ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ถาม:

เราจะรู้ได้ยังไงว่าร่างกายเราขาดวิตามินอะไรบ้าง

หมอต้าร์-exosome-สกินบูสเตอร์-ดีเลิฟเวอรี่คลินิก

(หมอต้าร์) พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

ตอบ:

รู้ได้จากอาการที่เป็นแสดงออกเช่น อาการตาบอดกลางคืนหรือ มองกลางคืนไม่ค่อยชัด จากการขาดวิตามินเอ ซึ่งหากมีการแสดงออกของโรค แปลว่าร่างกายขาดวิตามินชนิดนั้นมาก

ปัจจุบันมีความสะดวก รวดเร็ว การตรวจเลือด ตรวจหาวิตามินง่ายกว่าสมัยก่อนมากค่ะ ในคลินิกก็สามารถทำได้แล้ว หมอจะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็ป อย่างละเอียดว่าร่างกายของคนไข้ขาดวิตามินหรือแร่ธาตุอะไรบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องคาดเดาเองให้ยุ่งยากหรือกังวลเกี่ยวกับอาการที่ไม่ชัดเจน ซึ่งผลตรวจมีมาตรฐานและความแม่นยำสูง และเมื่อผลออกมาแล้ว หมอจะช่วยอธิบายอย่างละเอียดว่าคนไข้ขาดสารอาหารตัวใด และควรเสริมสารอาหารเหล่านั้นด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหาร วิตามินเสริม หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้สุขภาพดีขึ้นอย่างปลอดภัยค่ะ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการตรวจแบบนี้ช่วยให้การดูแลสุขภาพของคุณตรงจุดและเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จึงช่วยประหยัดทั้งเวลาและลดความเสี่ยงจากการเสริมวิตามินเองโดยไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง สำหรับคนไข้ที่มีเวลาจำกัด บริการเสริม เช่น IV Drip วิตามิน ซึ่งช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน

วัดระดับวิตามินในร่างกาย วิตามินในเลือด ราคาค่าบริการ
vitamin blood test ตรวจค่าเลือด หาวิตามินที่ร่างกายขาด

วิธีตรวจวัดระดับวิตามินในร่างกาย

เมื่อพูดถึงการตรวจวัดระดับวิตามินในร่างกาย ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อประเมินว่าสุขภาพของเราอยู่ในระดับใด และวิธีใดเหมาะสมขึ้นอยู่กับความจำเพาะเจาะจงของสารอาหารที่ต้องการวิเคราะห์ หรือภาวะร่างกายของผู้เข้ารับการตรวจ โดยหลัก ๆ การตรวจแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านขั้นตอน ความแม่นยำ และประโยชน์การใช้งาน ดังนี้

  1. การตรวจเลือด (Blood Test)
    นี่เป็นวิธีที่พบได้บ่อยที่สุดในการตรวจระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย การเจาะเลือดช่วยให้สามารถวัดระดับวิตามินเฉพาะเจาะจง เช่น วิตามิน D (25-Hydroxyvitamin D), วิตามิน B12, โฟเลต, และธาตุเหล็กได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลจากเลือดสามารถแสดงสถานะโดยรวมของร่างกายในปัจจุบัน และเป็นมาตรฐานที่แพทย์นิยมใช้มากที่สุด
    • ข้อดี: แม่นยำในการวัดระดับวิตามินที่อยู่ในกระแสเลือด ผลลัพธ์มักใช้ในการรักษาโดยตรง
    • ข้อเสีย: จำกัดแค่สารบางชนิดในเลือด และราคาถือว่าค่อนข้างสูง 8,000-15,000 บาท/ครั้ง
  2. การตรวจจากปัสสาวะ (Urine Test)
    การวิเคราะห์ปัสสาวะใช้ในการตรวจหาสารอาหารจำบางประเภท โดยเฉพาะพวกวิตามินที่ละลายน้ำ (Water-Soluble Vitamins) เช่น วิตามิน C และ B-complex ผลตรวจปัสสาวะสะท้อนการขับออกของวิตามินในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจบอกถึงปริมาณที่ได้รับเกินหรือไม่เพียงพอต่อวันได้
    • ข้อดี: สะดวกและไม่ต้องเจ็บตัว
    • ข้อเสีย: วัดค่าได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่สะท้อนระดับสารสะสมในร่างกาย
  3. การตรวจจากเส้นผม (Hair Analysis)
    การวิเคราะห์แร่ธาตุในเส้นผมมักใช้สำหรับการตรวจสารอาหารประเภทแร่ธาตุ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม หรือโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย การตรวจประเภทนี้ดูการสะสมของสารในเส้นผมที่เกิดขึ้นในระยะยาว
    • ข้อดี: เหมาะสำหรับตรวจระยะยาว และความปลอดภัยจากการสะสมสารบางชนิด
    • ข้อเสีย: ไม่แม่นยำในการตรวจวิตามินที่ละลายในน้ำหรืออยู่ในกระแสเลือด
  4. การตรวจจากสารคัดหลั่งอื่น ๆ
    เช่น น้ำลาย เหงื่อ หรือเซลล์ในช่องปาก โดยใช้เครื่องวิเคราะห์ใหม่ ๆ (เช่น การสแกนหรือตรวจด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ) เหมาะสำหรับประเมินสถานะวิตามินและแร่ธาตุในสถานการณ์พิเศษหรืองานวิจัยบางประเภท
    • ข้อดี: ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
    • ข้อเสีย: เทคโนโลยีนี้ยังไม่ได้มาตรฐานสมบูรณ์แบบในบางกรณี
  5. การสแกนด้วยเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Bioavailability Scanning)
    บางคลินิกมีเทคโนโลยีเฉพาะ เช่น การใช้แสงเลเซอร์ (Laser Scanner) เพื่อวัดระดับสารต้านอนุมูลอิสระหรือสารอาหารอื่น ๆ ผ่านตัวชี้วัดในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง วิธีนี้ยังอยู่ในขั้นพัฒนา และไม่สามารถวัดวิตามินได้หลากหลายเท่าการตรวจเลือด
    • ข้อดี: ไม่ต้องเจาะหรือเก็บตัวอย่างเลือดหรือน้ำลาย
    • ข้อเสีย: ข้อจำกัดในความแม่นยำเฉพาะบางสารอาหาร

ความแตกต่างหลัก ของแต่ละวิธีคือชนิดของสารอาหารที่ตรวจได้ ความแม่นยำ และวัตถุประสงค์ เช่น หากต้องการตรวจสุขภาพทั่วไปให้เลือกตรวจเลือดเพื่อความละเอียดและครอบคลุม แต่หากต้องการประเมินการสะสมแร่ธาตุในระยะยาวหรือสารพิษเฉพาะ อาจใช้วิธีตรวจเส้นผมหรือปัสสาวะ

ขาดวิตามิน จะมีอาการอย่างไรบ้าง

วิตามินหน้าที่สำคัญอาการเบื้องต้น
วิตามิน Aบำรุงสายตา, เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน– ตาแห้ง
– มองเห็นไม่ชัดในที่มืด (ตาบอดกลางคืน)
– ผิวแห้ง และลอก
วิตามิน B1ช่วยการเผาผลาญพลังงาน (คาร์โบไฮเดรต)– เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
– กล้ามเนื้ออ่อนแรง
– ชาปลายมือปลายเท้า (เบอริเบอริ)
วิตามิน B2บำรุงผิว, ผม, และดวงตา– ปากแห้ง
– ริมฝีปากแตก
– แสบลิ้นหรือลิ้นบวมแดง
วิตามิน B3ช่วยระบบเผาผลาญพลังงานและผิวพรรณ– ผิวหนังอักเสบ (Dermatitis)
– ท้องร่วง (Diarrhea)
– สับสนหรือหลงลืม (Dementia)
วิตามิน B5ช่วยสร้างฮอร์โมนและเผาผลาญไขมัน– อ่อนเพลีย
– อาการชา หรือแสบร้อนที่ฝ่าเท้า
– คลื่นไส้
วิตามิน B6การทำงานสมองและระบบภูมิคุ้มกัน– ชัก
– ซึมเศร้า
– แพ้ง่าย
– รูปร่างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ
วิตามิน B7เสริมสร้างสุขภาพผม, ผิว, และเล็บ– ผมร่วง
– ผิวแตกเป็นขุย
– สีหน้าเหลืองซีด
วิตามิน B9สร้างเม็ดเลือดแดงและ DNA– โลหิตจาง
– อ่อนเพลีย
– พัฒนาการของทารกในครรภ์ผิดปกติ
วิตามิน B12การทำงานของระบบประสาทและสร้างเม็ดเลือดแดง– ชาปลายมือปลายเท้า
– โลหิตจาง
– หลงลืมหรือสับสนในบางครั้ง
วิตามิน Cเสริมภูมิคุ้มกันและต้านอนุมูลอิสระ– เหงือกบวมและเลือดออกง่าย
– ผิวแห้งและลอก
– แผลหายช้ากว่าปกติ
วิตามิน Dช่วยดูดซึมแคลเซียมและบำรุงกระดูก– ปวดกระดูกหรือข้อ
– กระดูกพรุน
– อ่อนล้าหรือซึมเศร้า
วิตามิน Eต่อต้านอนุมูลอิสระ– กล้ามเนื้ออ่อนแรง
– ปัญหาการมองเห็น
– ระบบภูมิคุ้มกันลดลง
วิตามิน Kการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก– เลือดออกง่ายหรือหยุดเลือดช้า
– กระดูกเปราะบาง

หมายเหตุ:

  1. อาการที่แสดงในเบื้องต้นอาจแตกต่างไปในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับระดับการขาด สำรองในร่างกาย และเงื่อนไขสุขภาพเพิ่มเติม
  2. การขาดวิตามินมักเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่, การดูดซึมอาหารผิดปกติ, หรือการเผาผลาญที่ผิดปกติ