รีวิวฟิลเลอร์ปาก
ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร สำคัญยังไง?
การเติมฟิลเลอร์ปากเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้สารไฮยาลูโรนิก แอซิด (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกาย ฉีดเข้าไปในริมฝีปากเพื่อเพิ่มวอลลุ่ม ปรับรูปทรง และแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ปากบาง ปากแห้ง หรือริมฝีปากไม่สมมาตร ข้อดีคือเห็นผลทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น นอกจากจะช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มสวยงามตามต้องการแล้ว ยังช่วยบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้นและสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
เดิมทีการเติมฟิลเลอร์ปากอาจถูกมองว่าเป็นการศัลยกรรม แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะเทรนด์ความงามและการดูแลสุขภาพ ฟิลเลอร์ปากยังใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ เช่น ริมฝีปากไม่เท่ากัน ปากเบี้ยวจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือปรับปรุงสุขภาพริมฝีปากที่ได้รับผลกระทบจากยาบางชนิด และล่าสุดฟิลเลอร์ปาก คือทางเลือกแรกของคนไข้ที่ทำศัลยกรรมตัดปากมา แล้วปากบางเกินไป หรือเกิดความผิดพลาดบางประการ การเติมฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ปัญหาได้ การเปลี่ยนแปลงมุมมองนี้ตอกย้ำว่าฟิลเลอร์ปากไม่ได้เป็นเพียงแค่หัตถการเพื่อความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีดูแลสุขภาพและเสริมสร้างความมั่นใจอีกด้วย
ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยแก้ปัญหารูปปากแบบไหนได้บ้าง
การแก้ปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ปัญหา | วิธีการแก้ไขด้วยฟิลเลอร์ |
---|---|
1. รูปทรงปากไม่เท่ากัน | – ฉีดเติมเต็มส่วนที่ไม่เท่ากัน – ปรับแต่งให้สมมาตร – แก้ไขความไม่สมดุล |
2. ริมฝีปากแห้ง | – เพิ่มความชุ่มชื้น – ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น – ทำให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี |
3. มุมปากตก | – ยกมุมปากให้ดูสดใส – แก้ไขรอยย่นบริเวณมุมปาก – ปรับรูปทรงให้ดูอ่อนเยาว์ |
4. ริมฝีปากบาง | – เพิ่มปริมาตรให้ริมฝีปาก – ปรับรูปทรงให้อวบอิ่ม – สร้างขอบปากให้ชัดเจน |
ฉีดฟิลเลอร์ปาก เหมาะกับใครอีกบ้าง?
- ผู้ที่มีปัญหาด้านรูปทรงปาก
- ริมฝีปากบางจากอายุที่มากขึ้น: ฟิลเลอร์ช่วยเพิ่มปริมาตรให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ
- ปากไม่สมมาตร: แก้ไขความไม่สมดุลระหว่างริมฝีปากบนและล่าง
- ปากคว่ำหรือมุมปากตก: ช่วยยกมุมปากให้ดูสดใส ไม่หม่นหมอง
- ต้องการปรับรูปทรงปากให้เข้ากับสัดส่วนใบหน้า: สร้างความสมดุลให้กับองค์ประกอบใบหน้าโดยรวม
- ผู้ที่มีปัญหาด้านผิวและริ้วรอย
- ริมฝีปากแห้ง แตก ลอก: ฟิลเลอร์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากนุ่มขึ้น
- มีริ้วรอยรอบปาก: ช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณขอบปาก
- ปากไม่เรียบ มีร่องลึก: แก้ไขพื้นผิวให้เรียบเนียน ทำให้ทาลิปสติกติดทนขึ้น
- ผู้ที่ต้องการเสริมความงาม
- ต้องการริมฝีปากอิ่มฟู: สร้างความอวบอิ่มแบบธรรมชาติ
- อยากปรับรูปทรงปากเฉพาะจุด: สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ เช่น เพิ่มความชัดของขอบปาก หรือปรับมุมปาก
- ต้องการริมฝีปากที่ดูชุ่มชื้น: ให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี มีน้ำมีนวล
- ผู้ที่ต้องการเสริมบุคลิกภาพ
- เสริมความมั่นใจ: ริมฝีปากที่สวยงามช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยิ้มและพูดคุย
- ปรับโหงวเฮ้ง: ตามความเชื่อ ริมฝีปากอิ่มสวยช่วยเสริมดวงด้านความรัก การเงิน และการงาน
- เสริมเสน่ห์: ริมฝีปากที่ได้รูปทรงสวยช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้า
รูปทรงฟิลเลอร์ปาก ที่มักนิยมกันในคนไทย
ริมฝีปากสวย ต้องมีสัดส่วนเป็นอย่างไร
สัดส่วนปากที่สวยงาม เปรียบเทียบระหว่างชาวไทยและชาวตะวันตก
รายละเอียด | ชาวไทย/เอเชีย | ชาวตะวันตก |
---|---|---|
อัตราส่วนริมฝีปากบน:ล่าง | 1:1.6 | 1:1.8 (ริมฝีปากล่างอวบอิ่มกว่า) |
ระยะห่างจมูก-ริมฝีปากบน | 18-20 มม. | 19-22 มม. |
ระยะห่างริมฝีปากล่าง-คาง | 36-40 มม. | 38-42 มม. |
ความหนาของริมฝีปาก | บางกว่า เน้นความนุ่มนวล | หนากว่า เน้นความอวบอิ่ม |
ลักษณะที่นิยม | • ปากบางเรียวสวย • รูปกระจับ • ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ | • ปากอวบอิ่ม • เน้นความเซ็กซี่ • ริมฝีปากล่างหนากว่าบน |
ข้อสังเกตเพิ่มเติม:
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม:
- ชาวไทย/เอเชีย นิยมความสวยแบบธรรมชาติ ไม่โดดเด่นจนเกินไป
- ชาวตะวันตก นิยมริมฝีปากที่เต็มอิ่ม แสดงความมั่นใจและเซ็กซี่
แนวโน้มการทำศัลยกรรม
- ชาวไทย: มักเน้นการแก้ไขความไม่สมมาตร และเพิ่มความชัดของรูปปาก
- ชาวตะวันตก: นิยมเพิ่มปริมาตรให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มมากขึ้น
การปรับให้เหมาะกับใบหน้า
- ชาวไทย: ต้องคำนึงถึงโครงหน้าที่เล็กกว่า
- ชาวตะวันตก: โครงหน้าใหญ่กว่า รับกับริมฝีปากที่หนากว่าได้
ฟิลเลอร์ปากกระจับ Vs ศัลยกรรมปากกระจับ เลือกแบบไหนดี?
ปากกระจับ หรือปากปีกนก เป็นรูปทรงปากที่มีลักษณะโค้งขึ้นที่มุมปากคล้ายดอกกระจับหรือปีกนก ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ น่ารัก และยิ้มแล้วสวยงาม จากประสบการณ์ทางการแพทย์ พบว่าผู้ที่ต้องการทำปากกระจับส่วนใหญ่มักมีปากที่หนา ใหญ่ ไม่เป็นทรง อาจมีมุมปากตกร่วมด้วยในบางเคส
ปัจจุบันมี 2 วิธีหลักๆในการทำปากกระจับ
รายละเอียด | ฟิลเลอร์ปากกระจับ | ศัลยกรรมปากกระจับ |
---|---|---|
วิธีการ | ฉีด HA FILLERS เพื่อเพิ่มปริมาตรและยกมุมปาก | ผ่าตัดสลีฟเนื้อเยื่อปากเพื่อยกมุมปาก |
ระยะเวลาทำ | 15-30 นาที ไม่ต้องผ่าตัด | 1-2 ชั่วโมง มีการผ่าตัด |
การพักฟื้น | พักฟื้น 1-2 วัน อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย | พักฟื้น 7-14 วัน มีแผลและอาการบวม |
ความคงทน | อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ละลายเองตามธรรมชาติ | ถาวร เนื่องจากใช้การเย็บแผล |
ความเสี่ยง | ต่ำ สามารถแก้ไขได้หากไม่พอใจ | สูงกว่า เนื่องจากเป็นการผ่าตัด |
ราคา | ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า แต่ต้องทำซ้ำ | ค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ทำครั้งเดียว |
ฟิลเลอร์ปากกระจับ เหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่ต้องการทดลองรูปทรงปากก่อน
- ไม่ต้องการการผ่าตัด
- ต้องการการพักฟื้นที่สั้น
- ยอมรับได้กับการทำซ้ำทุกปี
ศัลยกรรมปากกระจับ เหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่แน่ใจในรูปทรงที่ต้องการ
- ต้องการผลลัพธ์ถาวร
- ยอมรับการผ่าตัดและระยะพักฟื้นที่นานขึ้นได้
- ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
ฟิลเลอร์ปาก มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร?
หัวข้อ | รายละเอียด | คุ้มค่า? |
---|---|---|
ข้อดี | ||
ความรวดเร็ว | ใช้เวลาทำเพียง 15-30 นาที | ⭐⭐⭐⭐ |
การพักฟื้น | ใช้เวลาพักฟื้นน้อย 1-2 วัน | ⭐⭐⭐⭐⭐ |
ความปลอดภัย | ใช้สาร HA ที่ละลายได้เองตามธรรมชาติ | ⭐⭐⭐⭐⭐ |
ความยืดหยุ่น | สามารถแก้ไขหรือเพิ่มเติมได้ตามต้องการ | ⭐⭐⭐⭐ |
การแก้ไข | หากไม่พอใจสามารถรอให้สารละลายเองได้ | ⭐⭐⭐⭐ |
ข้อเสีย | ||
ความคงทน | อยู่ได้เพียง 6-12 เดือน ต้องทำซ้ำ | 🟢 |
ค่าใช้จ่าย | ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำทุกปี | 🟡 |
การบวม | อาจมีอาการบวมหรือช้ำ 1-2 วัน | 🟠 |
ข้อจำกัด | ปรับแต่งได้ในระดับหนึ่ง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมากเกินไป | 🔵 |
ความเสี่ยง | อาจเกิดการติดเชื้อหรือการอุดตันหลอดเลือดได้ (น้อยมาก) | 🔴 |
ศัลยกรรมปากบางมาแล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากได้ไหม?
กรณีที่พบบ่อยคือ ตัดปากมาแล้วรู้สึกบางเกินไป บางคนแทบจะไม่เหลือเนื้อเลย หรือบางเคสก็ไม่เท่ากัน เกิดเป็นรู เป็นช่อง ปิดริมฝีปากไม่สนิทก็เยอะ โดยหลักการแล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ปากได้แม้จะเคยทำศัลยกรรมปากมาก่อน แต่มีข้อควรพิจารณาสำคัญ และต้องดูเป็นรายบุคคลไปค่ะ
ระยะเวลา
- ควรรอให้แผลจากการทำศัลยกรรมหายสนิทก่อน (โดยทั่วไปประมาณ 4-6 เดือน)
- การรอให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวเต็มที่จะช่วยลดความเสี่ยงและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ระมัดระวังเป็นพิเศษ
- อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากเคยผ่านการผ่าตัดมาแล้ว
- เนื้อเยื่อบริเวณปากอาจมีความอ่อนไหวมากกว่าปกติ
- อาจมีพังผืดจากการผ่าตัดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
คำแนะนำ
- ควรส่งภาพ หรือเข้ามาปรึกษาให้แน่ใจก่อนว่าสามารถรักษา แก้ไขให้ดีขึ้นได้
- แจ้งประวัติการทำศัลยกรรมให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- พกรูปก่อน-หลังทำศัลยกรรมไปด้วยจะช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้ดีขึ้น
- อาจพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาโดยเฉลี่ย ฟิลเลอร์ปาก จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลา
- ชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้
- ไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล
- การเผาผลาญของร่างกาย
ในบางกรณีผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ แต่เนื่องจากบริเวณริมฝีปากเป็นผิวที่บอบบาง อาจทำให้ระยะเวลาการอยู่ตัวสั้นกว่าที่ระบุไว้บนกล่องผลิตภัณฑ์ ซึ่งแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะเลือกใช้ได้เหมาะสม
ปัจจัยที่ทำให้ฟิลเลอร์ปากสลายเร็ว | ปัจจัยที่ทำให้ฟิลเลอร์อยู่นาน |
---|---|
1. การออกกำลังกายหนัก/บ่อย เพราะเพิ่มการเผาผลาญ | 1. การออกกำลังกายพอประมาณ ไม่หักโหม |
2. พูดมาก/แสดงออกทางสีหน้าบ่อย ทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวมาก | 2. การแสดงออกทางสีหน้าพอประมาณ |
3. สูบบุหรี่ เพราะทำให้เลือดไหลเวียนแย่ลง | 3. ไม่สูบบุหรี่ |
4. ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ทำให้ร่างกายขาดน้ำ | 4. ดื่มน้ำเพียงพอ (8-10 แก้วต่อวัน) |
5. อยู่กลางแดดบ่อย/ไม่ทาครีมกันแดด | 5. ดูแลผิวและทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ |
6. มีการเผาผลาญเร็ว/น้ำหนักขึ้นลงบ่อย | 6. น้ำหนักคงที่ การเผาผลาญปกติ |
7. นอนคว่ำ กดทับบริเวณริมฝีปาก | 7. นอนหงาย ไม่กดทับริมฝีปาก |
8. ทานอาหารร้อนจัด/เผ็ดจัดบ่อย | 8. ทานอาหารอุณหภูมิปกติ |
9. ความเครียดสูง ส่งผลต่อฮอร์โมน | 9. จัดการความเครียดได้ดี |
10. ใช้ลิปสติกที่มีสารระคายเคือง | 10. ใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยนกับริมฝีปาก |
หมายเหตุ: แม้จะฉีดฟิลเลอร์พร้อมกันและใช้รุ่นเดียวกัน แต่พฤติกรรมและสภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงส่งผลต่อระยะเวลาการอยู่ตัวของฟิลเลอร์ที่แตกต่างกันได้
ฉีดฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นหัตถการที่ปลอดภัย หากดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน FDA ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ส่วนใหญ่ผลิตจากสาร Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว ทำให้มีความเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของเรา
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับหัตถการทางการแพทย์ทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์ปากอาจมีความเสี่ยงเรื่องบวมช้ำบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
ฟิลเลอร์ปากยี่ห้อไหนดี เหมาะกับใช้ฉีดปากที่สุด?
สำหรับฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดปาก สามารถแบ่งตามความต้องการและการใช้งานได้ดังนี้
ต้องการปากอวบอิ่มมาก
- Juvederm Ultra Plus: เนื้อนิ่ม ฟูมาก เหมาะกับลุคแบบฝรั่ง (อยู่ได้ 12 เดือน)
- Juvederm Voluma: เนื้อแข็งแน่น ฟูปานกลาง อยู่ได้นานถึง 18 เดือน
สำหรับลุคธรรมชาติ
- Restylane Refyne: เจลยืดหยุ่น ดูเป็นธรรมชาติ (12 เดือน)
- Restylane Volyme: เนื้อนิ่มปานกลาง ไม่เป็นก้อน (18 เดือน)
- Belotero Soft: เนื้อเหลว ให้ลุคธรรมชาติ (6-12 เดือน)
สำหรับเน้นขอบปากชัด
- Restylane Kysse: สร้างขอบปากชัด พร้อมความอวบอิ่ม (12 เดือน)
- Belotero Lips Contour: ปรับความคมชัดขอบปาก (9-12 เดือน)
สำหรับเพิ่มความชุ่มชื้น
- Juvederm Volite: เน้นความชุ่มชื่นพร้อมความอวบอิ่ม (8-12 เดือน)
- Restylane Vital Light: แก้ปากแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้น (6-12 เดือน)
อย่างไรก็ตาม การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุดควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น
- สภาพริมฝีปากปัจจุบัน
- ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ระยะเวลาที่ต้องการให้อยู่
- ความเหมาะสมกับสรีระใบหน้าโดยรวม
ทั้งนี้ แพทย์อาจแนะนำการผสมผสานฟิลเลอร์หลายชนิดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามความต้องการของแต่ละบุคคล ดีเลิฟเวอรี่คลินิกไม่ได้แนะนำแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งโดยเฉพาะ คุณหมอแนะนำตามปัญหา และผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ปรึกษาและประเมิน: คุณหมอต้าร์จะซักประวัติ ประเมินสภาพริมฝีปาก รูปทรง ปัญหา และความต้องการ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- ทำความสะอาด: ทำความสะอาดริมฝีปากและบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดด้วยคลีนซิ่ง เพื่อกำจัดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรก
- แปะยาชา: ทายาชาบริเวณริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที เพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะฉีด
- ฉีดฟิลเลอร์: คุณหมอต้าร์จะฉีดฟิลเลอร์โดยใช้เทคนิคเฉพาะ เจ้าหน้าที่จะแจ้งชื่อยี่ห้อ รุ่น และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ให้ทราบ สามารถตรวจสอบได้ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
- ประคบเย็น: หลังฉีดเสร็จ จะประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำ
- รับคำแนะนำและติดตามผล: คุณหมอต้าร์จะให้คำแนะนำในการดูแลหลังการฉีด รวมถึงนัดหมายเพื่อติดตามผลและประเมินผลลัพธ์
ฉีดฟิลเลอร์ปากต้องเตรียมตัวอย่างไร
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นคล้ายคลึงกับการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์บริเวณอื่นๆ ดังนี้
- งดวิตามินและอาหารเสริมบางชนิด: อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด ควรงดวิตามิน อาหารเสริม หรือยาสมุนไพรบางชนิดที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม กระเทียม ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาและอาหารเสริมที่ทานเป็นประจำ
- งดยาแอสไพรินและ ibuprofen: อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด ควรงดยาแอสไพริน ibuprofen และยาต้านการอักเสบ NSAIDs อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
- งดดื่มแอลกอฮอล์: อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ
- แจ้งประวัติแพ้ยา/สารต่างๆ: แจ้งแพทย์ให้ทราบถึงประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือการแพ้สารอื่นๆ รวมถึงโรคประจำตัวที่เป็นอยู่
- งดแต่งหน้าบริเวณริมฝีปาก: ในวันที่เข้ารับการฉีด ควรงดทาลิปสติก ลิปกลอส หรือเครื่องสำอางอื่นๆ บริเวณริมฝีปาก
- เตรียมคำถาม: เตรียมคำถามที่ต้องการสอบถามแพทย์เกี่ยวกับขั้นตอนการฉีด ผลข้างเคียง และการดูแลหลังการฉีด
- พักผ่อนให้เพียงพอ: พักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันนัดหมาย เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการรักษา
หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก-มีข้อห้าม หรือควรดูแลตัวเองอย่างไร
การดูแลตัวเองหลังเติมฟิลเลอร์ปาก 24 ชั่วโมงแรก
ห้ามสัมผัสริมฝีปาก
- เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่
- ปากอาจเบี้ยวหรือผิดรูปได้
งดกิจกรรมที่ต้องขยับปากมาก
- ลดการพูดคุย
- หลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้าง
- ไม่ควรเคี้ยวอาหารชิ้นใหญ่
ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ
- ช่วยให้ฟิลเลอร์ดูดซึมน้ำได้ดี
- ทำให้ริมฝีปากดูอิ่มฟู
- ช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
งดแอลกอฮอล์และบุหรี่
- ป้องกันการอักเสบ
- ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
งดอาหารเสริมและวิตามิน
- ลดความเสี่ยงการเกิดรอยช้ำ
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกลับมาทานอีกครั้ง
ฉีดฟิลเลอร์ปากที่ไหนถึงจะดี ปลอดภัย
เมื่อคลินิกความงามมีให้เลือกมากมาย สิ่งสำคัญคือต้องเลือกด้วยวิจารณญาณ ไม่หลงกับกับดักราคาถูกหรือโปรโมชั่นล่อใจ เพราะความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ได้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด การเสียเวลาศึกษาข้อมูลและตรวจสอบมาตรฐานคลินิกย่อมคุ้มค่ากว่าการต้องมาแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาด อ่านบทความ การเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียด ได้ที่นี่
มาตรฐานสถานพยาบาลที่จะฉีดฟิลเลอร์
- ต้องเป็นคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง
- มีการแสดงใบอนุญาตและใบประกอบวิชาชีพของแพทย์อย่างชัดเจน
- มีมาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย
คุณสมบัติแพทย์ผู้ทำหัตถการฟิลเลอร์
- ต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับการรับรองและมีความเชี่ยวชาญด้านความงาม
- มีประสบการณ์การฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ
- ควรมีผลงานที่สามารถตรวจสอบได้
วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์
- สามารถตรวจสอบใบอนุญาตคลินิกผ่านเว็บไซต์กองกฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
- สอบถามประวัติและประสบการณ์ของแพทย์ได้
- มีการให้คำปรึกษาและประเมินสภาพผิวก่อนทำหัตถการ
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่?
โดยราคาการฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยทั่วไป ราคาการฉีดฟิลเลอร์เริ่มต้นประมาณ 8,000-15,000 บาทต่อ 1 ซีซี/กล่อง ทั้งนี้ ราคาจะแตกต่างกันตามปัจจัยต่างๆ เช่น
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
- แบรนด์และคุณภาพของฟิลเลอร์
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์
- ความยากง่ายของแต่ละเคส เพราะบางครั้งเป็นเคสแก้ไขความผิดพลาดจากที่อื่นหรือผิดพลาดจากการทำศัลยกรรมมา
สำหรับผู้ที่สนใจทำศัลยกรรมฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ มากกว่าการพิจารณาเรื่องราคาเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและความปลอดภัยสูงสุด
การฉีดฟิลเลอร์สามารถปรับทรงปากได้จริงค่ะ แต่สำหรับกรณีริมฝีปากที่หนา ไม่ว่าจะบนหรือล่าง หมออยากให้คุณทราบถึงทางเลือกทั้งสองแบบนะคะ
การฉีดฟิลเลอร์
- เหมาะกับการปรับรูปทรง เพิ่มความชัดของขอบปาก
- ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- ไม่ต้องพักฟื้นนาน แค่ระวังการช้ำเล็กน้อย
- แต่ไม่สามารถลดขนาดความหนาของปากได้
ต้องบอกว่าการใช้ฟิลเลอร์รุ่นทั่วไปมาฉีดปากไม่ใช่เรื่องผิด และสามารถทำได้ หากแพทย์ประเมินแล้วว่าเหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของคนไข้ ขึ้นอยู่การวิเคราะห์ ควบคุมปริมาณและตำแหน่งในการแก้ไขปัญหาได้ไหม ควบคุมได้ก็สามารถทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ สวยงามได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับริมฝีปากจะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่า เช่น
- มีความยืดหยุ่นที่เหมาะกับการเคลื่อนไหวของริมฝีปาก
- ความเข้มข้นและความหนืดที่ออกแบบมาเฉพาะ
- การกระจายตัวของสารที่เหมาะสมกับเนื้อเยื่อริมฝีปาก
ฉะนั้นจะฉีดฟิลเลอร์ปาก หรือตำแหน่งไหน ต้องได้พบแพทย์ ได้ซักประวัติ ได้คุยถึงความต้องการที่ชัดเจน และค่อยตัดสินใจรับบริการจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดค่ะ
การเติมฟิลเลอร์ปาก อาจไม่เหมาะกับทุกคนนะคะ โดยเฉพาะในกรณีที่มีปากแหว่งเพดานโหว่ ปากที่หนาเกินไป ปากที่บางมากจากการผ่าตัด หรือมีการติดเชื้อ รวมถึงคนที่เคยฉีดสารเติมเต็มถาวร เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ หมอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น การผ่าตัด หรือกอื่นๆค่ะ
หลังจากที่เราฉีดฟิลเลอร์ปากเสร็จแล้ว มีข้อควรระวังนิดหน่อยนะคะ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยและปลอดภัยที่สุด เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างนะคะ:
- ห้ามทานอาหารหรือเครื่องดื่มร้อนจัด ประมาณ 24-48 ชั่วโมงแรกค่ะ เพราะความร้อนอาจทำให้ฟิลเลอร์ละลายเร็วกว่าปกติได้
- งดจูบก่อนน๊า หนักหน่วงไปเดี๋ยวฟิลเลอร์เคลื่อน เพราะน้องยังไม่เซ็ตตัวดีที่สุด สัก 24-48 ชม.
- ห้ามนวดหรือกดบริเวณริมฝีปากแรงๆ ประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือเข้าซาวน่าในวันแรกค่ะ อันที่จริงก็ไม่ใช่ข้อห้ามร้ายแรงอะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยงค่ะ
- ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงแรกนะคะ เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่าย
- ถ้าเป็นไปได้ ให้นอนหงายและยกหัวสูงนิดหน่อยในคืนแรกค่ะ เพื่อลดอาการบวม
- ถ้ามีอาการบวมนิดหน่อย ไม่ต้องตกใจนะคะ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าบวมมากหรือมีอาการผิดปกติ ให้รีบติดต่อคลินิกนะคะ
- สุดท้าย อย่าลืมทาลิปบาล์มบ่อยๆ เพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้นค่ะ
โดยทั่วไป อาการบวมหรือรอยช้ำควรหายได้เองใน 1-3 วันหลังฉีดค่ะ
การใช้ฟิลเลอร์ปาก 1 cc จะพอหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ ทั้งรูปทรงปากเดิม และผลลัพธ์ที่คุณต้องการ เราต้องดูเป็นรายกรณีไป เพราะแต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน
ลองมาดูกันนะคะว่าแต่ละกรณีควรใช้ฟิลเลอร์ประมาณเท่าไหร่