
พายุฮอร์โมนที่พัดพาเม็ดสีมา (Hormonal Changes)
สาเหตุหลักอันดับหนึ่งเลยคือ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ค่ะ ในช่วงที่เราตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมน เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
- เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ปกติโรงงานผลิตเม็ดสี (Melanocyte) ของเราทำงานแบบเข้ากะปกติ 8 ชั่วโมง แต่พอเจอฮอร์โมนเหล่านี้เข้าไป เหมือนโรงงานถูกสั่งให้ “ทำโอทีหนักมาก” ผลิตเม็ดสีออกมาเยอะเกินความจำเป็น โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก จนกลายเป็นปื้นดำหรือที่เราเรียกว่า “ฝ้าคนท้อง” (Chloasma หรือ Mask of Pregnancy) นั่นเองค่ะ
ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น (Photosensitivity)
คนไข้ทราบไหมคะว่า ผิวช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอดจะ บอบบางและไวต่อแสงแดดเป็นพิเศษ แม้คนไข้จะรู้สึกว่าโดนแดดเท่าเดิม แต่ผิวกลับตอบสนองรุนแรงขึ้น
- เหมือนผิวเราต่อสวิทช์ไฟไว้ รอเวลาแค่แสง UV มาเปิด แค่นิดเดียว (แม้แต่แสงจากหลอดไฟ หรือแสงจอโทรศัพท์) เม็ดสีที่สแตนด์บายรออยู่แล้ว ก็พร้อมจะเข้มขึ้นทันที ทำให้ฝ้าดูชัดขึ้นมาหลังคลอดค่ะ
ความเครียดและการพักผ่อนน้อย (Stress & Sleep Deprivation)
ความเป็นคุณแม่มือใหม่ย่อมมาพร้อมกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และความเครียดสะสม ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ออกมา ซึ่งเจ้าตัวนี้แหละค่ะที่เป็นตัวการ กระตุ้นอนุมูลอิสระ ใต้ผิวหนัง ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง และส่งเสริมให้ฝ้าหายช้าลงไปอีกค่ะ
ยาบางชนิดหรือยาคุมกำเนิด
หลังคลอด หากคนไข้เริ่มทาน ยาคุมกำเนิด เพื่อวางแผนครอบครัวต่อ ฮอร์โมนในยาคุมก็เป็นอีกปัจจัยที่เหมือนเชื้อเพลิงเติมเข้าไปในกองไฟ ทำให้ฝ้าที่ควรจะจางลง กลับยังคงอยู่หรือเข้มขึ้นได้ค่ะ
ทำไมคุณแม่บางคนรอด ไม่เป็นฝ้าฮอร์โมน?
ปัจจัยที่สำคัญคือ กรรมพันธุ์ ค่ะ ถ้าคุณแม่หรือพี่น้องผู้หญิงของเราเคยท้องแล้วเป็นฝ้า เราก็มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นเช่นกัน
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ เหมือนเราได้รับ พิมพ์เขียว (Blueprint) ของโรงงานเม็ดสีมาค่ะ บางคนได้พิมพ์เขียวที่โรงงานขยันทำงานมาก พอฮอร์โมนกระตุ้นนิดเดียวก็ผลิตสีออกมาเยอะ แต่บางคนโรงงานขี้เกียจหน่อย กระตุ้นเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยผลิต ทำให้หน้ายังใสอยู่นั่นเองค่ะ


