
วันนี้หมอจะมาไขข้อข้องใจที่หลายคนกังวลกันมาก ว่าทำไมบางเคสยิ่งทำเลเซอร์รักษาฝ้าไปแล้ว ฝ้ากลับเข้มขึ้นกว่าเดิม? เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าเลเซอร์ไม่ดีนะคะ หัวใจสำคัญอยู่ที่ 3 ปัจจัยหลัก ที่เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันค่ะ
ปัจจัยที่ 1: เครื่องมือ (Device) และการเลือกใช้พลังงาน
ไม่ใช่ว่าเลเซอร์ทุกตัวจะเหมือนกันนะคะ การที่ฝ้าจะเข้มขึ้นหลังทำ ส่วนหนึ่งมาจาก การใช้เครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการเลือกชนิดของเลเซอร์และพลังงานที่ไม่เหมาะกับปัญหา ค่ะ
ในภาพมีการยกตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจมาก ซึ่งหมอจะเปรียบเทียบง่ายๆ นะคะ ระหว่างเลเซอร์ 2 แบบที่นิยมใช้:
- Pico laser โหมด 532 nm (พลังงานสูง): หมอจะเปรียบเทียบง่ายๆ นะคะ เลเซอร์ 532 nm ก็เหมือนกับการใช้ยางลบที่ลบได้แรงและสะอาดมากบนผิวชั้นบน เพราะมันจับกับเม็ดสีได้ดีมาก ทำให้ฝ้าจางไว แต่ถ้าถูแรงเกินไป (ใช้พลังงานสูง) กระดาษ (ผิวของเรา) ก็จะบางลง ถลอก และอักเสบได้ง่ายมากค่ะ ผลที่ตามมาคือ ผิวจะสร้างเม็ดสีขึ้นมาใหม่เพื่อซ่อมแซมตัวเอง กลายเป็นรอยดำที่เรียกว่า PIH (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) ทำให้ฝ้าดูเข้มกว่าเดิม
- Pico laser โหมด 1064 nm (พลังงานต่ำ หรือ Low-Fluence): ส่วน เลเซอร์ 1064 nm เหมือนการใช้ยางลบที่ค่อยๆ ลบอย่างนุ่มนวลลงไปถึงชั้นลึกๆ ค่ะ อาจจะต้องลบหลายครั้งหน่อยกว่าจะสะอาด แต่กระดาษ (ผิว) ของเราไม่ช้ำ ไม่เกิดการอักเสบ จึง ปลอดภัยกว่ามากและไม่กระตุ้นให้เกิดรอยดำซ้ำ ค่ะ
ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานและการเลือกโหมดเลเซอร์ที่ถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงสำคัญที่สุดค่ะ
ปัจจัยที่ 2: เทคนิคการยิง (Technique)
“เลเซอร์ไม่ผิด แต่ผิดที่การตั้งค่า” เป็นคำที่ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ ต่อให้ใช้เครื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าแพทย์ตั้งค่าพลังงานแรงเกินไป หรือยิงซ้ำๆ ที่เดิมบ่อยเกินความจำเป็น ก็เหมือนการสร้างบาดแผลให้ผิวโดยไม่รู้ตัว ค่ะ
คิดภาพตามนะคะ ถ้ายิงพลังงานแรงไป หรือย้ำๆ ที่เดิมซ้ำๆ ผิวจะเกิด “ความร้อนสะสม” ใต้ผิวหนัง เหมือนเราโดนแดดเผาเบาๆ แต่เกิดขึ้นจากข้างในค่ะ เมื่อผิวอักเสบเรื้อรัง ร่างกายก็จะสั่งให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ทำงานหนักขึ้นเพื่อปกป้องผิว ผลสุดท้ายคือ ฝ้าที่เคยจางกลับมาเข้มกว่าเดิม และอาจเกิดรอยดำ PIH เพิ่มขึ้นมาอีกค่ะ
ปัจจัยที่ 3: สภาพผิวของคนไข้ และการดูแลหลังยิง
ปัจจัยสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือตัวของคนไข้เองค่ะ
- สภาพผิวก่อนทำ: คนไข้ที่มี เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อ่อนแอ หรือมีภาวะอักเสบซ่อนอยู่ใต้ผิวอยู่แล้ว จะมีความเสี่ยงสูงมากค่ะ แม้จะยิงเลเซอร์ด้วยพลังงานเบาๆ ก็อาจเป็นการกระตุ้นให้ฝ้ากำเริบได้
- การดูแลตัวเองหลังทำ: นี่คือสิ่งที่หมอย้ำกับคนไข้เสมอค่ะ! หลังทำเลเซอร์ ผิวเราจะบอบบางและไวต่อแสงมากเป็นพิเศษ หากคนไข้ไม่ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่ยอมทาครีมกันแดด, ละเลยการทาครีมให้ความชุ่มชื้นเพื่อฟื้นฟูผิว, หรือยังออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่โดนแดดจัดๆ ผิวจะไวต่อแสงและเกิดรอยดำซ้ำ (PIH) ได้ง่ายมาก ทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควรหรืออาจแย่ลงกว่าเดิมค่ะ
การรักษาฝ้า ไม่ได้พึ่งเพียงแค่เลเซอร์
นอกจากการใช้เลเซอร์แล้ว ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งทรีทเมนท์ที่เป็นเหมือน ‘ทัพเสริม’ ที่ได้ผลดีและเป็นที่นิยมอย่างมากเลยค่ะ นั่นคือ โปรแกรมการฉีดตัวยาเข้าไปที่ชั้นผิวโดยตรง หรือที่คนไข้หลายคนอาจจะคุ้นเคยในชื่อ ‘เมโสฝ้า’ (Meso-Melasma) ค่ะ วิธีนี้จะเป็นการส่งตัวยาสำคัญๆ เช่น กลุ่ม Tranexamic Acid หรือวิตามินบำรุงผิวต่างๆ เข้าไปจัดการกับเซลล์สร้างเม็ดสีที่ทำงานผิดปกติแบบตรงจุดเลยค่ะ ซึ่งจะช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีและลดการอักเสบใต้ผิว ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้นค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้ว หมอมักจะแนะนำให้ ทำควบคู่ไปกับการทำเลเซอร์ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้น ถือเป็นการจัดการปัญหาฝ้าแบบครบวงจรเลยค่ะ









