ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

น้ำตาลตก น้ำตาลเหวี่ยง คืออะไร ต่างกันยังไง

โดยทางการแพทย์จะถือว่าเป็นภาวะน้ำตาลตกเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 mg/dL ซึ่งเป็นจุดที่สมองเริ่มขาดพลังงาน

ภาวะน้ำตาลเหวี่ยง (Glucose Crash) มักเกิดขึ้นภายใน 60-120 นาที หลังมื้ออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) สูง ทำให้รู้สึกง่วงซึมทันทีหลังทาน

ความแตกต่างหลักคือ “ภาวะน้ำตาลตก (Hypoglycemia)” หมายถึงระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงจนถึงเกณฑ์อันตราย ทำให้เกิดอาการหน้ามืด มือสั่น และอาจหมดสติ เป็นภาวะเฉียบพลันที่ต้องการการแก้ไขทันที ส่วน “ภาวะน้ำตาลเหวี่ยง (Blood Sugar Swings)” คือการที่ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและตกลงมาต่ำสลับกันไปมา ซึ่งมักเกิดจากการรับประทานแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลียระหว่างวัน หิวบ่อย และกระตุ้นกระบวนการอักเสบในร่างกายที่ทำให้ ผิวแก่ก่อนวัย ค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้น กรุณาทำนัดเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรับข้อมูลโดยละเอียด

"น้ำตาลตก" คือภาวะฉุกเฉิน ส่วน "น้ำตาลเหวี่ยง" ทำให้อ้วนและหน้าแก่ไว! หมอสรุปความต่าง อาการสังเกต และวิธีดูแลตัวเองไม่ให้ระบบเผาผลาญพัง คลิกอ่านเลย

ไขข้อข้องใจ “น้ำตาลตก” vs “น้ำตาลเหวี่ยง” ต่างกันยังไงคะหมอ?

หมอจะบอกว่าสองอาการนี้เกี่ยวข้องกันแต่ “คนละเรื่อง” เลยค่ะ อันหนึ่งคือภาวะฉุกเฉิน อีกอันคือพฤติกรรมทำลายสุขภาพระยะยาว มาดูความแตกต่างกันค่ะ

น้ำตาลตก (Hypoglycemia) ภาวะฉุกเฉิน ร่างกายขาดพลังงาน!

อันนี้คือสถานการณ์ที่ระดับน้ำตาลในเลือด “ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน” จนร่างกายไม่มีพลังงานไปเลี้ยงสมองและอวัยวะค่ะ

  • อาการ: มือสั่น ใจสั่น เหงื่อแตกพลั่ก (Cold Sweat) หน้ามืดตาลาย หิวจัดจนโมโห หรือบางคนถึงขั้นเป็นลมหมดสติ
  • ใครเสี่ยงบ้าง: คนไข้เบาหวานที่ฉีดยาอินซูลินแล้วทานข้าวน้อย, คนที่ทำ IF (Intermittent Fasting) หักโหมเกินไป หรือออกกำลังกายหนักตอนท้องว่าง
  • ความรู้สึก: เหมือนไฟตก เครื่องจะดับ วูบวาบ จะเป็นลมค่ะ

น้ำตาลเหวี่ยง (Blood Sugar Swings / Glucose Spikes) รถไฟเหาะทำลายผิว

อันนี้คือตัวการความแก่เลยค่ะ! มันคือภาวะที่ระดับน้ำตาล “พุ่งสูงปรี๊ด แล้วตกลงมาฮวบฮาบ” สลับกันไปมาตลอดวัน

  • กลไกการเกิด: สมมติคนไข้ดื่มชานมไข่มุก (น้ำตาลพุ่งสูง ⬆️) ร่างกายจะรีบหลั่งอินซูลินออกมาเก็บกวาดน้ำตาลอย่างบ้าคลั่ง ทำให้น้ำตาลตกลงมาต่ำอย่างรวดเร็ว (น้ำตาลร่วง ⬇️)
  • อาการ: ช่วงแรกจะดีด กระปรี้กระเปร่า แต่พอผ่านไป 1-2 ชม. จะรู้สึก “เพลีย ง่วงนอน (Food Coma) สมองตื้อ และอยากกินของหวานอีก” วนเป็นลูปนรกค่ะ
  • ผลเสียต่อความงาม: การที่น้ำตาลพุ่งสูงบ่อยๆ จะเกิดปฏิกิริยา Glycation ทำให้คอลลาเจนแข็งตัวและเปราะหักง่าย ผลคือ หน้าเหี่ยวไว ผิวหมอง และเป็นสิวง่าย ค่ะ

สรุปความต่างให้เห็นภาพ

  • น้ำตาลตก: คือ “วิกฤต” ร่างกายร้องขอความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้! (ต้องรีบกินหวานแก้)
  • น้ำตาลเหวี่ยง: คือ “นิสัยเสียของระบบเผาผลาญ” เป็นภัยเงียบที่สะสมความเครียดให้ร่างกายและผิวพรรณ (ต้องแก้ด้วยการเลือกกินแป้งเชิงซ้อนและลดหวาน)

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย