หลายคนเชื่อว่าปัญหากรามใหญ่ หน้าเหลี่ยม ต้องแก้ด้วยการผ่าตัดกระดูกเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว…สาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าของเราดูบานออก อาจมาจาก ‘กล้ามเนื้อ’ ที่เราใช้งานทุกวันโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปไขความลับของ “โบท็อกกราม” หัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น แต่สามารถเปลี่ยนกรอบหน้าที่ดูแข็งและใหญ่ ให้กลับมาเรียวสวยได้อย่างน่าทึ่ง มาดูกันว่าหลักการทำงานเป็นอย่างไร และจะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ที่มั่นใจกว่าเดิมได้อย่างไร

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังฉีดโบท็อกกราม
| คนที่ยังไม่เคยรับบริการ | คนที่รับบริการแล้ว |
|---|---|
| รู้สึกกังวลทุกครั้งที่ถ่ายรูป กลัวกรามจะดูใหญ่ | มั่นใจในทุกมุมมอง ถ่ายรูปได้อย่างสบายใจ |
| มักถูกบอกว่าหน้าดูแข็ง หรือดูดุ ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น | ใบหน้าดูนุ่มนวล อ่อนโยน คนรอบข้างทักว่าดูสวยขึ้น |
| ต้องใช้เทคนิคถ่ายรูปให้ดูหน้าเรียว เช่น เอียงหน้า ยกกล้องสูง | ถ่ายรูปมุมไหนก็มั่นใจ ไม่ต้องกังวลว่ากรามจะดูใหญ่ |
| รู้สึกว่ากรอบหน้าไม่เป็น V-shape เท่าที่อยากได้ | รู้สึกดีที่กรอบหน้ากลับมาเรียวสวย สมดุล |
| มองกระจกทีไรก็เห็นแต่กรามที่ไม่อยากให้ใหญ่ | ส่องกระจกแล้วยิ้มได้กว้างขึ้น มีความสุขกับรูปหน้าที่สมดุล |
| ปวดขากรรไกรจากการขบฟัน กัดฟันแน่นตอนหลับ | อาการปวดขากรรไกรดีขึ้น หลับสบายขึ้น |
โบท็อกกราม เหมือนการส่งกล้ามเนื้อไป ‘พักร้อน’
กล้ามเนื้อกรามที่ทำงานหนักจากการเคี้ยวและการขบฟัน ก็เหมือนพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาทุกวันจนร่างกายล่ำสันแข็งแรง โบท็อกทำหน้าที่เหมือนการอนุมัติใบลาพักร้อน โดยเข้าไปบอกให้กล้ามเนื้อมัดนั้น “หยุดทำงานหนักชั่วคราว” เมื่อกล้ามเนื้อได้พักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องเกร็งตัวตลอดเวลา มันก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายและกลับสู่ขนาดที่เล็กลงเองตามธรรมชาติ ทำให้กรอบหน้าที่เคยดูใหญ่และแข็ง กลับมาดูเรียวซอฟต์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ

ปัญหากรามใหญ่ในแต่ละสาเหตุ
| สาเหตุ | รายละเอียด | วิธีชะลอ | ช่วงอายุที่พบ |
|---|---|---|---|
| พฤติกรรมขบฟัน/กัดฟัน | การขบฟันตอนหลับ หรือกัดฟันแน่นตอนตื่น ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักและใหญ่ขึ้น | จัดการความเครียด, สวมอุปกรณ์ป้องกันฟัน, ฉีดโบท็อกกราม | 25 ปีขึ้นไป |
| การเคี้ยวอาหารแข็ง | เคี้ยวหมากฝรั่ง, อาหารเหนียว, เนื้อแข็งเป็นประจำ | หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องเคี้ยวหนัก, เปลี่ยนเป็นอาหารนุ่ม | ทุกวัย |
| พันธุกรรม | เกิดมามีกล้ามเนื้อกรามใหญ่ตามธรรมชาติ หรือโครงกระดูกกรามกว้าง | ฉีดโบท็อกกรามเป็นประจำเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ | ตั้งแต่เยาว์วัย |
| ความเครียด | ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อกรามตึงเครียดและพัฒนามากขึ้น | ผ่อนคลายด้วยการนวด, ออกกำลังกาย, ฉีดโบท็อกกราม | 30 ปีขึ้นไป |
ต้องใช้กี่ยูนิต ประเมินเบื้องต้นสำหรับแต่ละจุด
- ลดกราม (หน้าเรียว) 25-50 ยูนิตต่อข้าง
- ลิฟต์กรอบหน้า 20-30 ยูนิต
- กรามหนา + ลิฟต์กรอบหน้า (แพ็คเกจ) 70-100 ยูนิตทั้งหมด

หมายเหตุ จำนวนยูนิตที่แน่นอนขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยดูจากขนาดของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรง และความต้องการของแต่ละบุคคล
xychart-beta
title "ปริมาณการฉีดกราม (ต่อข้าง)"
x-axis "เพศ" ["ผู้หญิง", "ผู้ชาย"]
y-axis "ปริมาณ Botox (ยูนิต/ข้าง)" 0 --> 50
bar [25, 35]
ผู้ชายมีโอกาสที่จะใช้จำนวนยูนิตสูงกว่าผู้หญิง เมื่อต้องการปรับรูปหน้าลดขนาดกล้ามเนื้อกราม
ข้อแตกต่างโบท็อกกราม กับ ผ่าตัดเหลากราม
| ประเด็น | โบท็อกกราม | ผ่าตัดกราม |
|---|---|---|
| ลักษณะผลลัพธ์ | ชั่วคราว (Temporary) | ถาวร (Permanent) |
| ค่าใช้จ่าย | จ่ายเป็นครั้งๆ | จ่ายก้อนใหญ่ครั้งเดียว |
| การคงผลลัพธ์ | ต้องทำซ้ำทุก 4-6 เดือน | ทำครั้งเดียวจบ |
| ความยืดหยุ่น | สูง (ไม่พอใจก็หยุดทำได้) | ต่ำ (เปลี่ยนแปลงถาวร) |
| เหมาะกับใคร | คนที่กังวลเรื่องกล้ามเนื้อ, อยากลอง, กลัวการผ่าตัด | คนที่แน่ใจ, มีปัญหากระดูกใหญ่แต่กำเนิด, ต้องการผลถาวร หรือมีปัญหารูปหน้าอื่นร่วม |
xychart-beta
title "คนไข้เข้ารับการฉีดลดกราม"
x-axis "ช่วงอายุ (ปี)" ["20-30", "31-40", "41-50", "51-60"]
y-axis "จำนวนคนไข้ (%)" 0 --> 50
bar [30, 40, 25, 5]
อ้างอิงคนไข้ดีเลิฟเวอรี่คลินิก ตั้งแต่ปี 2022-2025

เป้าหมายคือหน้าเรียว โปรแกรมเดียวอาจไม่พอ
โปรแกรมโบท็อกซ์
- ลดกล้ามเนื้อกราม
- ใบหน้าเรียวขึ้น
- กรอบหน้าชัด

เลเซอร์ยกกระชับ
- ยกกระชับหน้า
- สลายแฟต
- กระตุ้นคอลลาเจน

โปรแกรมฟิลเลอร์
- เติมคางเรียว
- สร้างกรอบหน้า
- ปรับสมดุลใบหน้า

ฉีดโบท็อกกรามอันตรายไหม ความจริงที่ต้องรู้
การฉีดโบท็อกกรามมีความปลอดภัยสูงมาก หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และ FDA และฉีดในคลินิกที่ได้มาตรฐาน อันตรายส่วนใหญ่มักเกิดจากการฉีดกับหมอกระเป๋า ใช้ยาหิ้ว หรือยาที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าเบี้ยว กรามยุบผิดรูป หรือเคี้ยวอาหารลำบากถาวร
ข้อควรระวังสำคัญ:
- คนที่อายุมากและมีผิวหย่อนคล้อย ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการลดกรามอาจทำให้แก้มดูตอบมากขึ้น
- กล้ามเนื้อกรามช่วยพยุงผิวหน้าส่วนล่าง การฉีดมากเกินไปในคนที่อายุมากอาจทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น
เช็กให้ชัวร์ โบท็อกแท้ vs โบท็อกปลอม
| ✅ โบท็อกของแท้ | ❌ โบท็อกปลอม (ความเสี่ยงที่เจอ) |
|---|---|
| สลายได้ 100% ไม่ตกค้างในร่างกาย | อาจสลายไม่หมด ทำให้เกิดการตกค้างเป็นพังผืด |
| ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ เคี้ยวอาหารได้ปกติ | เสี่ยงเคี้ยวลำบาก กรามยุบผิดรูป หรือหน้าเบี้ยว |
| ออกฤทธิ์ตรงจุด แม่นยำ ไม่กระจายไปส่วนอื่น | ควบคุมการกระจายตัวไม่ได้ ทำให้ผลข้างเคียงรุนแรง |
| บริสุทธิ์สูง โอกาสเกิดอาการดื้อยาน้อยมาก | มีสิ่งเจือปน ทำให้เกิดอาการแพ้และเสี่ยงดื้อยาสูง |
| ตรวจสอบได้ มีเอกสารกำกับและเช็กกับบริษัทผู้นำเข้าได้ | ไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ เป็นยาหิ้วหรือยาปลอม |
คุ้มไหม ฉีดครั้งหนึ่งอยู่ได้นานแค่ไหน
โดยทั่วไปผลลัพธ์ของโบท็อกกรามจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับ
- ยี่ห้อและคุณภาพของโบท็อก
- จำนวนยูนิตที่ใช้
- ขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกราม
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต (การเคี้ยวอาหารแข็ง ขบฟัน)
- การดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล
สำหรับการฉีดต่อเนื่อง: หากฉีดสม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ปรับตัวและไม่กลับมาใหญ่เท่าเดิม ทำให้ระยะห่างระหว่างการฉีดยืดออกได้นานขึ้น บางรายสามารถห่างได้ถึง 8-12 เดือน
เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในการปรับรูปหน้าให้เรียว คืนความมั่นใจ และแก้ปัญหาการขบฟัน ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดโบท็อกกราม
| ข้อควรรู้ | คำอธิบาย |
|---|---|
| เจ็บน้อยมาก | ใช้เข็มเบอร์เล็กมาก ไม่จำเป็นต้องแปะยาชา อาจใช้แค่การประคบน้ำแข็งเพื่อลดความรู้สึกเจ็บ |
| ห้ามนอนราบ 4 ชั่วโมง | เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยากระจายไปในตำแหน่งที่ไม่ต้องการ ควรนั่งหรือนอนโดยยกศีรษะสูง |
| งดนวดหน้า/ทำเลเซอร์ | ควรงดกิจกรรมที่เกี่ยวกับความร้อน การกด หรือการนวดบริเวณใบหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์ |
| ออกกำลังกายได้เมื่อไหร่ | งดออกกำลังกายหนัก 48 ชั่วโมง สามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้หลังฉีด 24 ชั่วโมง |
| เคี้ยวอาหารได้ไหม? | เคี้ยวได้ปกติค่ะ แต่อาจรู้สึกว่ากรามนิ่มลงเล็กน้อย ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวมากในสัปดาห์แรก |
| ต้องทานยาพิเศษไหม? | ไม่ต้องค่ะ เพียงแค่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็เพียงพอแล้ว |
| เทียบกับการร้อยไหม | โบท็อกกราม เหมาะกับคนกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ส่วน ร้อยไหม เหมาะกับคนผิวหย่อนคล้อยที่ต้องการยกกระชับ บางกรณีอาจทำร่วมกันได้ |
| เทียบกับการศัลยกรรม | โบท็อกกราม: ลดขนาดกล้ามเนื้อ ไม่ต้องผ่าตัด ผลชั่วคราว (4-6 เดือน) ศัลยกรรมเหลากราม: ตัดกระดูก ผลถาวร แต่เสี่ยงสูง พักฟื้นนาน และราคาสูงกว่ามาก |
| สลับยี่ห้อได้ไหม? | ไม่มีปัญหาค่ะ สิ่งสำคัญคือการใช้ยาของแท้ที่ผ่าน อย. และฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตราบใดที่ยาได้มาตรฐาน ความปลอดภัยและผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน |

เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกกราม
- ฉีดแล้วเคี้ยวอาหารไม่ได้ ไม่จริง หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะใช้ปริมาณยาที่เหมาะสม คุณยังเคี้ยวอาหารได้ปกติ แต่อาจรู้สึกว่ากรามนิ่มลงเล็กน้อยในช่วงแรก
- หยุดฉีดแล้วกรามจะใหญ่กว่าเดิม ไม่จริง เมื่อโบท็อกหมดฤทธิ์ กล้ามเนื้อจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนฉีด ไม่ได้ทำให้ใหญ่กว่าเดิม
- ฉีดโบท็อกกรามแล้วจะดื้อยา การดื้อยาเกิดขึ้นได้น้อยมาก มักเกิดจากการฉีดบ่อยเกินไป (ห่างกันน้อยกว่า 3 เดือน) หรือใช้ยาที่ไม่มีคุณภาพ การเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม (4-6 เดือน) จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
- ฉีดกรามแล้วหน้าจะเบี้ยว ไม่จริง หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ประเมินกล้ามเนื้อทั้งสองข้างอย่างถูกต้อง และใช้ปริมาณยาที่สมดุล หน้าจะเรียวสวยและสมมาตร
- คนแก่ฉีดโบท็อกกรามไม่ได้ ไม่จริงทั้งหมด แต่ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพราะกล้ามเนื้อกรามช่วยพยุงผิว หากผิวหย่อนคล้อยมากแล้ว การฉีดอาจทำให้แก้มดูตอบมากขึ้น แพทย์จะประเมินและใช้ยาในปริมาณที่น้อยลง

ผลลัพธ์การฉีดโบท็อกกรามในแต่ละช่วงเวลา
| สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีหลังทำ | สิ่งที่เกิดขึ้นหลังทำ 2-4 สัปดาห์ | สิ่งที่จะไม่ควรเกิดขึ้น |
|---|---|---|
| อาจมีรอยแดงหรือตุ่มนูนเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองใน 1-2 ชั่วโมง | กล้ามเนื้อกรามเริ่มนิ่มลง สัมผัสได้ว่ากรามเล็กลง | มีรอยบุ๋ม รอยนูน |
| ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของขนาดกราม | กรอบหน้าเริ่มเรียวชัดเจน มองเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดในรูปถ่าย | ปวดขากรรไกรมากแบบผิดปกติ |
| สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ | การปวดขากรรไกรจากการขบฟันดีขึ้นหรือหายไป | แก้มตอบหรือหย่อนลงมามากผิดปกติ |
| อาจรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ฉีดเล็กน้อย | ผลลัพธ์เต็มที่ หน้าเรียว V-shape ชัดเจน | อาการบวมช้ำรุนแรง หรือเจ็บปวดไม่หาย |

ทำไมต้องที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case ละเอียด ไม่เร่งรีบ
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน ไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส
- จ่ายสบายเลือกได้ มีระบบมัดจำ แบ่งจ่ายได้ มี Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง รวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่ใช่ดาราหรือ Influencer
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้ แพทย์ทุกท่านมีใบอนุญาตและประสบการณ์ด้านโบท็อกกราม
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกผ่านการรับรอง มีที่จอดรถฟรี
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ ข้อมูลรวดเร็ว เช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวผ่าน อย. ไทยและตรวจสอบได้
- แสดงขั้นตอนการผสมยา ให้เห็นการผสมโบท็อกกับน้ำเกลือ โปร่งใสทุกขั้นตอน
ราคาโบท็อกกรามเท่าไหร่


| โปรแกรม | ราคา |
|---|---|
| NEURONOX 50 UNIT | 4,999.- |
| NEURONOX 100 UNIT | 7,999.- |
| AESTOX 50 UNIT | 4,999.- |
| AESTOX 100 UNIT | 7,999.- |
| HUGEL 50 UNIT | 5,999.- |
| HUGEL 100 UNIT | 9,999.- |
| XEOMIN 50 UNIT | 9,000.- |
| XEOMIN 100 UNIT | 17,000.- |
| DYSPORT 120 UNIT | 12,000.- |
| DYSPORT 300 UNIT | 19,000.- |
| BOTOX 50 UNIT | 12,900.- |
| BOTOX 100 UNIT | 19,999.- |
โปรแกรมโบท็อกสำหรับฉีดกราม
- MBTOX/Nabota / Neuronox (เกาหลี) – ออกฤทธิ์ไว กระจายตัวดี เหมาะกับกล้ามเนื้อขนาดใหญ่
- Allergan / Botox (อเมริกา) – มาตรฐานสูง เป็นที่นิยม ความบริสุทธิ์สูง
- Dysport (อังกฤษ) – กระจายตัวกว้าง ผลเป็นธรรมชาติ
- Xeomin (เยอรมัน) – บริสุทธิ์สูง เสี่ยงดื้อยาน้อย

รีวิว Botulinum Toxin
ที่ D’ Lovevery Clinic เรามีโบท็อกซ์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกในราคาที่สมเหตุสมผล พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบัน คุณสามารถสอบถามราคาและโปรโมชั่นล่าสุดได้โดยตรงจากคลินิก
จองคิวปรึกษาแพทย์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย
- สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง โทร 064-424-6526
- สาขา Crystal Design Center (CDC) โทร 095-236-4546


สำหรับคำถามที่ว่าปวดไมเกรนบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคอื่นไหม หมอต้องขอตอบตามตรงว่า “มีความเสี่ยงเชื่อมโยงกับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้ค่ะ” โดยเฉพาะคนที่มีอาการเตือน (Aura) เช่น เห็นแสงวูบวาบก่อนปวด เพราะไมเกรนไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความเจ็บปวด แต่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดและการอักเสบในสมอง ข้อมูลทางการแพทย์พบว่าการปล่อยให้ปวดเรื้อรังโดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจเพิ่มโอกาสเกิดภาวะเส้นเลือดตีบหรืออุดตันได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าค่ะ
สิ่งที่หมอห่วงที่สุดคือ “อย่าปล่อยให้ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าทนไหว” เพราะยิ่งทน อาการยิ่งแย่ และความเสี่ยงก็จะยิ่งสะสมค่ะ ระหว่างทางนี้เราต้องรีบหาทางลดความรุนแรงและความถี่ของการปวดให้ได้มากที่สุด การเข้ามารักษาเพื่อคุมอาการไมเกรนให้อยู่หมัด ไม่ใช่แค่เพื่อให้หายปวดสบายตัวในวันนี้ แต่คือการ “ตัดวงจรความเสี่ยง” ที่จะนำไปสู่โรคสมองที่รุนแรงในอนาคต ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่ามาแก้ไขตอนสายนะคะ
ริ้วรอยจากการนอนหลับ (Sleep Lines) คือ รอยเส้นแนวตั้งหรือแนวทแยงบนใบหน้า ที่เกิดจากการที่ ผิวถูกกดทับและเสียดสีกับหมอนเป็นเวลานาน โดยเฉพาะท่านอนตะแคง ซึ่งแตกต่างจากริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าทั่วไป โดย Botox และ Filler ช่วยได้ แต่อาจไม่ใช่วิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากริ้วรอยประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อโดยตรง ดังนั้น การป้องกันจึงสำคัญกว่า ด้วยการ ปรับท่านอนเป็นนอนหงาย เลือกใช้หมอนที่เหมาะสม และบำรุงผิวให้แข็งแรงสม่ำเสมอ เพื่อคงความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าค่ะ
แพทย์ทั่วโลกเป็นที่ทราบกันดีว่า ริ้วรอยแนวตั้งหรือแนวทแยงจากการนอนหลับนั้นรักษายากกว่าด้วย Botox หรือ Filler เนื่องจากไม่ใช่ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าโดยตรง ใครที่กังวลเรื่องนี้หรือชอบแนนตะแคง ลองเลือกหาหมอนที่เหมาะสมกับการนอนดูนะคะ
คือ ออฟฟิศซินโดรม คืออาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่เกิดจาก ท่าทางและการใช้งานหนัก โดยมักจะ เริ่มปวดจากคอบ่าไหล่แล้วลามขึ้นศีรษะ ในขณะที่ ไมเกรน เป็นโรคทางสมองที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้มีอาการ ปวดหัวตุ้บๆ ที่ศีรษะข้างเดียวเป็นหลัก และมีอาการอื่นร่วมด้วย ข่าวดีคือ การฉีดโบท็อกซ์สามารถรักษาได้ทั้งสองภาวะ แต่ทำงานในกลไกที่ต่างกันค่ะ ในออฟฟิศซินโดรม โบท็อกซ์จะเข้าไป คลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นก้อนโดยตรง เพื่อลดอาการปวดตึงที่ต้นเหตุ ส่วนในเคสไมเกรน โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ ยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวดในระบบประสาท เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ และเนื่องจากความตึงของกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรม เป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ การรักษาด้วยโบท็อกซ์จึงอาจช่วยลดปัญหาได้ทั้งสองทาง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการ เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และวางแผนการรักษาที่ตรงจุดที่สุดค่ะ
การฉีดโบท็อกซ์ เพื่อแก้ปัญหา หัวเข่าย่นและศอกย่น นั้น อาจช่วยได้บ้าง แต่ผลลัพธ์จะไม่มากและไม่คงทน เนื่องจากบริเวณข้อศอกและหัวเข่าเป็นผิวที่มีการขยับอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีความยืดหยุ่นและมีรอยย่นมากกว่าปกติเป็นธรรมดา อีกทั้งกล้ามเนื้อบริเวณนั้น (เช่น กล้ามเนื้อไตรเซปส์ (Triceps brachii) ที่ข้อศอก) มีการใช้งานอยู่เสมอ การคลายกล้ามเนื้อด้วยโบท็อกซ์จึงอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
สำหรับคนที่มีอายุมากขึ้น การเกิดริ้วรอยหรือรอยพับบริเวณข้อศอกและหัวเข่าเป็นเรื่องปกติค่ะ การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยในบริเวณนี้สามารถทำได้ แต่ ไม่ค่อยคุ้มค่า เนื่องจากผลลัพธ์ไม่คงทนและต้องฉีดซ้ำบ่อยๆ ปกติโบท็อกซ์อยู่นาน 4-6 เดือน แต่ถ้าบริเวณข้อศอก หัวเข่า อาจจะอยู่ได้แค่ 1-2 เดือนเท่านั้น ทำให้ไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่แล้ว คนไข้จะนิยมทำ เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน เพื่อให้ผิวหนังกระชับขึ้น หรือ ลดรอยหมองคล้ำ บริเวณข้อศอกและหัวเข่ามากกว่าค่ะ
หลายคนคงคิดว่าโบท็อกซ์ปลอมก็อาจจะแค่ไม่เห็นผลแค่นั้น หมอบอกเลยว่า ผิดค่ะ! ความจริงแล้ว โบท็อกซ์ปลอมเป็นอันตรายร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิดมาก ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้ ติดเชื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออันตรายถึงชีวิต ดังนั้น ควรเลือกฉีดโบท็อกซ์กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด และสังเกตอาการหลังฉีดอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ อย่าเสี่ยงกับของปลอมเพื่อแลกกับความสวยนะคะ
ตัวเลขความบริสุทธิ์ของ Botox คือปริมาณสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะหมายถึงประสิทธิภาพที่แม่นยำกว่า และความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่า การเลือก Botox ที่มีความบริสุทธิ์สูง จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ปลอดภัย และคุ้มค่า เหมือนกับการเลือกส่วนผสมที่ดีในการทำอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยและคงที่
การดูแลผิวหน้าให้สวยสมบูรณ์แบบและอ่อนเยาว์นั้น ไม่ใช่แค่การดูแลผิวชั้นบนเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่าปัญหาเกิดจากชั้นผิวไหน เพื่อให้หมอเลือกโปรแกรมที่ ตรงจุด เช่น โปรแกรม Sculptra, Profhilo, Radiesse, Thermage FLX, Potenza, Oligio เหมาะกับการปรับปรุงคุณภาพผิวและกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวหนังและไขมันตื้น, โปรแกรม Botox ใช้กับริ้วรอยจากการทำงานของกล้ามเนื้อ, โปรแกรม Ulthera ยกกระชับโครงสร้างลึกถึงชั้น SMAS, และ โปรแกรม Filler ช่วยเสริมสร้างและเติมเต็มโครงสร้างกระดูกและไขมันชั้นลึก การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินปัญหาในแต่ละชั้นผิวอย่างละเอียด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สวยงามและยั่งยืนค่ะ
คือ โบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อเพื่อ “ป้องกันและลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับ” เช่น เวลายักคิ้ว ในขณะที่ ฟิลเลอร์จะทำหน้าที่ “เติมเต็มร่องลึกถาวร” ที่มองเห็นแม้จะทำหน้าเฉยๆ ค่ะ ในหลายกรณี การใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กันจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผากได้อย่างครอบคลุมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนดูอ่อนเยาว์อีกครั้งค่ะ










