จุดเด่นสำคัญของ Radiesse
- เพิ่มคอลลาเจน TYPE 1
- เพิ่มคอลลาเจน TYPE 3
- เพิ่มความยืดหยุ่นด้วย Elastin
- เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย Proteoglycan
- เติมอาหารผิวด้วย Angiogenesis
ผิวของเรามีคอลลาเจนและอีลาสตินที่ร่างกายผลิตขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งทำหน้าที่ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน และกระจ่างใส อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอายุมากขึ้น ปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินจะลดลง รวมถึงสารน้ำหล่อเลี้ยงผิวและความสามารถในการนำสารอาหารมาบำรุงเซลล์ผิวก็ลดลงด้วย ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย ผิวดูหมองคล้ำ แห้งกร้าน และไม่สดใส ดังนั้น เราจึงควรตรวจสอบสภาพผิวของตนเองอยู่เสมอ เพื่อดูแลและบำรุงผิวให้คงความอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอยู่เสมอ

Radiesse คืออะไร
Radiesse (เรเดียส) เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ประกอบด้วย CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ซึ่งช่วยเติมเต็มวอลุ่มให้ผิวได้ทันทีและฟื้นฟูผิวได้ถึง 5 องค์ประกอบในระยะยาว จึงเหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวเสื่อมสภาพระดับปานกลางถึงสูง เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก คอ และหลังมือ Radiesse กระตุ้นการสร้างผิวใหม่จากภายในโดยไม่ต้องกังวลถึงผลข้างเคียงสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวถึง 5 องค์ประกอบ ช่วยให้ผิวฟื้นฟูจากภายในสู่ภายนอก
Radiesse เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวที่มีริ้วรอยและหย่อนคล้อย เช่น
- ร่องแก้ม
- ร่องน้ำหมาก
- บริเวณคอ
- หลังมือ
CaHA คืออะไร
การสร้างคอลลาเจนของ Radiesse แตกต่างจากสารกระตุ้นคอลลาเจนอื่นๆ ตรงที่ Radiesse ไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เนื่องจากส่วนประกอบหลักของ Radiesse คือ CaHA หรือแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สารแปลกปลอมที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
CaHA มีการใช้ในทางการแพทย์มานานกว่า 25 ปี และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเข้ากันได้กับร่างกายและสามารถสลายไปตามธรรมชาติได้โดยกลไกปกติของร่างกาย
CaHA ใน Radiesse เป็น Biostimulator ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเอง ปัจจุบันมี Biostimulator หลายประเภทที่ได้รับความนิยม เช่น PLLA (SculptraⓇ), PDO (UltracolⓇ), PDLLA (JuvelookⓇ), PCL (GouriⓇ) และ Calcium Hydroxyapatite (RadiesseⓇ) แต่ละประเภทมีข้อดี ข้อเสีย และวิธีการฉีดที่แตกต่างกัน

ข้อดีของ Radiesse
- ปลอดภัยสูง: CaHA เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูงและเข้ากันได้ดี
- ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ: Radiesse ไม่กระตุ้นการอักเสบเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น อาการบวมแดงหรือปวด
- เห็นผลลัพธ์ทันทีและยาวนาน: Radiesse ช่วยเติมเต็มวอลุ่มให้ผิวได้ทันที และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเปล่งประกายยิ่งขึ้น ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
ข้อเสียของ Radiesse
- ราคาสูงกว่า: Radiesse มีราคาสูงกว่า Biostimulator บางประเภท
- อาจต้องฉีดซ้ำ: เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาจจำเป็นต้องฉีด Radiesse ซ้ำหลายครั้ง
Radiesse ช่วยอะไรบ้าง
Radiesse filler มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องต่างๆ ได้แก่
- เติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก
- ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเต่งตึงมากขึ้น
- ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและเปล่งประกาย

การทำงานของ Radiesse
Radiesse filler ทำงานโดยการเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า นอกจากนี้ Radiesse filler ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเต่งตึงมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลำดับนี้
1. ก่อนการรักษา: ผิวที่มีปัญหา ผิวขาดวอลุ่ม เป็นร่องลึก
2. ระหว่างการรักษา: ฉีด Radiesse เข้าไปเติมเต็มวอลุ่มได้ทันที
3. หลังการรักษาในระยะยาว: CaHA ใน Radiesse กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนรอบๆ ฟิลเลอร์
4. ผลลัพธ์: เกิดโครงสร้างคอลลาเจนช่วยเพิ่มวอลุ่ม เข้ามาแทนที่ฟิลเลอร์ และเกิดการสร้างคอลลาเจนต่อเนื่องไปจนครบกำหนดความเสื่อมของผิว

Radiesse มีกี่รุ่น
Radiesse Filler มี 2 รุ่น ได้แก่
Radiesse Filler
- ใช้ฟื้นฟูริ้วรอยร่องลึก
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ลดปัญหาการสูญเสียไขมันบนใบหน้า
- นิยมใช้ฉีดบริเวณรอยพับ ร่องลึก มือ หรือเนินอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความหนาแน่นของผิว

Radiesse Filler +
- ใช้เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า
- มีส่วนผสมของยาชาเพื่อบรรเทาความเจ็บขณะฉีด
- ออกแบบมาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บใต้ผิวหนัง
Radiesse เหมาะกับใคร
Radiesse filler เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับริ้วรอยและต้องการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
- ผิวหน้าขาดคอลลาเจน ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ไม่มีวอลลุ่ม
- มีริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องมุมปาก
- ผิวหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื้น มีรูขุมขนกว้าง
- มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหลังมือ ลำคอ
- ผิวหนังยุบลง มีรอยแผลเป็น รอยบุ๋ม หรือหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก
- มีอายุ 30 ปีขึ้นไป มีริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย ต้องการมีผิวเด็กและเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว โดยต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์และเพิ่มคอลลาเจนให้ผิว
Radiesse ไม่เหมาะกับใคร
- อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- มีประวัติแพ้แบบรุนแรงหรือประวัติภาวะช็อกจากการแพ้ยาอย่างรุนแรง
- มีประวัติแพ้ยาชา หรือแพ้สารที่เป็นองค์ประกอบใน Radiesse
- มีผิวหนังที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์สูง
- มีการอักเสบของผิวหนังหรือการติดเชื้อใกล้บริเวณที่ทำการรักษา
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติ

Radiesse ฉีดจุดไหนได้บ้าง
Radiesse filler สามารถฉีดได้กับบริเวณต่างๆ บนใบหน้า ได้แก่
- ร่องแก้ม: เส้นข้างแก้มที่อาจมีร่องลึกเพิ่มขึ้นตามอายุ การเติม Radiesse ช่วยทำให้หน้าดูเด็กลงและร่องตื้นขึ้น
- ร่องน้ำหมาก: เส้นที่ลากจากมุมปากลงมาถึงบริเวณคาง การเติม Radiesse ช่วยลดอายุและปรับร่องน้ำหมากให้ดูเยิ่ง
- หน้าแก้ม: บริเวณที่ขาดวอลุ่มเมื่ออายุมากขึ้น การเติม Radiesse ช่วยยกกระชับหน้าเด็กลงและปรับผิวให้ดีขึ้น
- กรอบหน้า: ช่วยทำให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น และช่วยกระชับหน้า
- ขมับ: ช่วยแก้ปัญหาขมับที่ทำให้ดูมีอายุ
- หลังมือ: ช่วยลดอายุและเติมวอลุ่มให้ผิวหนังดูธรรมชาติบนหลังมือ
- เนินอก: ช่วยแก้ปัญหาผิวย่นบริเวณเนินอกที่ทำให้ดูมีอายุ

Radiesse ราคาเท่าไหร่
ราคาของ Radiesse filler จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และแพทย์ที่ทำการรักษา โดยทั่วไปแล้ว ราคาควรจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-40,000 บาท
ไม่ว่าหัตถการใดๆ ก็ตาม ที่มีราคาถูกเกินจริง มักมีอะไรแอบแฝง ซ่อนเร้น โดยที่เราไม่รู้อยู่เสมอๆ
ตัวอย่างผลลัพธ์หลังทำ



เปรียบเทียบ Radiesse กับโปรแกรมอื่น
ฟิลเลอร์ Radiesse มีความแตกต่างจากหัตถการงานผิวอื่นๆ ดังนี้
- โบท็อกซ์: โบท็อกซ์เป็นสารที่ใช้เพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่น ริ้วรอยบริเวณหน้าผากและริ้วรอยร่องปาก ในขณะที่ Radiesse filler เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก
- ไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA): HA เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและเต่งตึง ฟิลเลอร์ HA มีความนุ่มและยืดหยุ่นกว่า Radiesse filler แต่มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า
เปรียบเทียบ Radiesse กับฟิลเลอร์ HA
| คุณสมบัติ | Radiesse | ฟิลเลอร์ HA |
|---|---|---|
| การเติมเต็มปริมาตร | ★★★★ | ★★★★★ |
| อยู่ได้นาน | 2 ปี | 12 ถึง 18 เดือน |
| การคงตัวของปริมาตร | คงอยู่ | ลดลงทีละน้อย |
| การฉีดสลายเมื่อไม่ต้องการ | ไม่ได้ | ได้ ด้วยไฮยาลูโรนิเดส |
| อาการแพ้ | ยังไม่มีรายงาน | มีรายงานแต่น้อยมากในต่างประเทศ |
การเตรียมตัวก่อนทำ Radiesse
ก่อนเข้ารับการฉีด Radiesse ควรปฏิบัติดังนี้
- งดวิตามิน อาหารเสริม และยาที่ทำให้เลือดแข็งตัว เช่น แปะก๊วย กระเทียม และวิตามินอี ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดสครับผิว รวมถึงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมผลัดเซลล์ผิว เพื่อป้องกันการอักเสบหลังฉีด Radiesse
- แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนรับบริการ
- วางแผนการใช้หน้า เพราะหลังทำ อาจจะมีรอยแดงได้บ้างในบางราย
ขั้นตอนการรับบริการ
การฉีด Radiesse โดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้
- การปรึกษาและประเมินสภาพผิว: แพทย์จะประเมินสภาพผิวของคุณและตรวจสุขภาพผิวโดยละเอียด
- การทายาชา: แพทย์จะทายาชาบริเวณที่ต้องการฉีด ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีเพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์
- การฉีด Radiesse: เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว แพทย์จะฉีด Radiesse เข้าใต้ชั้นผิว ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน ขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณ
- การนวดหลังฉีด: หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะนวดบริเวณที่ฉีดเบาๆ เพื่อให้ Radiesse กระจายตัวอย่างทั่วถึง
- รับยา: หากแพทย์ประเมินว่าต้องมีการทานยาเพิ่มเติม
- รับฟังคำแนะนำ การดูแลตัวเองจากเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดก่อนออกจากคลินิก
Radiesse ต้องทำกี่กล่อง กี่หลอด
จำนวนกล่อง Radiesse ที่ต้องการสำหรับแต่ละบริเวณ
| บริเวณ | จำนวนกล่อง |
|---|---|
| ร่องแก้ม | 1-2 กล่อง |
| ร่องน้ำหมาก | 1 กล่อง |
| ขมับ | 1-2 กล่อง |
| หลังมือ | 1-2 กล่อง |
| เนินหน้าอก | 2-3 กล่อง |
| ลำคอ | 1 กล่อง |
หมายเหตุ: จำนวนกล่องที่แท้จริงที่จำเป็นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความรุนแรงของริ้วรอย ปริมาณการสูญเสียปริมาตร และผลลัพธ์ที่ต้องการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดจำนวนกล่องที่เหมาะสมสำหรับคุณปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
การดูแลหลังทำ Radiesse
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ Radiesse ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วย
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือซาวน่า
ข้อควรระวังหลังทำ Radiesse
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ Radiesse ผู้ป่วยควรสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อาการบวมแดงมาก อาการปวดหรือคันบริเวณที่ฉีด หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
- อาการบวมแดง
- อาการปวดหรือคันบริเวณที่ฉีด
- อาการฟกช้ำ
- อาการแพ้
- การติดเชื้อ
ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

Radiesse vs Sculptra
| คุณสมบัติ | Radiesse | Sculptra |
|---|---|---|
| ส่วนประกอบหลัก | Calcium Hydroxyapatite (CaHA) | Poly-L-Lactic Acid (PLLA) |
| กลไกการออกฤทธิ์ | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 |
| เหมาะสำหรับ | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า เติมเต็มริ้วรอย | ฟื้นฟูโครงสร้างผิวเดิม ชะลอริ้วรอย |
| เห็นผล | ทันที | 2-3 สัปดาห์ |
| ผลลัพธ์ที่ชัดเจน | 3-6 เดือน | 3 เดือน |
| ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 2 ปี |
| ความปลอดภัย | ปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ | ปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ |
| ข้อเสีย | ราคาสูงกว่า , อาจต้องฉีดซ้ำ | อาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง, ต้องรอผลลัพธ์นานกว่า |
Radiesse vs Gouri
| คุณสมบัติ | Radiesse | Gouri |
|---|---|---|
| ประเภท | สารกระตุ้นคอลลาเจน | สารกระตุ้นคอลลาเจน |
| เน้น | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า | ฟื้นฟูและแก้ไขผิวเสื่อมสภาพ |
| ส่วนประกอบหลัก | CaHA | PCL |
| วิธีการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน |
| เหมาะสำหรับ | อายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย | อายุ 18 ปีขึ้นไป ผิวเสื่อมสภาพ หย่อนคล้อย |
| ผลลัพธ์หลังฉีด | เห็นผลทันที ผลชัดเจนเต็มที่ใน 3-6 เดือน | เห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ |
| ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 6-12 เดือน |
Radiesse vs Rejuran
| คุณสมบัติ | Radiesse | Rejuran |
|---|---|---|
| ประเภท | สารกระตุ้นคอลลาเจน | Skin Booster |
| เน้น | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า | ฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มน้ำ |
| ส่วนประกอบหลัก | CaHA | Polyneucleotide (PN) |
| วิธีการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และเส้นใย fibroblast |
| เหมาะสำหรับ | อายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย | อายุ 18 ปีขึ้นไป ผิวแห้งกร้าน เสื่อมโทรม |
| ผลลัพธ์หลังฉีด | เห็นผลทันที ผลชัดเจนเต็มที่ใน 3-6 เดือน | เริ่มเห็นผลใน 2-5 วัน ผลชัดเจนใน 4 สัปดาห์ |
| ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 3-6 เดือน |
Radiesse vs Exosome
| คุณสมบัติ | Radiesse | Exosome |
|---|---|---|
| ประเภท | สารกระตุ้นคอลลาเจน | Skin Booster |
| เน้น | เพิ่มวอลลุ่มใบหน้า | ฟื้นฟูผิวจากภายใน |
| ส่วนประกอบหลัก | CaHA | สารชีวโมเลกุลกว่า 1,000 ชนิด |
| วิธีการทำงาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน 5 ประเภท | กระตุ้นและฟื้นฟูเซลล์ผิว |
| เหมาะสำหรับ | อายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวขาดคอลลาเจน มีริ้วรอย | เป็นสิว มีหลุมสิวตื้น ๆ รอยสิว ผิวไม่เรียบเนียน แห้งขาดความชุ่มชื้น |
| ผลลัพธ์หลังฉีด | เห็นผลทันที ผลชัดเจนเต็มที่ใน 3-6 เดือน | เห็นการเปลี่ยนแปลงใน 3-7 วัน ผลชัดเจนหลังทำต่อเนื่อง 5 ครั้ง |
| ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 1 ปี |
Radiesse vs AestheFill
| คุณสมบัติ | Radiesse | Aesthefill |
|---|---|---|
| ส่วนประกอบหลัก | CAHA (แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) | PDLLA (โพลี-D, L-แลคติกแอซิด) |
| กลไกการทำงาน | เติมเต็มปริมาตรทันที + กระตุ้นคอลลาเจน | กระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว |
| ผลข้างเคียง | อาการแดง บวม ช้ำ | อาการแดง บวม ช้ำ |
| การมองเห็นผลลัพธ์ | 7-10 วัน | 1-2 สัปดาห์ |
| ระยะเวลาคงอยู่ | 2 ปี | 2 ปี |
Atelocollagen และ Rh Collagen คือเทคโนโลยีฟื้นฟูผิวขั้นสูงที่แตกต่างกันที่ “แหล่งกำเนิด” ค่ะ โดย Atelocollagen (คอลลาเจนสด) สกัดจากธรรมชาติและตัดส่วนที่ก่อภูมิแพ้ออก เด่นเรื่อง โครงสร้าง Triple Helix ที่สมบูรณ์ ช่วย กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และรักษาหลุมสิว ได้ดีเยี่ยม ส่วน Rh Collagen เป็นคอลลาเจนจาก เทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีโครงสร้าง เหมือนของมนุษย์ 100% จึงให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยสูงสุด (Safety) ไร้ความเสี่ยงจากสัตว์ และมีความเสถียรของตัวยา ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นทางเลือกหลักใน การฟื้นฟูโครงสร้างผิวระดับลึก ของวงการแพทย์ความงามยุคใหม่ค่ะ
Rh Collagen ประเภท Type III ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่พบมากในผิวเด็กทารก
ตามทฤษฎี ไหมน้ำ ที่เติมใต้ตาได้นั้น อยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์จริงค่ะ แต่คนไข้ต้องเข้าใจธรรมชาติของเขาด้วย คือหลังทำจะเห็นผลทันทีก็จริง แต่ ผ่านไป 1 สัปดาห์จะยุบตัวลงก่อน แล้วจึงค่อย ๆ อิ่มฟูขึ้นมาใหม่จากการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจุดนี้อาจทำให้คนไข้แปลกใจได้ ต่างจากฟิลเลอร์ที่ ฉีดเท่าไหร่ได้เท่านั้น (Immediate Result) แล้วค่อย ๆ ยุบตัวลง ตามกาลเวลาค่ะ เวลาหมอแนะนำจึงต้องดูความสบายใจของคนไข้เป็นหลัก ถ้าใครกังวลเรื่องก้อนหรือไม่สบายใจกับฟิลเลอร์ ไหมน้ำก็ถือว่าตอบโจทย์ใต้ตาได้ดี แต่ถ้าใครต้องการ ความเรียบเนียนทันที และรับได้กับการมาเติมปีละครั้ง ฟิลเลอร์ก็ยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม มากกว่าค่ะ
โดยเฉลี่ยของเคสคนไข้หมออยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ในขณะที่ฟิลเลอร์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน สาเหตุเพราะไหมน้ำทำหน้าที่เป็น Biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ ของคนไข้เอง ซึ่งมีความคงทนกว่าสารเติมเต็ม และเหมาะกับคนไข้ที่ต้องการปรับสภาพผิวใต้ตาให้แน่นกระชับ มากกว่าคนที่ต้องการเติมถมร่องลึกมาก ๆ ซึ่งฟิลเลอร์ยังคงเป็นมาตรฐานหลัก (Gold Standard) ในการแก้ปัญหาเบ้าตาลึกค่ะ
ถ้าให้หมอสรุปย่อๆให้ฟังคือ “ร้อยไหม” กับ “ไหมน้ำ” เป็นหัตถการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงค่ะ การร้อยไหมจะเน้นการใช้เส้นไหมจริงๆ เพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้เห็นผลทันที เหมาะกับคนไข้ที่ต้องการแก้ปัญหาแก้มห้อยหรือกรอบหน้าไม่ชัดเจน ในขณะที่ “ไหมน้ำ” เป็นการฉีดสารกระตุ้นเพื่อฟื้นฟูคุณภาพผิวจากภายในให้กลับมาแน่นและอิ่มฟูขึ้น ยกกระชับผิวได้แต่จะไม่ใช่การดึงผิวขึ้น ณ เวลานั้นเลย เหมาะกับคนไข้ที่ผิวบางและขาดคอลลาเจน ผิวเสื่อมต้องการฟื้นฟูระยะยาวค่ะ การจะเลือกทำอะไรนั้นขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้เป็นหลักค่ะ
หน้าทรุด ที่มาพร้อมกับอาการ ขมับตอบ, ถุงใต้ตา, หน้าแก้มแบน, และแก้มตอบ สามารถแก้ไขได้ด้วย ฟิลเลอร์ โดยการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ อ่อนเยาว์ และมีมิติมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ต้องทำโดย แพทย์ผู้มีประสบการณ์จริงๆเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เพราะหากแพทย์ไม่มีประสบการณ์ ประเมินผิดพลาด เน้นการเติมด้วยจำนวนที่เยอะเกินไป แทนที่จะได้ผิวหน้าที่ยกกระชับอ่อนกว่าวัย จะกลายเป็นหน้าอ้วน หน้า Overfield ได้
ดีเลิฟเวอรี่คลินิก จะมาสรุปคำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดหรือเลเซอร์จากคลินิกของเรานะคะ เพื่อให้คุณลูกค้าเข้าใจและดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ โดยรวมแล้ว การดูแลหลังทำมีความแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ สำหรับหัตถการกลุ่มฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรือ Biostimulator ส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้งดแต่งหน้าประมาณ 4-24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกดทับ การติดเชื้อ หรือการกระจายตัวของยา ส่วนกลุ่มเลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์ CO2 ที่มีแผลตกสะเก็ด จะต้องงดแต่งหน้าไปเลยจนกว่าสะเก็ดจะหลุดและผิวสมานตัวดี ซึ่งอาจใช้เวลา 7-14 วันเลยค่ะ และไม่ว่าจะทำหัตถการใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงการทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนค่ะ หากคุณลูกค้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือมีอาการผิดปกติหลังทำหัตถการ อย่าลังเลที่จะติดต่อสอบถามแอดมินหรือคุณหมอได้เลยนะคะ เรายินดีดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดค่ะ
“ไหมน้ำ” คือนวัตกรรมใหม่ที่ใช้การ “ฉีด” สารกระตุ้นคอลลาเจนลงใต้ผิวหนังเพื่อฟื้นฟูให้ผิวกลับมาเต่งตึง กระชับ แลดูอ่อนเยาว์ โดย ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น เหมือนการร้อยไหมแบบเดิมๆ ค่ะ ซึ่งไหมน้ำแต่ละชนิดก็จะมีจุดเด่นต่างกันไป เช่น PLLA (Sculptra) เน้นกระตุ้นคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ, PDLLA (Juvelook) เป็นสูตรไฮบริดที่ทั้งกระตุ้นคอลลาเจนและเติมความชุ่มชื้น, PDO (Ultracol) ช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้ผิวตึงกระชับ และ PCL (Gouri) โดดเด่นเรื่องการลดริ้วรอยและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของคนไข้แต่ละคนค่ะ
หากคนไข้ส่องกระจกแล้วเห็นว่าใต้ตา “เป็นร่องลึกชัดเจน” มีลักษณะยุบตัวลงไป การแก้ไขที่ตรงจุดคือ “การฉีดฟิลเลอร์” เพื่อเข้าไปเติมเต็มร่องนั้นให้ตื้นขึ้นค่ะ แต่ถ้าปัญหาหลักของคนไข้คือ “ผิวใต้ตาบาง” จนมองเห็นเป็นสีคล้ำๆ หรือมี “ริ้วรอยเล็กๆ” เยอะๆ แบบนี้การเลือกทำ “ไหมน้ำ” หรือ Biostimulator เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนาและแข็งแรงขึ้น จะเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากกว่าค่ะ ซึ่งในบางเคสอาจต้องทำทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนะคะ
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ







