิก

(หมอต้าร์) พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

ตอบ:

ในกรณีที่ตีนกาชัดมาก หมอแนะนำให้ใช้โบท็อกซ์ค่ะ เพราะตีนกาเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณหางตา การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อตรงนั้น ทำให้ริ้วรอยจางลงได้ดี

ส่วนฟิลเลอร์จะเหมาะกับกรณีที่มีร่องลึกมากๆ หรือมีปัญหาเรื่องการยุบตัวของผิวร่วมด้วย ในบางเคสอาจเติมฟิลเลอร์กลุ่มเน้นความชุ่มชื้นร่วมด้วยได้

แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องมีการตรวจสอบผิวอย่างละเอียด ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น เช่น

  • ตีนกาเป็นมานานแค่ไหนแล้วคะ
  • มีอาการยุบตัวของผิวรอบดวงตาร่วมด้วยไหมคะ
  • เคยทำโปรแกรมอะไรมาก่อนหรือเปล่า ต้องซักประวัติกันให้ละเอียดเลยค่ะ

เพื่อที่หมอจะได้แนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ค่ะ

รีวิวโบท็อกซ์ริ้วรอย ตีนกา 3

ริ้วรอยหางตา ตีนกา รักษาด้วยโปรแกรมไหนได้บ้าง

หมอจะสรุปข้อมูลสำคัญที่คนไข้ควรรู้ก่อนทำทรีตเมนต์บริเวณรอบดวงตานะคะ

หัวข้อโบท็อกซ์หางตาUlthera ยกคิ้ว/หางตาฟิลเลอร์รอบดวงตา
ผลลัพธ์ที่ได้– ลดตีนกา
– ตากลมขึ้น
– หางตายกนิดๆ
– ยกคิ้วชัดเจน
– ตากว้างขึ้น
– ผิวตึงกระชับ
– เติมเต็มร่องลึก
– ลดรอยคล้ำ
– ผิวดูอิ่มน้ำ
ระยะเวลาทำ15-20 นาที30-45 นาที20-30 นาที
ความเจ็บปวดเจ็บเล็กน้อย
เหมือนยุงกัด
เจ็บปานกลาง
มีความร้อน
เจ็บน้อย
(ทายาชา)
การบวมช้ำ– บวมน้อย 1-2 วัน
– ไม่ช้ำ
– บวม 3-7 วัน
– อาจแดงเล็กน้อย
– บวม 3-5 วัน
– อาจช้ำ 5-7 วัน
ข้อควรระวัง– ห้ามนวดบริเวณที่ฉีด
– ห้ามนอนคว่ำ 4 ชม.
– งดออกกำลังกาย 24 ชม.
– งดความร้อน 7 วัน
– งดอาบน้ำร้อน
– ทาครีมกันแดด
– ห้ามนวดแรงๆ
– ระวังกดโดน
– งดดำน้ำ 1 สัปดาห์
อาการข้างเคียง– กระพริบตาช้า (เกิดได้น้อย)
– หนังตาตก (เกิดได้น้อย)
-อาจจะเจ็บตอนทำบ้าง
– ผิวแดงหลังทำ
– คลำแล้วเป็นก้อนได้ตอนแรก
ระยะเวลาอยู่4-6 เดือน1-2 ปี6-12 เดือน
ข้อห้าม– ตั้งครรภ์
– ให้นมบุตร
– โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
– มีแผลเปิด
– เป็นเคลอยด์ง่าย
– โรคภูมิแพ้รุนแรง
– ภูมิแพ้ HA
– มีการติดเชื้อ
– เลือดออกง่าย
การดูแลหลังทำ– นอนหงาย 4 ชม.
– ทาครีมกันแดด
– งดแอลกอฮอล์
– ประคบเย็น
– ทาครีมกันแดด
– งดสครับผิว
– ประคบเย็น
– นอนศีรษะสูง
– ทาครีมกันแดด

คำแนะนำเพิ่มเติมจากหมอนะคะ

  1. ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาผิวของคนไข้
  2. แจ้งประวัติแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบทุกครั้ง
  3. ถ่ายรูปก่อน-หลังทำเพื่อดูผลลัพธ์
  4. สังเกตความผิดปกติหลังทำ ถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์