คำนวณค่าใช้จ่ายก่อนพบแพทย์ ฟรี!!


เมื่ออายุมากขึ้น ผิวและใบหน้าของเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
- ผิวบางลง – คอลลาเจนและอิลาสตินลดลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย
- ไขมันใต้ผิวลดลง – หน้าแบน ร่องลึก และดูโทรม
- กระดูกใบหน้าทรุดตัว – ขากราม คาง โหนกแก้มเล็กลง ทำให้รูปหน้าเปลี่ยน แก้มตอบ ร่องแก้มชัด
- ผิวแห้ง ขาดน้ำ – ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เห็นริ้วรอยได้ชัดเจนขึ้น
- สีผิวไม่สม่ำเสมอ – จุดด่างดำ/ฝ้า กระ
ฟิลเลอร์ (Filler) ช่วยเรื่องอะไร?
- เติมร่องลึก/ปรับรูปหน้าให้กลับมาดูอิ่มเอิบ
- ทดแทนไขมันและปริมาตรบนใบหน้าที่หายไปตามวัย
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องลึก แก้มตอบ หรือรูปหน้าเปลี่ยนเพราะอายุ

Biostimulator ดีอย่างไร?
- กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่เอง
- ช่วยให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- ฟื้นฟูและป้องกันผิวหย่อนคล้อยในระยะยาว
- เหมาะสำหรับผู้ที่อยากให้ผิวแน่น ยกกระชับ ดูสุขภาพดีตามวัยโดยไม่เน้นการเติมเต็มทันที

ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์
- เติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ขมับ ใต้ตา ปาก ให้ดูอิ่มฟู ดูเด็กลง
- ปรับรูปหน้า เช่น คาง จมูก กรอบหน้า ให้ดูสมส่วนขึ้น
- เห็นผลทันทีหลังฉีด ไม่ต้องพักฟื้น
- สลายได้เองตามธรรมชาติ (ส่วนใหญ่ใช้ไฮยาลูโรนิก แอซิด)
- ปลอดภัย ถ้าฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์


ทำไมต้องฉีด Biostimulator
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว
- ฟื้นฟูและปรับคุณภาพผิวให้แน่นกระชับ ดูอ่อนเยาว์
- เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว ไม่เน้นเติมเต็มทันที
- ช่วยให้ผิวแข็งแรงและแลดูสุขภาพดีจากภายใน
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ

ทำไม Pico Laser ถึงดีกว่า Q-Switch Laser
- ยิงลำแสงเป็นระยะเวลาสั้นมาก (ระดับ picosecond) ลดความร้อนสะสม ทำให้เจ็บน้อยลง
- กระตุ้นการซ่อมแซมผิวและสร้างคอลลาเจนได้ดี
- เหมาะกับการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำจากสิว โดยมีโอกาสเกิดรอยไหม้น้อยกว่า
- ผิวฟื้นตัวไว ไม่ต้องพักหลังทำ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ใช้ได้แม้กับคนผิวเข้ม

ข้อดีของ Co2 Laser
- กำจัดหรือเลาะเนื้อเยื่อเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ (เช่น ไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ)
- รักษาหลุมสิว รอยแผลเป็น รูขุมขนกว้าง ให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
- ผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำ
- ใช้เวลาในการรักษาสั้น

จำนวนช็อต Hifu ที่ใช้ในการกำจัดเหนียง ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันสะสม ความหย่อนคล้อยของผิว เครื่อง Hifu ที่ใช้ และเทคนิคของแพทย์เป็นหลักเลย
สำหรับเหนียง (100-300+ ช็อต) ขึ้นอยู่กับ (1) ระดับความหย่อนคล้อย (น้อย-มาก), (2) ปริมาณไขมันสะสม (น้อย-มาก) และ (3) สภาพผิวโดยรวม โดยคนที่มีเหนียงน้อย ผิวไม่หย่อนคล้อย อาจใช้ 100-200 ช็อต ถ้าอายุเยอะจริงๆ อาจจะใช้ถึง 300 ช็อต การปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลจึงสำคัญที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงจุดและปลอดภัยค่ะ
ความถี่ในการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นชนิดของฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีด ไลฟ์สไตล์ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด อีกนัยนึงคือ คนไข้ที่มีปัญหาเยอะและต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมาก (หลาย cc) อาจจะต้องแบ่งการฉีดออกเป็นหลายเซสชั่น (เช่น 2 ครั้ง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเหมาะสม เพราะการอัดฟิลเลอร์เข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในครั้งเดียว อาจจะไม่เหมาะกับบางเคส ดังนั้น การปรึกษารับบริการกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จริง เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
ดีเลิฟเวอรี่คลินิก จะมาสรุปคำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดหรือเลเซอร์จากคลินิกของเรานะคะ เพื่อให้คุณลูกค้าเข้าใจและดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ โดยรวมแล้ว การดูแลหลังทำมีความแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ สำหรับหัตถการกลุ่มฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรือ Biostimulator ส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้งดแต่งหน้าประมาณ 4-24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกดทับ การติดเชื้อ หรือการกระจายตัวของยา ส่วนกลุ่มเลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์ CO2 ที่มีแผลตกสะเก็ด จะต้องงดแต่งหน้าไปเลยจนกว่าสะเก็ดจะหลุดและผิวสมานตัวดี ซึ่งอาจใช้เวลา 7-14 วันเลยค่ะ และไม่ว่าจะทำหัตถการใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงการทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนค่ะ หากคุณลูกค้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือมีอาการผิดปกติหลังทำหัตถการ อย่าลังเลที่จะติดต่อสอบถามแอดมินหรือคุณหมอได้เลยนะคะ เรายินดีดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดค่ะ
ขี้แมลงวันที่อยู่ใกล้ดวงตานั้น เป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อนมากเลยนะคะ บางเคสทำได้ บางเคสไม่แนะนำ เพราะเรื่องความปลอดภัย
ขี้แมลงวันอยู่ใกล้ขอบตา หรือติดกับขนตามากเป็นพิเศษ คุณหมออาจจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ หรืออาจจะไม่แนะนำการจี้ด้วยเลเซอร์ในบางเคสเพื่อความปลอดภัยของดวงตานะคะ เพื่อให้คุณลูกค้าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด แนะนำให้คุณลูกค้าเข้าพบคุณหมอ หรือส่งภาพเข้ามาเพื่อตรวจประเมินจะดีที่สุดค่ะ
หมอเข้าใจเลยค่ะว่าเทรนด์ “หน้ายุง” หรือใบหน้าที่ดูเรียวเล็ก กรอบหน้าคมชัดกำลังเป็นที่นิยมมากเลยในตอนนี้ และการเลือกเครื่องมือยกกระชับให้ถูกกับปัญหาและเป้าหมายของเราก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลยค่ะ
ในการเลือกระหว่างเทคโนโลยียกกระชับ ไม่ว่าจะเป็น พลังงานอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (HIFU) หรือ พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) นั้น สำหรับคนไข้ที่กังวลเรื่อง ความหย่อนคล้อยของโครงสร้างใบหน้า หรือมีไขมันสะสม ที่ทำให้กรอบหน้าไม่ชัดเจน เทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ฯ จะเป็นเหมือนฮีโร่ที่เข้าไปจัดการปัญหาได้ตรงจุด เพราะสามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) เพื่อ ‘ยก’ โครงสร้างขึ้น และสลายไขมันส่วนเกิน ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงได้ค่ะ ในทางกลับกัน หากปัญหาหลักคือ ผิวที่ดูไม่แน่น ขาดความกระชับ หรือผิวชั้นบนดูโรยรา ไม่สดใส พลังงานคลื่นวิทยุฯ จะเข้ามาทำหน้าที่ ‘อัด’ คอลลาเจนให้ผิวแน่นฟู และฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมให้กลับมาเรียบเนียนและดูสุขภาพดีขึ้นค่ะ
ดังนั้น คนที่จะบอกเราได้ดีที่สุดว่าควรเลือกเทคโนโลยีไหน ไม่ใช่หมอหรอกค่ะ แต่คือปัญหาผิวของเราเอง หมออยากให้เราลอง SkinSAY… ฟังผิวพูดดีที่สุด หากมองกระจกแล้วรู้สึกว่า โครงหน้าเริ่มหย่อนคล้อย แก้มดูเยอะ นั่นคือสัญญาณว่าผิวต้องการ ‘การยกและลดไขมัน’ เป็นหลัก แต่ถ้าปัญหาคือ ผิวโดยรวมดูไม่เฟิร์ม ไม่แน่น เหมือนเดิม ผิวก็กำลังบอกเราว่าต้องการ ‘การกระชับและฟื้นฟูคุณภาพผิว’ ค่ะ การเข้าใจปัญหาของตัวเองอย่างแท้จริง จะทำให้เราเลือกวิธีดูแลที่เหมาะสมที่สุด หรือในบางครั้ง การใช้สองเทคโนโลยีร่วมกันก็อาจให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ได้ค่ะ
การฉีดสลายฟิลเลอร์ปากกระจับเฉพาะจุดบริเวณติ่งกลางปาก (Medial Tubercle) หรือสลายริมฝีปากทั้งหมด สามารถทำได้โดยใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส ซึ่ง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2,000 – 5,000 บาทขึ้นไป ต่อการทำ 1 ครั้ง ซึ่งในบางเคสอาจจะต้องทำมากกว่า 1 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจที่สุดค่ะ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือคนไข้ควรเข้ามาให้หมอประเมินโดยตรง เพื่อจะได้วางแผนการรักษาและประเมินค่าใช้จ่ายที่แม่นยำที่สุด เพราะบางเคสฉีดสารที่ไม่สามารถสลายได้ จะต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดค่ะ
หมอไม่สามารถฟันธงได้เลยค่ะว่าระหว่างการทำ HIFU ปีละหลายครั้ง กับการทำ Ultherapy ปีละครั้ง แบบไหนจะดีกว่ากัน ถ้าหากยังไม่ได้เห็นและประเมินสภาพผิวหน้าจริงของคนไข้ เพราะเครื่องมือทั้งสองชนิดเปรียบเสมือนเครื่องมือช่างคนละประเภทที่มีไว้แก้ปัญหาต่างกันค่ะ
Ultherapy ที่มีเทคโนโลยี MFU-V พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ ทำให้หมอสามารถมองเห็นโครงสร้างชั้นผิวของคนไข้ได้ทั้งหมด หมอจึงสามารถวางแผนการยิงพลังงานได้อย่างจำเพาะเจาะจงและแม่นยำสูงสุดในบริเวณที่มีปัญหาจริงๆ ค่ะ มันจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากสำหรับการ “ออกแบบการยกกระชับเฉพาะบุคคล” เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่จุดกำเนิด ทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และมักจะแนะนำให้ทำเพียงปีละครั้งก็เพียงพอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไปนะคะ
ในขณะที่ HIFU แม้จะไม่มีหน้าจอแสดงผล แต่ก็เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นคอลลาเจนในภาพรวม และด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า ความเจ็บที่น้อยกว่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการ “บำรุงรักษาและป้องกัน” ค่ะ คนไข้บางท่านอาจมีสภาพผิวที่ดีอยู่แล้วและต้องการเพียงแค่คงความกระชับเอาไว้ หรือบางท่านอาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การทำ HIFU อย่างสม่ำเสมอปีละ 2-3 ครั้ง ก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีในการชะลอวัยได้เช่นกันค่ะ
ดังนั้น การจะเลือกว่าอะไรเหมาะสมกว่ากัน ต้องอาศัยการประเมินจากแพทย์เป็นสำคัญค่ะ หมอจะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยมาก ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพผิว, ระดับความหย่อนคล้อย, ชั้นไขมัน, โครงสร้างใบหน้า ไปจนถึงไลฟ์สไตล์และความคาดหวังของคนไข้แต่ละท่าน การมองว่านวัตกรรมที่ใหม่กว่าหรือแพงกว่าจะต้องดีกว่าเสมอไปจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักค่ะ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์ปัญหาของคนไข้ได้ตรงจุดและคุ้มค่าที่สุดในแผนการรักษาเฉพาะบุคคลค่ะ
ถ้าน่องใหญ่เพราะกล้ามเนื้อ ทางเลือกคือ ฉีดสารสกัดโปรตีน (โบฯ) ซึ่งเป็นวิธีที่ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวร หรือเลือก ผ่าตัดกล้ามเนื้อ เพื่อผลลัพธ์ถาวรแต่ต้องแลกกับการพักฟื้นและรอยแผล แต่ถ้า น่องใหญ่เพราะไขมัน วิธีแก้ที่ตรงจุดที่สุดคือ การดูดไขมัน (Liposuction) ซึ่งจะช่วย ลดไขมันได้ทันที แต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นเช่นกันค่ะ การเลือกวิธีที่ดีที่สุดจึงขึ้นอยู่กับสาเหตุและไลฟ์สไตล์ของคนไข้แต่ละคนค่ะ