จุดเด่นของ Sculptra
The first & original collagen biostimulator คอลลาเจนที่มีความสําคัญกับผิวหนังของเรามากที่สุด ก็คือคอลลาเจน ประเภทที่ 1 Sculptra ช่วยกระตุ้น Collagen Type I ให้เพิ่มกว่า 66.5% สภาพผิวแก่ช้าลง 10 ปี นอกจากนั้น Sculptra มีสภาพที่คงตัวและเร่งปฏิกริยาการเพิ่ม Collagen ได้เอง ต่อเนื่องนาน 2 ปี ซึ่งนานที่สุดเท่าที่เคยมีงานวิจัยมา

รีวิวโปรแกรม Sculptra






- ฟื้นฟูสภาพผิวที่หย่อนคล้อย
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
- พยุงโครงสร้างผิว ให้ผิวแน่นขึ้น
- ยกกระชับ ปรับรูปหน้า
- ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
- หลังรับบริการ รักษาตามจุดที่หย่อนคล้อยเห็นผลว่าหน้ายกกระชับขึ้นทันที
- หลังรักษาไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ เช่น บวม แดง เป็นก้อน
- มาตรฐาน USFDA approved และผ่าน อย. ประเทศไทย มั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความปลอดภัย

Sculptra คืออะไร
Sculptra เป็นสารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีดที่ประกอบด้วยไหมน้ำชนิด PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารกระตุ้นคอลลาเจนในกลุ่มของ Biostimulator Sculptra ถือว่าเป็น Biostimulator ที่มีการศึกษาแล้วและมีผลกระตุนคอลลาเจนอย่างธรรมชาติได้ถึง 66.5% เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) และได้ใช้ตั้งแต่ปี 1999 โดยมีการฉีดจริงมาแล้วจากอเมริกาและจึงมีความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
Biostimulator เป็นการรักษาที่ใช้ในการแพทย์เพื่อชะลอวัยและการดูแลความงามโดยใช้หลักการกระตุ้น Natural Healing และ Regenerative process โดยการใช้สารบางอย่างในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซมและฟื้นฟูด้วยตนเอง
สรุปง่ายๆ แบบไม่ต้องจำคำศัพธ์อะไรกันมากก็จะได้ประมาณว่า…
Sculptra เป็นสารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีดที่ใช้ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 โดยใช้ Biostimulator และมีผลลัพธ์ที่ยาวนานและปลอดภัยตามมาตรฐานการรักษาและอนุมัติจาก อย. แล้ว
คอลลาเจนคืออะไร สำคัญกับผิวเราอย่างไร
คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกาย มักเปรียบเทียบกับโครงสร้างของร่างกาย คอลลาเจนมีหน้าที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ และอวัยวะอื่นๆ เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนน้อยลง ทำให้เกิดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และปัญหาสุขภาพอื่นๆ


กระบวนการทำงานของ Sculptra
Sculptra ประกอบด้วยกรดโพลี-แอล-แลคติก (PLLA) ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ย่อยสลายได้ เมื่อฉีด Sculptra เข้าไปในผิวหนัง PLLA จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะค่อยๆ เติมเต็มและเพิ่มปริมาณของบริเวณที่ฉีด ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วงหลายเดือนและอาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี
Sculptra กับวิธีอื่นๆ ต่างกันอย่างไร
Sculptra แตกต่างจากวิธีการเสริมความงามอื่นๆ เช่น
- สารเติมเต็มแบบชั่วคราว: สารเติมเต็มแบบชั่วคราว เช่น Restylane และ Juvederm ให้ผลลัพธ์ทันที แต่จะสลายตัวภายใน 6-12 เดือน
- การผ่าตัด: การผ่าตัด เช่น การเสริมคางและการยกกระชับใบหน้า ให้ผลลัพธ์ที่ถาวร แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
- การรักษาด้วยเลเซอร์และคลื่นความถี่วิทยุ: การรักษาด้วยเลเซอร์และคลื่นความถี่วิทยุสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนได้ แต่ผลลัพธ์มักจะไม่คงอยู่ถาวรเท่ากับ Sculptra

Sculptra กับ ฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร
Sculptra และฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มทั้งคู่ แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญบางประการ
- องค์ประกอบ: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ซึ่งเป็นสารชีวภาพที่ย่อยสลายได้ ส่วนฟิลเลอร์ทั่วไปมักประกอบด้วยไฮยาลูโรนิกแอซิด ซึ่งเป็นสารที่พบตามธรรมชาติในร่างกาย
- กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วนฟิลเลอร์จะเติมเต็มบริเวณที่ฉีดโดยตรง
- ระยะเวลาผลลัพธ์: ผลลัพธ์ของ Sculptra อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี ส่วนฟิลเลอร์ทั่วไปจะสลายตัวภายใน 6-12 เดือน
Sculptra กับ เมโสหน้าใส ต่างกันอย่างไร
Sculptra และเมโสหน้าใสเป็นการรักษาที่แตกต่างกัน
- จุดประสงค์: Sculptra ใช้เพื่อเพิ่มปริมาณและปรับรูปร่างของใบหน้าและร่างกาย ส่วนเมโสหน้าใสใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
- สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วนเมโสหน้าใสประกอบด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิว
- ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วนเมโสหน้าใสให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราวและมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โปรแกรม Sculptra กับ Juvelook ต่างกันอย่างไร
| คุณสมบัติ | โปรแกรม SCULPTRA | โปรแกรม JUVELOOK |
|---|---|---|
| ส่วนประกอบหลัก | PDLLA + Hyaluronic Acid | PLLA |
| กลไกการทำงาน | กระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟูผิว | กระตุ้นคอลลาเจนลึก เติมเต็มปริมาตรใบหน้า ลดริ้วรอยลึก |
| ผลลัพธ์เด่น | ผิวเรียบเนียน ชุ่มชื้น กระจ่างใส | ใบหน้าดูเต็มอิ่ม ยกกระชับ ลดริ้วรอยลึก |
| ปัญหาผิวเหมาะกับ | ผิวแห้ง ขาดน้ำ, ริ้วรอยตื้น, รอยแตกลายเล็กๆ, ผิวไม่กระชับเล็กน้อย, ผิวหมองคล้ำ, ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น | ผิวหย่อนคล้อยชัดเจน, ริ้วรอยลึก, แก้มตอบ, ใบหน้าขาดปริมาตร, โหนกแก้มไม่ชัด, ใต้ตาลึก, ถุงใต้ตา, คอและเหนียงเริ่มหย่อน |
| ระยะเวลาผลลัพธ์ | 6-12 เดือน | 1.5-2 ปี |
| จำนวนครั้งที่แนะนำ | 3 ครั้ง | 3 ครั้ง |
| ความเจ็บ/ ฟื้นตัว | เจ็บเล็กน้อย คล้ายฉีดโบท็อกซ์ ไม่มีเวลาพักฟื้น | อาจเจ็บมากกว่าเล็กน้อย มีส่วนผสมยาชาช่วย ทนได้ง่าย |
| เหมาะกับใคร | ต้องการฟื้นฟูผิว เติมน้ำ ลดริ้วรอยเล็กๆ ผิวกระจ่างใส | ต้องการยกกระชับ เติมเต็มปริมาตร ลดริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อยชัด |
Sculptra กับ Rejuran ต่างกันอย่างไร
Sculptra และ Rejuran เป็นการรักษาที่แตกต่างกัน
- สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วน Rejuran ประกอบด้วยโพลีนิวคลีโอไทด์ (PN) ซึ่งเป็นสารที่พบในเซลล์ของร่างกาย
- กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วน Rejuran กระตุ้นการซ่อมแซมและการฟื้นฟูเซลล์
- ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วน Rejuran ให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราวและมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Sculptra กับ Gouri ต่างกันอย่างไร
Sculptra และ Gouri เป็นการรักษาที่แตกต่างกัน
- สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วน Gouri ประกอบด้วยไฮดรอกซีอะพาไทต์ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่พบในกระดูกและฟัน
- กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วน Gouri เติมเต็มบริเวณที่ฉีดโดยตรง
- ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วน Gouri ให้ผลลัพธ์ที่ทันทีและถาวร
Sculptra กับ Exosome ต่างกันอย่างไร
Sculptra และ Exosome เป็นการรักษาที่แตกต่างกัน
- สารที่ใช้: Sculptra ประกอบด้วย PLLA ส่วน Exosome เป็นถุงขนาดเล็กที่ปล่อยออกมาจากเซลล์และมีโปรตีนและโมเลกุลอื่นๆ
- กลไกการทำงาน: Sculptra กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่วน Exosome กระตุ้นการซ่อมแซมและการฟื้นฟูเซลล์
- ผลลัพธ์: Sculptra ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน ส่วน Exosome ให้ผลลัพธ์ที่ชั่วคราวและมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Sculptra เหมาะกับใคร
Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ
- เพิ่มปริมาณและปรับรูปร่างของใบหน้าและร่างกาย
- แก้ไขริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม

Sculptra ช่วยอะไรได้บ้าง
Sculptra สามารถใช้เพื่อช่วย
- เติมเต็มบริเวณที่ยุบตัว เช่น ร่องแก้มและขมับ
- ปรับรูปร่างของใบหน้า เช่น คางและจมูก
- แก้ไขริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
- ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
ขั้นตอนการฉีด Sculptra
ขั้นตอนการฉีด Sculptra มีดังนี้
- ปรึกษาแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับเป้าหมายและความคาดหวังของคุณ
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่ฉีด
- ฉีด Sculptra เข้าไปในบริเวณที่ต้องการโดยใช้เข็มขนาดเล็ก
- นวดบริเวณที่ฉีดเพื่อกระจาย Sculptra อย่างสม่ำเสมอ
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและรอยแดง
หลังฉีด Sculptra ดูแลตัวอย่างไร
หลังฉีด Sculptra ควรดูแลตัวเองดังนี้
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและรอยแดง
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่รุนแรง
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือซาวน่า
Sculptra ต้องนวดหลังทำ?
การดูแลตัวเองที่บ้าน (สำคัญมาก!) คนไข้จะต้องทำการนวดบริเวณที่ฉีดตามหลัก “Triple 5” คือ นวดครั้งละ 5 นาที, ทำวันละ 5 ครั้ง, ติดต่อกัน 5 วัน การนวดจะช่วยให้อนุภาคของ Sculptra กระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอและกลมกลืนไปกับชั้นผิว ป้องกันการจับตัวเป็นก้อน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

4 ขั้นตอนการนวดหน้าด้วยเทคนิค Triple 5 หลังฉีด Sculptra
ขั้นตอนที่ 1: นวดบริเวณขมับและหน้าผาก
กำมือหลวมๆ แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมาค่ะ จากนั้นใช้ “ข้อนิ้วโป้ง” ค่อยๆ นวดคลึงเป็นวงกลมบริเวณ “ขมับ” แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปจนสุดแนวไรผม ทำสลับซ้าย-ขวา ช้าๆ ค่ะ
ขั้นตอนที่ 2: นวดบริเวณแก้ม (ส่วนหน้า)
ใช้ “ข้อนิ้วโป้ง” เช่นเดิม นวดคลึงบริเวณ “หน้าแก้ม” (บริเวณข้างจมูก) โดยนวดในทิศทางยกขึ้น วนขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณ “ข้างแก้ม” ค่ะ
ขั้นตอนที่ 3: นวดบริเวณโหนกแก้ม
ใช้ “อุ้งมือหรือสันกำปั้น” วางทาบลงบนใบหน้า แล้วค่อยๆ นวดในทิศทางยกขึ้น จากบริเวณ “แก้มส่วนล่าง” ไล่ขึ้นไปจนถึง “โหนกแก้ม” เพื่อช่วยยกกระชับ ทำซ้ำไปมาหลายๆ ครั้งค่ะ
ขั้นตอนที่ 4: นวดบริเวณแนวกรามและกรอบหน้า
ใช้ “อุ้งมือหรือสันกำปั้น” เริ่มนวดจาก “ปลายคาง” แล้วค่อยๆ นวดไล่ขึ้นไปตาม “แนวกราม” จนถึงบริเวณข้างหู เพื่อให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น ทำซ้ำหลายๆ รอบได้เลยค่ะ
Sculptra ราคาเท่าไหร่

ฉีด Sculptra อันตรายไหม
Sculptra เป็นสารที่ปลอดภัยและได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) อย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น
- อาการบวมและรอยแดง
- อาการปวดและช้ำ
- การติดเชื้อ
- การก่อตัวของก้อนแข็ง
ข้อควรระวังการฉีด Sculptra
ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อฉีด Sculptra ในบริเวณต่อไปนี้
- บริเวณที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ
- บริเวณที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูน
- บริเวณที่มีเส้นประสาทหรือเส้นเลือดสำคัญ
หลังฉีด Sculptra มีผลข้างเคียงไหม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีด Sculptra ได้แก่
- อาการบวมและรอยแดง
- อาการปวดและช้ำ
- การติดเชื้อ
- การก่อตัวของก้อนแข็ง
- การแพ้

ฉีด Sculptra กี่วันเห็นผล
ผลลัพธ์ของ Sculptra จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วงหลายเดือน ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์อาจใช้เวลาถึง 6 เดือน
ฉีด sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง
จำนวนครั้งในการฉีด Sculptra ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความคาดหวังของคุณ โดยทั่วไปแล้วอาจจำเป็นต้องฉีด 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฉีด Sculptra อยู่ได้นานไหม
ผลลัพธ์ของ Sculptra อาจอยู่ได้นานถึง 2 ปี
Sculptra ของแท้ดูยังไง

Sculptra ของแท้จะมีคุณสมบัติต่อไปนี้
- มีการปิดผนึกที่ปลอดภัย
- มีฉลากที่ชัดเจนระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ปริมาณ และวันหมดอายุ
- มีการติดตามและตรวจสอบได้
Atelocollagen และ Rh Collagen คือเทคโนโลยีฟื้นฟูผิวขั้นสูงที่แตกต่างกันที่ “แหล่งกำเนิด” ค่ะ โดย Atelocollagen (คอลลาเจนสด) สกัดจากธรรมชาติและตัดส่วนที่ก่อภูมิแพ้ออก เด่นเรื่อง โครงสร้าง Triple Helix ที่สมบูรณ์ ช่วย กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และรักษาหลุมสิว ได้ดีเยี่ยม ส่วน Rh Collagen เป็นคอลลาเจนจาก เทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีโครงสร้าง เหมือนของมนุษย์ 100% จึงให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยสูงสุด (Safety) ไร้ความเสี่ยงจากสัตว์ และมีความเสถียรของตัวยา ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นทางเลือกหลักใน การฟื้นฟูโครงสร้างผิวระดับลึก ของวงการแพทย์ความงามยุคใหม่ค่ะ
Rh Collagen ประเภท Type III ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่พบมากในผิวเด็กทารก
ตามทฤษฎี ไหมน้ำ ที่เติมใต้ตาได้นั้น อยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์จริงค่ะ แต่คนไข้ต้องเข้าใจธรรมชาติของเขาด้วย คือหลังทำจะเห็นผลทันทีก็จริง แต่ ผ่านไป 1 สัปดาห์จะยุบตัวลงก่อน แล้วจึงค่อย ๆ อิ่มฟูขึ้นมาใหม่จากการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจุดนี้อาจทำให้คนไข้แปลกใจได้ ต่างจากฟิลเลอร์ที่ ฉีดเท่าไหร่ได้เท่านั้น (Immediate Result) แล้วค่อย ๆ ยุบตัวลง ตามกาลเวลาค่ะ เวลาหมอแนะนำจึงต้องดูความสบายใจของคนไข้เป็นหลัก ถ้าใครกังวลเรื่องก้อนหรือไม่สบายใจกับฟิลเลอร์ ไหมน้ำก็ถือว่าตอบโจทย์ใต้ตาได้ดี แต่ถ้าใครต้องการ ความเรียบเนียนทันที และรับได้กับการมาเติมปีละครั้ง ฟิลเลอร์ก็ยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม มากกว่าค่ะ
โดยเฉลี่ยของเคสคนไข้หมออยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ในขณะที่ฟิลเลอร์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน สาเหตุเพราะไหมน้ำทำหน้าที่เป็น Biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ ของคนไข้เอง ซึ่งมีความคงทนกว่าสารเติมเต็ม และเหมาะกับคนไข้ที่ต้องการปรับสภาพผิวใต้ตาให้แน่นกระชับ มากกว่าคนที่ต้องการเติมถมร่องลึกมาก ๆ ซึ่งฟิลเลอร์ยังคงเป็นมาตรฐานหลัก (Gold Standard) ในการแก้ปัญหาเบ้าตาลึกค่ะ
ถ้าให้หมอสรุปย่อๆให้ฟังคือ “ร้อยไหม” กับ “ไหมน้ำ” เป็นหัตถการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ การร้อยไหมจะเน้นการใช้เส้นไหมจริงๆ เพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้เห็นผลทันที เหมาะกับคนไข้ที่ต้องการแก้ปัญหาแก้มห้อยหรือกรอบหน้าไม่ชัดเจน ในขณะที่ “ไหมน้ำ” เป็นการฉีดสารกระตุ้นเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวจากภายในให้กลับมาแน่นและอิ่มฟูขึ้น ยกกระชับผิวได้แต่จะไม่ใช่การดึงผิวขึ้น ณ เวลานั้นเลย เหมาะกับคนไข้ที่ผิวบางและขาดคอลลาเจน ผิวเสื่อมต้องการฟื้นฟูระยะยาวค่ะ การจะเลือกทำอะไรนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้เป็นหลักค่ะ
หน้าทรุด ที่มาพร้อมกับอาการ ขมับตอบ, ถุงใต้ตา, หน้าแก้มแบน, และแก้มตอบ สามารถแก้ไขได้ด้วย ฟิลเลอร์ โดยการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ อ่อนเยาว์ และมีมิติมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ต้องทำโดย แพทย์ผู้มีประสบการณ์จริงๆเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เพราะหากแพทย์ไม่มีประสบการณ์ ประเมินผิดพลาด เน้นการเติมด้วยจำนวนที่เยอะเกินไป แทนที่จะได้ผิวหน้าที่ยกกระชับอ่อนกว่าวัย จะกลายเป็นหน้าอ้วน หน้า Overfield ได้
ดีเลิฟเวอรี่คลินิก จะมาสรุปคำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดหรือเลเซอร์จากคลินิกของเรานะคะ เพื่อให้คุณลูกค้าเข้าใจและดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ โดยรวมแล้ว การดูแลหลังทำมีความแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ สำหรับหัตถการกลุ่มฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรือ Biostimulator ส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้งดแต่งหน้าประมาณ 4-24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกดทับ การติดเชื้อ หรือการกระจายตัวของยา ส่วนกลุ่มเลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์ CO2 ที่มีแผลตกสะเก็ด จะต้องงดแต่งหน้าไปเลยจนกว่าสะเก็ดจะหลุดและผิวสมานตัวดี ซึ่งอาจใช้เวลา 7-14 วันเลยค่ะ และไม่ว่าจะทำหัตถการใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงการทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนค่ะ หากคุณลูกค้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือมีอาการผิดปกติหลังทำหัตถการ อย่าลังเลที่จะติดต่อสอบถามแอดมินหรือคุณหมอได้เลยนะคะ เรายินดีดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดค่ะ
“ไหมน้ำ” คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้การ “ฉีด” สารกระตุ้นคอลลาเจนลงใต้ผิวหนังเพื่อฟื้นฟูให้ผิวกลับมาเต่งตึง กระชับ แลดูอ่อนเยาว์ โดย ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น เหมือนการร้อยไหมแบบเดิมๆ ค่ะ ซึ่งไหมน้ำแต่ละชนิดก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป เช่น PLLA (Sculptra) เน้นกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ, PDLLA (Juvelook) เป็นสูตรไฮบริดที่ทั้งกระตุ้นคอลลาเจนและเติมความชุ่มชื้น, PDO (Ultracol) ช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้ผิวตึงกระชับ และ PCL (Gouri) โดดเด่นเรื่องการลดริ้วรอยและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้แต่ละคนค่ะ
หากคนไข้ส่องกระจกแล้วเห็นว่าใต้ตา “เป็นร่องลึกชัดเจน” มีลักษณะยุบตัวลงไป การแก้ไขที่ตรงจุดคือ “การฉีดฟิลเลอร์” เพื่อเข้าไปเติมเต็มร่องนั้นให้ตื้นขึ้นค่ะ แต่ถ้าปัญหาหลักของคนไข้คือ “ผิวใต้ตาบาง” จนมองเห็นเป็นสีคล้ำๆ หรือมี “ริ้วรอยเล็กๆ” เยอะๆ แบบนี้การเลือกทำ “ไหมน้ำ” หรือ Biostimulator เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนาและแข็งแรงขึ้น จะเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากกว่าค่ะ ซึ่งในบางเคสอาจต้องทำทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนะคะ
สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ แม้ Juvelook และ Sculptra จะเป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่มีความถนัดคนละด้านค่ะ Juvelook จะเน้นการฟื้นฟู “คุณภาพผิว” ในองค์รวม เหมาะสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ รูขุมขน และปัญหาใต้ตา ทำให้ผิวดูละเอียด เนียนใส และอิ่มฟูขึ้น ในขณะที่ Sculptra จะเน้นเรื่อง “การยกกระชับและปรับโครงสร้าง” เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ปรับกรอบหน้าให้คมชัด หรือเติมเต็มใบหน้าที่ดูตอบลงค่ะ











