
ไขข้อข้องใจ “น้ำตาลตก” vs “น้ำตาลเหวี่ยง” ต่างกันยังไงคะหมอ?
หมอจะบอกว่าสองอาการนี้เกี่ยวข้องกันแต่ “คนละเรื่อง” เลยค่ะ อันหนึ่งคือภาวะฉุกเฉิน อีกอันคือพฤติกรรมทำลายสุขภาพระยะยาว มาดูความแตกต่างกันค่ะ
น้ำตาลตก (Hypoglycemia) ภาวะฉุกเฉิน ร่างกายขาดพลังงาน!
อันนี้คือสถานการณ์ที่ระดับน้ำตาลในเลือด “ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน” จนร่างกายไม่มีพลังงานไปเลี้ยงสมองและอวัยวะค่ะ
- อาการ: มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตกพลั่ก (Cold Sweat) หน้ามืดตาลาย หิวจัดจนโมโห หรือบางคนถึงขั้นเป็นลมหมดสติ
- ใครเสี่ยงบ้าง: คนไข้เบาหวานที่ฉีดยาอินซูลินแล้วทานข้าวน้อย, คนที่ทำ IF (Intermittent Fasting) หักโหมเกินไป หรือออกกำลังกายหนักตอนท้องว่าง
- ความรู้สึก: เหมือนไฟตก เครื่องจะดับ วูบวาบ จะเป็นลมค่ะ
น้ำตาลเหวี่ยง (Blood Sugar Swings / Glucose Spikes) รถไฟเหาะทำลายผิว
อันนี้คือตัวการความแก่เลยค่ะ! มันคือภาวะที่ระดับน้ำตาล “พุ่งสูงปรี๊ด แล้วตกลงมาฮวบฮาบ” สลับกันไปมาตลอดวัน
- กลไกการเกิด: สมมติคนไข้ดื่มชานมไข่มุก (น้ำตาลพุ่งสูง ⬆️) ร่างกายจะรีบหลั่งอินซูลินออกมาเก็บกวาดน้ำตาลอย่างบ้าคลั่ง ทำให้น้ำตาลตกลงมาต่ำอย่างรวดเร็ว (น้ำตาลร่วง ⬇️)
- อาการ: ช่วงแรกจะดีด กระปรี้กระเปร่า แต่พอผ่านไป 1-2 ชม. จะรู้สึก “เพลีย ง่วงนอน (Food Coma) สมองตื้อ และอยากกินของหวานอีก” วนเป็นลูปนรกค่ะ
- ผลเสียต่อความงาม: การที่น้ำตาลพุ่งสูงบ่อยๆ จะเกิดปฏิกิริยา Glycation ทำให้คอลลาเจนแข็งตัวและเปราะหักง่าย ผลคือ หน้าเหี่ยวไว ผิวหมอง และเป็นสิวง่าย ค่ะ
สรุปความต่างให้เห็นภาพ
- น้ำตาลตก: คือ “วิกฤต” ร่างกายร้องขอความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้! (ต้องรีบกินหวานแก้)
- น้ำตาลเหวี่ยง: คือ “นิสัยเสียของระบบเผาผลาญ” เป็นภัยเงียบที่สะสมความเครียดให้ร่างกายและผิวพรรณ (ต้องแก้ด้วยการเลือกกินแป้งเชิงซ้อนและลดหวาน)



