














ประสบการณ์
- 2008-2013 สำเร็จการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เกียรตินิยมอันดับสอง
- 2013-2014 แพทย์เพิ่มพูนทักษะ โรงพยาบาลปากช่องนานา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
- 2014-2017 แพทย์ปฏิบัติการ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า100ปี อ.เมืองยาง จ.นครราชสีมา
- 2018-2020 Fellowship in Anti-Aging and Regenerative Medicine, Dhurakij Pundit University and College of Integrative Medicine
- 2016 ผ่านการอบรมระยะสั้นตจวิทยา “ Common Skin Disease : Truths untold “สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย
- 2018 Certificate of participation “Skin Laser Therapy in Clinical Practice Course “ by AESTHETICS CONCEPT ACADEMY
- 2018 Certificate of participation “ Basic To Advanced Thread Lift “ by AESTHETICS CONCEPT ACADEMY
- 2018 Certificate of participation “ Dermatosurgery, Advanced Aesthetic and Anti-Aging Medicine In Practice “ by AESTHETICS CONCEPT ACADEMY
- 2018 has participated in The 4th GALAA Conference by Global Association of Leaders in Aesthetics and Anatomy
- 2018 has attended The 43rd Annual Meeting of the Dermatological Society of Thailand
- 2019 has attended THE 9th INTERNATIONAL THAICOSDERM CONGRESS ON AESTHETIC MEDICINE “Catch Up Emerging Innovations In Aesthetic Medicine & Surgery”
- 2019 has participated in The 5th GALAA Conference by Global Association of Leaders in Aesthetics and Anatomy
- 2019 has satisfactorily served and completed “Recent Advances in Aesthetic Dermatology” by School of Anti Aging and Regenerative Medicine, Mae Fah Luang University
- 2019 has participated in the H.E.A.T. INTERNATIONAL CONGRESS ON ANTI-AGING MEDICINE “Improving Health Span to Combat Age Related Illness” by Health Education & Academics (Thailand)
- 2019 has successfully participated in the H.E.A.T. INTERNATIONAL ANTI-AGING WORKSHOP “Non-Communicable Diseases“ by Health Education & Academics (Thailand)
- 2020 has participated in 10th Introduction to Practical Cell Therapy Workshop by Association of Cell therapy, Thailand
- 2020 has successfully participated in the H.E.A.T. INTERNATIONAL ANTI-AGING WORKSHOP “ Stem Cells in Aesthetics “ by Health Education & Academics (Thailand)
- 2020 ผ่านการอบรม โครงการอบรมออนไลน์ โรคผิวหนังน่ารู้ในเวชปฏิบัติ จากศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- 2022 เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ การแพทย์ผสมผสาน เรื่อง โภชนเวชศาสตร์รุ่นที่ 3 (3thTIMA Nutraceutical 2022 Conference)
- 2022 Has Participated In The GAIN 2022 AESTHETIC JOURNEYS EVENT by GALDERMA
ศาสตร์ชะลอวัย
Anti-aging and Regenerative Medicine
เวชศาสตร์ผิวหนัง
Aesthetic Dermatology
คำถามที่พบบ่อย
1 cc ของฟิลเลอร์ถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่มาก แต่เพียงพอที่จะเห็น ความเปลี่ยนแปลงชัดเจน ถ้าฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมค่ะ โดยฟิลเลอร์ 1 cc เทียบง่ายๆ ประมาณ 1/5 ของช้อนชา ซึ่งนำมาใช้เติมเต็มโครงสร้างใบหน้าในจุดเฉพาะได้ดี
ใครๆ ก็อยากมีผิวหน้าฉ่ำวาว ชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีแบบเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งแอปแต่งภาพ หรือแต่งหน้าหนาๆ เพื่อปกปิดจุดบกพร่อง ยิ่งในวันที่ต้องการโชว์หน้าสดอย่างมั่นใจ ผิวที่เรียบเนียน กระจ่างใส ช่วยเสริมความมั่นใจได้อย่างมาก ซึ่งสารสำคัญอย่าง Hyaluronic Acid, Polynucleotide, Glutathione และอื่นๆ ในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ทั้งการฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณในเชิงลึก ช่วยให้สาวๆ และหนุ่มๆ สามารถมีผิวดีได้จริงอย่างยาวนาน
ที่ D’ Lovevery Clinic เรามีผลิตภัณฑ์และโปรแกรมดูแลผิวหลากหลาย โดยคุณหมอผู้มีประสบการณ์ที่พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการเติมความชุ่มชื้น การฟื้นฟูสภาพผิว หรือการลดริ้วรอยแห่งวัย เผยผิวสุขภาพดีและเปล่งประกายมั่นใจในทุกๆ วัน
หน้าม้า ป้องกันแสงยูวีไม่ได้เลยค่ะ 🙂
คนไข้ไม่ต้องกังวลเรื่องเปลืองครีมกันแดดเลยนะคะ เพราะจริงๆ แล้วการทาครีมกันแดดไม่ได้เปลืองขนาดนั้นค่ะ ใช้แค่ปริมาณประมาณ 2 ข้อนิ้วมือก็เพียงพอสำหรับทั้งหน้าแล้ว หรือต่อให้ใช้เยอะแค่ไหนก็คุ้ม เพราะหน้าเราผิวเราสำคัญที่สุด มันช่วยปกป้องผิวจากปัญหาระยะยาวได้เยอะมากๆ ค่ะ
แต่หมอแอบคิดว่าคนไข้ส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้กังวลเรื่องเปลืองหรอกค่ะ น่าจะมองว่า เสียเวลาทา มากกว่าใช่ไหมคะ? 😄 ถ้าเป็นแบบนั้น หมอแนะนำให้ลองปรับวิธีดูค่ะ เช่น ใช้กันแดดที่เป็นแบบเนื้อบางเบา ซึมไว หรือแบบที่เป็นกันแดดผสมบำรุงในตัวเดียว จะช่วยลดขั้นตอนและทำให้สะดวกขึ้นค่ะ
อย่าลืมนะคะ การทาครีมกันแดดเป็นการลงทุนกับผิวในระยะยาวค่ะ ป้องกันปัญหาผิวที่อาจต้องเสียเงินและเวลาแก้ไขทีหลังเยอะกว่าเดิมอีกค่ะ
การจี้ไฝบริเวณใกล้ดวงตานั้นมีความเสี่ยงที่ต้องระวังค่ะ โดยส่วนมากหมอจะแนะนำให้ปรึกษาหมอตา หมอศัลยกรรมโดยตรง
- ผิวหนังรอบดวงตาบอบบางมาก อาจเกิดแผลเป็นได้ง่าย
- อาจกระทบต่อการทำงานของเปลือกตา เช่น การกระพริบตา
- หากจี้ใกล้เกินไปอาจมีผลต่อดวงตาโดยตรง
หมอแนะนำว่า
- ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนตัดสินใจจี้ไฝบริเวณนี้
- ถ้าจำเป็นต้องจี้ ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำ
- ถ้าไฝไม่ได้รบกวนการมองเห็นหรือไม่น่าสงสัยว่าเป็นไฝเนื้อร้าย อาจพิจารณาปล่อยไว้ตามธรรมชาติ
Juvelook (จูวีลุค) ก็ถือเป็น Biostimulator เหมือนกันกับพวก Sculptra, Radiuses ต่างที่เขาจะเรียกว่า Hybrid Biostimulator ก็เพราะว่า ตัวนี้มีส่วนผสมที่โดดเด่นคือ PDLLA และ HA ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในวงการความงามว่า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง รูขุมขนกระชับ มีการระบุว่าอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลรวมถึงการดูแลผิวหลังทำด้วยนะคะ
ตัวไหนเหมาะกับผิวเรา เบื้องต้นต้องเอาผิวมาให้หมอประเมินก่อนว่า ปัญหาผิวเราตอนนี้เป็นแบบไหน ผิวต้องการอะไรมากที่สุด หมอถึงจะแนะนำได้ว่า โปรแกรมไหนเหมาะกับปัญหาของคนไข้มากที่สุด #skinsays #ฟังผิวบ้างเพราะผิวก็พูดได้
หมอขออนุญาตสรุปคำถามที่หลายคน โดยเฉพาะคนไข้ที่เพิ่งเริ่มใช้ Ozempic ครั้งแรก ถามกันเข้ามาเยอะมากนะคะ หมอเข้าใจเลยค่ะว่าหลายคนอาจจะกังวลหรืออยากรู้ว่าขนาดยาแต่ละแบบแตกต่างกันยังไง หมอเลยทำตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่ายมาให้ค่ะ จะได้ช่วยให้ทุกคนตัดสินใจและเข้าใจการใช้ยามากขึ้นนะคะ
หลังทำ Pico Laser แล้ว หลายคนจะมีอาการผิวหน้าแห้ง ตึง หรือเป็นขุยได้นะคะ ซึ่งหมอถือว่าเป็นอาการที่ “ปกติ” หลังเลเซอร์ค่ะ เพราะผิวเพิ่งถูกกระตุ้นให้ผลัดเซลล์ใหม่ จึงต้องดูแลเรื่องความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
ทุกเคสที่มาคลินิก หมอจะสอบถามเสมอว่า
ใช้ครีมบำรุงอะไรอยู่บ้าง?
เพราะพบว่าคนไข้หลายคน “ไม่เคยใช้ครีมบำรุงเลย” หรือใช้แค่ครีมกันแดดเท่านั้นค่ะ หากใครไม่เคยใช้ หมอจะเน้นย้ำเลยว่า “ต้องเริ่มใช้ครีมบำรุงผิวแบบให้ความชุ่มชื้นทันที” เพื่อป้องกันผิวแห้ง แตก ลอก หรือแดงหลังเลเซอร์ แต่ก็ไม่ทุกเคสนะคะที่จะแห้ง คนผิวมันจะไม่ค่อยรู้สึกมาก เมื่อเทียบกับคนผิวปกติ
คำแนะนำหลังทำ Pico Laser
- เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อการแพ้
- ทาวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อเสริมเกราะชุ่มชื้นให้ผิว
- ห้ามขาดมอยส์เจอไรเซอร์เด็ดขาด โดยเฉพาะ 7 วันแรก
- ถ้าผิวแห้งมาก ๆ หรือเริ่มลอก ให้เพิ่มการทาเป็นทุก 2-3 ชั่วโมง
- งดใช้สกินแคร์ที่ระคายเคือง
ในโปรแกรม D’ RESIZE ของ D’ Lovevery Clinic สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงค่ะ โดยเน้นการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป ได้ผลดีในระยะยาว ไม่เน้นลดฮวบเหมือนยาลดไขมันที่ขายออนไลน์ทั่วไป ซึ่งอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงรุนแรงทั้งใจสั่น หงุดหงิด วิตกกังวล หรือร้ายแรงถึงขั้นช็อก รวมถึงปัญหาโยโย่หลังหยุดยาอีกด้วย
ในโปรแกรมนี้ สามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 10-30% ภายใน 3 เดือน เช่น หากน้ำหนักเริ่มต้นที่ 80 กก. จะลดลงได้ประมาณ 8-12 กก. ภายใน 3 เดือน และเมื่อใช้ยาอย่างต่อเนื่อง น้ำหนักจะลดลงได้อีกประมาณ 10% การลดน้ำหนักจึงเกิดขึ้นอย่างมั่นคง ไม่กลับมาโยโย่เหมือนการอดอาหารหรือกินยาลดน้ำหนักทั่วไป เพราะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินในระยะยาว ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ยาวนานยิ่งขึ้น
กระบวนการให้เข้าใจง่ายคือ เมื่อเรากินน้อยลง ขนาดกระเพาะจะเล็กลง ไขมันช่องท้องถูกนำมาใช้มากขึ้น น้ำหนักและรอบเอวจะค่อย ๆ ลดลง พฤติกรรมการกินดีขึ้น และสุขภาพโดยรวมก็จะดีขึ้นอย่างยั่งยืนค่ะ
เชื่อหมอไหม ว่าคนไข้ที่ถามแบบนี้ ส่วนมากไม่ได้ถามให้ตัวเอง ส่วนมากถามเผื่อแฟน ภรรยา สามี เพราะเขาคือคนได้รับผลกระทบเมื่อจะต้องนอนข้างๆ หมอตอบแบบนี้ค่ะ
เมื่อ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันจะสะสมในหลายตำแหน่ง เช่น คอบริเวณด้านหน้า ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง, ไขมันแทรกในลิ้น ทำให้ลิ้นใหญ่ขึ้นและอาจตกไปอุดทางเดินหายใจเวลานอนหงาย รวมถึง ไขมันในช่องท้อง (VAT) ที่เพิ่มแรงกดต่อกระบังลม ส่งผลให้ ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้หายใจลำบาก นอนหลับไม่สนิท และอาจเกิด นอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ได้โดยไม่รู้ตัว บางคนแม้นอนครบชั่วโมงแต่กลับรู้สึกไม่สดชื่น อ่อนเพลียเรื้อรัง
เพราะฉะนั้น การลดน้ำหนัก ไม่เพียงแค่เปลี่ยนรูปร่างภายนอก แต่ยังช่วย ฟื้นฟูคุณภาพการนอนและสุขภาพโดยรวม ได้อย่างชัดเจน หลายคนลดน้ำหนักแล้วชีวิตเปลี่ยน รู้สึกสดชื่น หลับลึกขึ้น และถ้าใครนอนกรนหรือสงสัยว่ามีปัญหาการนอน ควรตรวจ sleep test เพื่อประเมินความรุนแรง เพราะการนอนคุณภาพไม่ดีเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สมอง และอวัยวะสำคัญ หากอยากเริ่มเปลี่ยนแปลงสุขภาพ ปรึกษาหมอเพื่อหาแนวทางที่เหมาะกับตัวเองได้เลยค่ะ
การรู้ว่าเรา “อ้วนหรือไม่” ไม่ได้ดูแค่ส่องกระจกหรือขึ้นตาชั่งอย่างเดียวค่ะ การประเมินความอ้วนจริงๆ มีวิธีที่หมอใช้วัดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น หนึ่งในวิธียอดฮิตที่สุดคือค่า BMI หรือค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งคำนวนจากน้ำหนักตัวเทียบกับส่วนสูง ถ้า BMI สูงเกินมาตรฐาน ถือว่าอ้วนค่ะ อีกวิธีที่หมอความงามนิยมดูเลยก็คือ “รอบเอว” เทียบกับส่วนสูง หรือที่เรียกว่า WHtR ถ้ารอบเอวเยอะเมื่อเทียบกับส่วนสูง โอกาสมีไขมันสะสมที่หน้าท้องสูง ซึ่งไขมันบริเวณนี้อันตรายกับสุขภาพมากกว่าจุดอื่น
แต่ถ้าจะให้แม่นยำจริงๆ หมอจะใช้วิธีวัด “เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย” ด้วยเครื่องมือเฉพาะ อย่างพวกเครื่องชั่งวัดไขมันหรือการสแกนร่างกายค่ะ ข้อมูลตรงนี้จะช่วยแยกคนที่ดูผอมแต่จริงๆ มีไขมันซ่อนอยู่ หรือคนที่มีกล้ามเนื้อเยอะจนดูน้ำหนักเกินแต่ไม่ได้อ้วนออกจากกันได้ดีขึ้น สรุปคือ ไม่ได้วัดแค่หุ่นที่มองเห็น แต่ต้องดูทั้งตัวเลขและสัดส่วนภายในเพื่อให้รู้สถานะร่างกายที่แท้จริงค่ะ
ความสวยที่ดีเลิฟเวอรี่คลินิก ต้องมาคู่กับความปลอดภัยค่ะ!
อ่านสาระ สวยแบบไม่เสี่ยงได้ที่นี่