
รีวิวโบ ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า

โบนิว คืออะไร
โบนิว เป็นชื่อเรียกใหม่ของ Neuronox (นิวโรน็อกซ์) ถือเป็นหนึ่งในโบท็อกซ์ยี่ห้อแรกๆ จากเกาหลีที่ได้รับการนำเข้ามายังประเทศไทย ด้วยคุณสมบัติเด่นของสายพันธุ์ออริจินัล Hall A-hyper ทำให้โบท็อกซ์ชนิดนี้ได้รับความเชื่อมั่นจากแพทย์และคลินิกความงามมากมาย ในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยโบท็อกซ์ Neuronox ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ประเทศไทย ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล

โบนิว ดียังไง
- ตึงไว: โบนิวมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเส้นประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลง จะเห็นผลได้ตั้งแต่ 2-7 วันหลังฉีด
- ตึงนาน: โบนิวมีประสิทธิภาพในการคงฤทธิ์อยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดและบริเวณที่ฉีด
- ไม่ทำให้ดื้อโบ: โบนิวผลิตจากเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Innovative Aggregation Technology” ทำให้โบนิวมีโครงสร้างที่คงตัว ไม่เกิดการกระจายตัว ส่งผลให้โบนิวออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการดื้อโบ

โบนิวทำงานอย่างไร
Neuronox แตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ในด้านคุณภาพและความปลอดภัยที่ได้รับการรับรอง ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย การเลือกคลินิกหรือสถานที่ฉีดโบท็อกซ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ควรเลือกสถานที่ที่มีมาตรฐานและได้รับการรับรอง เพื่อความมั่นใจในการรักษา
เมื่อแพทย์ทำการฉีดโบนิวเข้าไปในกล้ามเนื้อ โปรตีน Botulinum toxin A จะจับกับตัวรับที่ปลายประสาท ทำให้การส่งสัญญาณจากเส้นประสาทไปยังกล้ามเนื้อถูกยับยั้ง ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัว
การออกฤทธิ์ของ Neuronox ใช้เวลาประมาณ 2-7 วัน และจะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดและบริเวณที่ฉีด

โบนิว มีกี่แบบ
การเรียกหน่วยของการฉีดโบ หลายคนจะทราบดีอยู่แล้ว ซึ่งจะเรียกว่า “ยูนิต” โบนิวมีการทำบรรจุภัณฑ์มาทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่

50 Units (ขวดสีแดง) เหมาะกับการฉีดบริเวณไม่ใหญ่ ปัญหาไม่เยอะ เช่น ลดริ้วรอย Upper face หรือลดกรามในเคสที่กล้ามเนื้อมัดไม่ใหญ่เกินไปก็เพียงพอ

100 Units (ขวดสีฟ้า) เหมาะกับการฉีดในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ หรือต้องการรักษาหลายบริเวณพร้อมกัน ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด

200 Units (ขวดสีส้ม) เหมาะกับการฉีดบริเวณที่มีขนาดกว้าง ต้องการลดกล้ามเนื้อให้เยอะ เช่นลดการปวดบ่า ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม หรือลดขนาดมัดกล้ามเนื้อน่อง
โบนิว ฉีดตรงไหนได้บ้าง
- บริเวณใบหน้า: ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นที่มุมปาก
- บริเวณคอ: ช่วยลดริ้วรอยที่คอและลำคอ
- บ่า ไหล่: ลดการปวด ออฟฟิศซินโดรม
- น่อง: ลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง ทำให้น่องดูเล็กลง ขาเรียวขึ้น
- ลดเหงื่อ: ฉีดลดเหงื่อที่ออกบริเวณฝ่ามือ หรือใต้วงแขนได้
- บริเวณอื่นๆ: ช่วยลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง เช่น ไมเกรน คอเคลียร์ไมโอโทเนีย ภาวะกล้ามเนื้อกระตุกในเด็ก (spasmodic torticollis)



| ตำแหน่ง | ปริมาณยูนิต |
|---|---|
| โบท็อกซ์ลดริ้วรอยหน้าผาก | 15-20 ยูนิต |
| โบท็อกซ์ริ้วรอยหว่างคิ้ว | 6-15 ยูนิต |
| โบท็อกซ์หางตา | 15-20 ยูนิต |
| โบท็อกซ์กราม | 25-30 ยูนิต (ข้างละ) |
| โบท็อกซ์ปีกจมูก | 10-15 ยูนิต |
| โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า | 30-40 ยูนิต |
| โบท็อกซ์ลดเหงื่อรักแร้ | 50-100 ยูนิต (ข้างละ) |
| โบท็อกซ์ลดเหงื่อฝ่ามือฝ่าเท้า | 100-200 ยูนิต (ข้างละ) |
| โบท็อกซ์ลดขนาดกล้ามเนื้อน่อง | 100-200 ยูนิต (ข้างละ) |
หมายเหตุ
- ปริมาณยูนิตที่ใช้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพผิว อายุ ปริมาณริ้วรอย บริเวณที่ฉีด และความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ฉีด
- ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อประเมินปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัย
ข้อควรระวังในการใช้โบนิว
- ต้องตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าคลินิกใช้ของแท้
- ต้องตรวจสอบแพทย์ให้แน่ใจ ว่าเป็นแพทย์ที่มีใบอนุญาต และเป็นแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการฉีดโบปรับบรูปหน้า
- ต้องรับบริการในสถานพยาบาล ที่ได้รับอนุญาต จากกระทรวงสาธารณะสุขเท่านั้น
- ตัวโบนิว ต้องไม่มีราคาถูกเกินจริง ซึ่ง 99% ของโบนิวที่ราคาถูกเกินไป มักจะเป็นของปลอมหรือไม่ได้คุณภาพ ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ได้รับผลข้างเคียงหลายประการ เช่น ไม่เห็นผล ปากเบี้ยว เกิดการอักเสบ ติดเชื้อตามมาได้

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบนิว
- งดยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไดโคลเฟแนก อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีดโบนิว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดรอยช้ำ
- งดอาหารเสริม เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนฉีดโบนิว เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดรอยช้ำ
- งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีดโบนิว
- พักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันฉีด
ขั้นตอนการฉีดโบนิว
- แพทย์ต้องซักประวัติ ปัญหาที่กังวล ประวัติการรับการฉีดโบท็อกซ์ก่อนหน้านี้ แพ้ยาอะไร ควรแจ้งแพทย์ให้รับทราบโดยละเอียด
- แพทย์ประเมินปัญหาผิว ริ้วรอย มัดกล้ามเนื้อ จุดบริเวณที่กังวล พร้อมให้คำอธิบาย ประเมินจำนวนยูนิตที่เหมาะสมกับคนไข้
- คนไข้ที่ไม่เคยฉีด หากกังวลเรื่องความเจ็บ แพทย์จะแนะนำให้แปะยาชา 30 นาที
- แพทย์ทำการรักษา ใช้เวลา 5-10 นาที
- การฉีดลดริ้วรอยจะมีรอยเข็ม และตุ่มๆ หลังฉีด โดยจะหายได้เองใน 30 นาที
- ฟังคำแนะนำจากแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ของคลินิกในการดูแลตัวเองหลังรับบริการ

การดูแลหลังฉีดโบนิว
- หลีกเลี่ยงการนวดหน้า ออกกำลังกายอย่างหนัก อาบน้ำอุ่นจัด และแช่น้ำร้อน อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีดโบนิว
- หลีกเลี่ยงการขยับบริเวณที่ฉีดจนกว่าโบนิวจะออกฤทธิ์เต็มที่
- สังเกตอาการผิดปกติหลังฉีดโบนิว เช่น ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด พูดไม่ชัด กลืนลำบาก หายใจลำบาก หากมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที
โบนิว ราคาเท่าไหร่ มีโปรโมชั่นไหม

ทำไมต้องที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case ละเอียด ไม่เร่งรีบ
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน ไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส
- จ่ายสบายเลือกได้ มีระบบมัดจำ แบ่งจ่ายได้ มี Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง รวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่ใช่ดาราหรือ Influencer
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกผ่านการรับรอง มีที่จอดรถฟรี
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ ข้อมูลรวดเร็ว เช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวผ่าน อย. ไทยและตรวจสอบได้

พร้อมเผยความงามในแบบฉบับของคุณแล้วหรือยัง
ให้ D’ Lovevery Clinic เป็นผู้ช่วยดูแลความงามให้คุณอย่างมั่นใจและปลอดภัย ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ของเราเพื่อประเมินและออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นัดหมายหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- D’ Lovevery Clinic สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง โทร 064-424-6526
- D’ Lovevery Clinic สาขา Crystal Design Center (CDC) โทร 095-236-4546
เรื่องผลลัพธ์ปลายทางไม่ต่างกันมาก คือลดเหงื่อ ลดสาเหตุการเกิดกลิ่น แต่ราคา กับวิธีการรักษานั้นต่างกันอยู่ ตรงนี้แล้วแต่คนไข้ว่าชอบหรือสะดวกแบบไหนมากกว่ากัน การเลือกวิธีลดเหงื่อใต้วงแขนระหว่าง โบท็อกซ์และเลเซอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ค่ะ การฉีดโบท็อกซ์ให้ ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ลดเหงื่อได้ถึง 80-90% ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ ผลลัพธ์อยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 6-12 เดือน จึงต้องฉีดซ้ำ ส่วนการทำเลเซอร์ลดเหงื่ออย่าง miraDry ให้ โดยทำลายต่อมเหงื่อและกลิ่นได้ตั้งแต่ 1-2 ครั้ง ลดเหงื่อได้เฉลี่ย 70-80% แต่มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงกว่า การปรึกษาแพทย์ผู้จะช่วยให้คนไข้เลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด เพื่อแก้ปัญหาเหงื่อใต้วงแขนได้อย่างมั่นใจค่ะ
สำหรับคำถามที่ว่าปวดไมเกรนบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคอื่นไหม หมอต้องขอตอบตามตรงว่า “มีความเสี่ยงเชื่อมโยงกับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้ค่ะ” โดยเฉพาะคนที่มีอาการเตือน (Aura) เช่น เห็นแสงวูบวาบก่อนปวด เพราะไมเกรนไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความเจ็บปวด แต่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดและการอักเสบในสมอง ข้อมูลทางการแพทย์พบว่าการปล่อยให้ปวดเรื้อรังโดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจเพิ่มโอกาสเกิดภาวะเส้นเลือดตีบหรืออุดตันได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าค่ะ
สิ่งที่หมอห่วงที่สุดคือ “อย่าปล่อยให้ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าทนไหว” เพราะยิ่งทน อาการยิ่งแย่ และความเสี่ยงก็จะยิ่งสะสมค่ะ ระหว่างทางนี้เราต้องรีบหาทางลดความรุนแรงและความถี่ของการปวดให้ได้มากที่สุด การเข้ามารักษาเพื่อคุมอาการไมเกรนให้อยู่หมัด ไม่ใช่แค่เพื่อให้หายปวดสบายตัวในวันนี้ แต่คือการ “ตัดวงจรความเสี่ยง” ที่จะนำไปสู่โรคสมองที่รุนแรงในอนาคต ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่ามาแก้ไขตอนสายนะคะ
ริ้วรอยจากการนอนหลับ (Sleep Lines) คือ รอยเส้นแนวตั้งหรือแนวทแยงบนใบหน้า ที่เกิดจากการที่ ผิวถูกกดทับและเสียดสีกับหมอนเป็นเวลานาน โดยเฉพาะท่านอนตะแคง ซึ่งแตกต่างจากริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าทั่วไป โดย Botox และ Filler ช่วยได้ แต่อาจไม่ใช่วิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากริ้วรอยประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อโดยตรง ดังนั้น การป้องกันจึงสำคัญกว่า ด้วยการ ปรับท่านอนเป็นนอนหงาย เลือกใช้หมอนที่เหมาะสม และบำรุงผิวให้แข็งแรงสม่ำเสมอ เพื่อคงความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าค่ะ
แพทย์ทั่วโลกเป็นที่ทราบกันดีว่า ริ้วรอยแนวตั้งหรือแนวทแยงจากการนอนหลับนั้นรักษายากกว่าด้วย Botox หรือ Filler เนื่องจากไม่ใช่ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าโดยตรง ใครที่กังวลเรื่องนี้หรือชอบแนนตะแคง ลองเลือกหาหมอนที่เหมาะสมกับการนอนดูนะคะ
คือ ออฟฟิศซินโดรม คืออาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่เกิดจาก ท่าทางและการใช้งานหนัก โดยมักจะ เริ่มปวดจากคอบ่าไหล่แล้วลามขึ้นศีรษะ ในขณะที่ ไมเกรน เป็นโรคทางสมองที่ไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้มีอาการ ปวดหัวตุ้บๆ ที่ศีรษะข้างเดียวเป็นหลัก และมีอาการอื่นร่วมด้วย ข่าวดีคือ การฉีดโบท็อกซ์สามารถรักษาได้ทั้งสองภาวะ แต่ทำงานในกลไกที่ต่างกันค่ะ ในออฟฟิศซินโดรม โบท็อกซ์จะเข้าไป คลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัวเป็นก้อนโดยตรง เพื่อลดอาการปวดตึงที่ต้นเหตุ ส่วนในเคสไมเกรน โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ ยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวดในระบบประสาท เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ และเนื่องจากความตึงของกล้ามเนื้อจากออฟฟิศซินโดรม เป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ การรักษาด้วยโบท็อกซ์จึงอาจช่วยลดปัญหาได้ทั้งสองทาง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการ เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และวางแผนการรักษาที่ตรงจุดที่สุดค่ะ
การฉีดโบท็อกซ์ เพื่อแก้ปัญหา หัวเข่าย่นและศอกย่น นั้น อาจช่วยได้บ้าง แต่ผลลัพธ์จะไม่มากและไม่คงทน เนื่องจากบริเวณข้อศอกและหัวเข่าเป็นผิวที่มีการขยับอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีความยืดหยุ่นและมีรอยย่นมากกว่าปกติเป็นธรรมดา อีกทั้งกล้ามเนื้อบริเวณนั้น (เช่น กล้ามเนื้อไตรเซปส์ (Triceps brachii) ที่ข้อศอก) มีการใช้งานอยู่เสมอ การคลายกล้ามเนื้อด้วยโบท็อกซ์จึงอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
สำหรับคนที่มีอายุมากขึ้น การเกิดริ้วรอยหรือรอยพับบริเวณข้อศอกและหัวเข่าเป็นเรื่องปกติค่ะ การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยในบริเวณนี้สามารถทำได้ แต่ ไม่ค่อยคุ้มค่า เนื่องจากผลลัพธ์ไม่คงทนและต้องฉีดซ้ำบ่อยๆ ปกติโบท็อกซ์อยู่นาน 4-6 เดือน แต่ถ้าบริเวณข้อศอก หัวเข่า อาจจะอยู่ได้แค่ 1-2 เดือนเท่านั้น ทำให้ไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่แล้ว คนไข้จะนิยมทำ เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน เพื่อให้ผิวหนังกระชับขึ้น หรือ ลดรอยหมองคล้ำ บริเวณข้อศอกและหัวเข่ามากกว่าค่ะ
หลายคนคงคิดว่าโบท็อกซ์ปลอมก็อาจจะแค่ไม่เห็นผลแค่นั้น หมอบอกเลยว่า ผิดค่ะ! ความจริงแล้ว โบท็อกซ์ปลอมเป็นอันตรายร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิดมาก ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงถึงชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้ ติดเชื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออันตรายถึงชีวิต ดังนั้น ควรเลือกฉีดโบท็อกซ์กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด และสังเกตอาการหลังฉีดอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ อย่าเสี่ยงกับของปลอมเพื่อแลกกับความสวยนะคะ
ตัวเลขความบริสุทธิ์ของ Botox คือปริมาณสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะหมายถึงประสิทธิภาพที่แม่นยำกว่า และความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่า การเลือก Botox ที่มีความบริสุทธิ์สูง จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ปลอดภัย และคุ้มค่า เหมือนกับการเลือกส่วนผสมที่ดีในการทำอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยและคงที่
ดีเลิฟเวอรี่คลินิก จะมาสรุปคำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดหรือเลเซอร์จากคลินิกของเรานะคะ เพื่อให้คุณลูกค้าเข้าใจและดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ โดยรวมแล้ว การดูแลหลังทำมีความแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ สำหรับหัตถการกลุ่มฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรือ Biostimulator ส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้งดแต่งหน้าประมาณ 4-24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกดทับ การติดเชื้อ หรือการกระจายตัวของยา ส่วนกลุ่มเลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์ CO2 ที่มีแผลตกสะเก็ด จะต้องงดแต่งหน้าไปเลยจนกว่าสะเก็ดจะหลุดและผิวสมานตัวดี ซึ่งอาจใช้เวลา 7-14 วันเลยค่ะ และไม่ว่าจะทำหัตถการใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงการทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนค่ะ หากคุณลูกค้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือมีอาการผิดปกติหลังทำหัตถการ อย่าลังเลที่จะติดต่อสอบถามแอดมินหรือคุณหมอได้เลยนะคะ เรายินดีดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดค่ะ











