ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ถาม:

หมอใช้เกณฑ์อะไรในการแบ่งคนไข้ว่าต้อง คุมอาหาร ใช้ยาปากกา หรือผ่าตัดกระเพาะไปเลย

หมอต้าร์-exosome-สกินบูสเตอร์-ดีเลิฟเวอรี่คลินิก

(หมอต้าร์) พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

ว.49465

ตอบ:

ส่วนมากแล้ว คุณหมอเขาจะพิจารณาวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมกับแต่ละคนไข้โดย ต้องดูทั้งน้ำหนัก (BMI) และ อาการหรือปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคประจำตัว ความรุนแรงของพฤติกรรมการกิน รวมถึงความพร้อมและเป้าหมายของคนไข้เองค่ะ ถ้า BMI ยังไม่สูง หมอจะแนะนำให้เน้น คุมอาหาร ออกกำลังกาย ถ้าคุมยากหรือมีโรคร่วม อาจเพิ่ม ยาปากกา ส่วนกรณีที่น้ำหนักมาก หรือมีโรคร่วมรุนแรงจนอันตราย หรือวิธีอื่นไม่ได้ผลจึงจะเสนอทางเลือกต่อไปเช่น บอลลูนหรือผ่าตัดกระเพาะ และจะต้องอธิบายข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีให้คนไข้เข้าใจเสมอ

นอกจากนี้ หากคนไข้มี พฤติกรรมการกินผิดปกติ เช่น กินไม่หยุด ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือ “กินทางอารมณ์” แม้จะ BMI ยังน้อย ก็ต้องเน้นแก้ไข พฤติกรรมและสุขภาพจิต ร่วมด้วย เช่น การทำ CBT, ฝึกสังเกตอารมณ์ และปรึกษาจิตแพทย์ เพราะหากไม่จัดการปัญหาเบื้องหลัง การลดน้ำหนักทางร่างกายอย่างเดียวก็อาจไม่ได้ผลยั่งยืนค่ะ คนไข้แต่ละคนจึงควรได้รับ “แผนการดูแล” ที่เหมาะกับปัจจัยทั้งหมด ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขน้ำหนักเพียงอย่างเดียวค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้น กรุณาทำนัดเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรับข้อมูลโดยละเอียด

ชอบกินดึก กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม เพราะอะไร ทำยังไงดี
หมอใช้เกณฑ์อะไร ว่าต้องลดน้ำหนักยังไง

การประเมินค่า BMI (ดัชนีมวลกาย)

  • BMI < 23 : หมอจะแนะนำให้คุมอาหารและออกกำลังกายโดยเฉพาะค่ะ
  • BMI 23–24.9 : จัดอยู่ใน “น้ำหนักเกิน” หมอก็ยังเน้นคุมอาหาร-ออกกำลังกายเป็นหลัก หากมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน อาจพิจารณาเรื่องยาในบางราย
  • BMI 25–29.9 : จัดเป็น “ภาวะอ้วน”
    • กรณีนี้ถ้าคุมอาหาร-ออกกำลังกายไม่สำเร็จ หรือเริ่มมีโรคแทรกซ้อน (เช่น ไขมันในเลือดสูง, ความดัน, เบาหวาน) หมอจะพิจารณายาปากกาลดน้ำหนักร่วมด้วยค่ะ
  • BMI ≥ 30 : เป็น “โรคอ้วน”
    • ถ้าคุมอาหารกับออกกำลังกาย หรือยาปากกาไม่ได้ผล หรือคนไข้มีโรคประจำตัวควบคุมยาก เช่น DM, HT, OSA
      หมอจะเริ่มพูดถึงตัวเลือกอื่น เช่น การใส่บอลลูนในกระเพาะหรือผ่าตัดกระเพาะ
bmi คืออะไร สำคัญยังไง ตรวจ bmi ออนไลน์

การเลือกรูปแบบการรักษา

1.แบบไม่ใช้ยา (Lifestyle Modification)

  • เหมาะกับคนไข้ที่ BMI ยังไม่สูงมาก และยังไม่มีโรคร่วมรุนแรง
  • หมอจะแนะนำอาหารสุขภาพ ควบคุมแคลอรี่ เพิ่มกิจกรรมทางกาย
  • หมอจะช่วยวางแผนและติดตามผลใกล้ชิด

2.การใช้ยาลดน้ำหนัก (เช่น ยาปากกาฉีด)

  • แนะนำสำหรับ BMI ≥ 25 (หรือ BMI 23+ ถ้ามีโรคร่วม)
  • คนไข้ควรลองคุมอาหารและออกกำลังกายก่อนอย่างน้อย 3–6 เดือน ถ้าไม่ได้ผลถึงจะพิจารณายา
  • หมอจะสอบถามโรคประจำตัว ยาที่ใช้ ปรึกษาเรื่องผลข้างเคียง และวางแผนติดตาม

3.การทำบอลลูนในกระเพาะ (Intragastric Balloon)

  • เหมาะกับคนไข้ BMI 27–35 ที่ไม่อยากหรือยังไม่เหมาะกับการผ่าตัด
  • เหมาะกับคนไข้ที่ลองวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
  • เป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักโดยทำให้กินได้น้อยลงจากการอิ่มเร็วขึ้น

4.การผ่าตัดกระเพาะ (Bariatric Surgery)

  • เหมาะกับคนไข้ BMI ≥ 35 หรือ BMI ≥ 30 ที่มีโรคร่วมรุนแรง (เช่น เบาหวาน, OSA, ความดัน)
  • กรณีที่ใช้วิธีอื่นแล้วยังควบคุมน้ำหนักหรือโรคร่วมไม่ได้
  • หมอจะปรึกษาร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ

ปัจจัยอื่น ๆ ที่หมอจะดูด้วย

  • สุขภาพจิตและความพร้อมของคนไข้
  • โรคประจำตัว ยาที่ใช้ประจำ
  • งบประมาณและความสะดวกของคนไข้
  • ความคาดหวังเรื่องการลดน้ำหนัก

กินไม่หยุด กินดึก นึกอยากกินตลอดเวลา ปกติไหม

หมอขอตอบในเชิงพฤติกรรมนะคะ ถ้าคนไข้มีอาการ กินเยอะ กินไม่หยุด ไม่อิ่มง่าย แถมรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้จะพยายามแล้ว และกังวลว่าอาจจะเป็นโรค “กินไม่หยุด” หรือไม่ หมออยากให้ทราบว่ามี “ภาวะทางจิตเวช” ที่เกี่ยวกับการกินอยู่ค่ะ เช่น

Binge Eating Disorder (BED)

เป็นโรคกลุ่มหนึ่งในความผิดปกติของการกิน (Eating disorder)

  • ลักษณะคือ “กินมากผิดปกติในช่วงเวลาสั้น ๆ”
  • ควบคุมตัวเองไม่ได้ขณะกิน หรือรู้สึกผิด-ละอายหลังจากกินแล้ว
  • กินเร็ว กินจนรู้สึกอึดอัด กินแม้จะไม่หิว กินคนเดียวเพราะอาย
  • อาจยัง BMI ไม่สูงมาก แต่ก็ส่งผลต่อสุขภาพจิตและร่างกาย

Emotional Eating และ Night Eating Syndrome

  • กินเพราะเครียด เหงา วิตกกังวล หรือกินตอนกลางคืนบ่อย ๆ
  • ส่วนนึงเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความเครียด

วิธีที่หมอจะแนะนำ

1. ประเมินว่าคนไข้มีภาวะผิดปกติจริงหรือไม่

  • หมอจะซักประวัติละเอียด เกี่ยวกับรูปแบบการกิน อารมณ์ก่อน-หลังการกิน
  • ถามพฤติกรรม เช่น กินกลางคืนบ่อยไหม กินตอนเครียดหรือเปล่า
  • ถามว่ารู้สึกผิด หรือพยายามหยุดแต่หยุดไม่ได้ไหม

2. ปรับพฤติกรรมร่วมกับการรักษาทางจิตใจ

  • หมอจะสนับสนุนให้คนไข้ พบจิตแพทย์ หรือจิตวิทยาคลินิก
    • ใช้วิธี CBT (Cognitive Behavioral Therapy) ช่วยฝึกสังเกตความคิดและอารมณ์ก่อนกิน หาวิธีรับมือกับความอยาก
    • ฝึก Mindfulness, การรับรู้ความรู้สึกตัวเอง, การปรับนิสัยการกิน
  • ถ้ามีความรู้สึกซึมเศร้า วิตกกังวลร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องรักษาร่วมกัน

3. วางแผนการกินและจดบันทึก

  • หมอจะให้ “จดไดอารี่อาหาร” และบันทึกอารมณ์ก่อน-หลังการกิน
  • ช่วยให้เห็น Pattern และลดการกินตามอารมณ์

4. สอนเทคนิคควบคุมตนเอง

  • ฝึกแบ่งอาหาร, กินช้า, วางช้อนบ่อย ๆ
  • เลี่ยงสถานการณ์ล่อใจ เช่น ตุนขนมเอาไว้ใกล้ตัว
  • หากิจกรรมแทนการกิน (เดินเล่น อ่านหนังสือ อาบน้ำ ฟังเพลง ฯลฯ)

5. กรณีที่อาการรบกวนชีวิต หรือควบคุมไม่ได้

  • หมอจะแนะนำให้ “รับคำปรึกษา” แบบเป็นทางการ
  • ในบางกรณีที่จำเป็น อาจใช้ยากลุ่มช่วยลดความอยากอาหาร หรือยาคุมโรคทางจิตเวช ร่วมด้วย
  • ยัง ไม่พิจารณาผ่าตัด หาก BMI ไม่ถึงเกณฑ์และยังไม่มีโรคร่วมร้ายแรง

ถ้าคนไข้คิดว่าอาจมีปัญหาแนวนี้ แนะนำให้จดว่าใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีวันที่ “หลุด control” แบบนี้กี่วัน กินโดยไม่รู้ตัว กินเร็ว หรือกินจนจุกบ้างไหม แล้วค่อยเอาข้อมูลมาคุยกับหมอได้เลยนะคะ หมอจะช่วยประเมินให้ละเอียดค่า ❤️

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย

บริการของคลินิก