HArmonyCa Hybrid Filler นิยามใหม่ของงานผิวสวย 2 พลังในหนึ่งเดียว
As the saying goes, “Time waits for no one.” นี่คือความจริงสากลสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมองว่าการดูแลตัวเองคือ The Ultimate Investment การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่การเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่คือการขัดเกลาผลงานชิ้นเอกที่คุณเป็นอยู่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เมื่อภาพในกระจกเริ่มไม่สอดคล้องกับพลังที่เปี่ยมล้นอยู่ภายใน—กรอบหน้าที่เคยชัดเจนเริ่มเลือนลาง ความกระชับของผิวเริ่มลดลง—นั่นไม่ใช่สัญญาณให้ยอมแพ้ค่ะ แต่มันคือคำเชิญให้คุณเปิดรับ a more strategic, next-generation solution ที่ทำงานสอดประสานไปกับร่างกายของคุณเอง เพื่อมอบผลลัพธ์ที่น่าทึ่งและยาวนาน นี่คือยุคใหม่ของ Truly intelligent aesthetics ค่ะ

HArmonyCa คืออะไร? ทำไมถึงเรียกว่า Hybrid Filler?
HArmonyCa คือสารฉีดบำรุงผิวและปรับโครงสร้างใบหน้ารุ่นใหม่ล่าสุดจากบริษัท Allergan Aesthetics ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ความงามและเป็นผู้ผลิตเดียวกับฟิลเลอร์ Juvederm และสารลดริ้วรอย Botox กล่องม่วงที่เรารู้จักกันดีค่ะ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ HArmonyCa มีความพิเศษและถูกเรียกว่า “Hybrid Filler” ก็เพราะเป็นการรวมตัวของ 2 สสาร (Dual-Effect) ในหลอดเดียวค่ะ นั่นก็คือ:
- Hyaluronic Acid (HA): หรือกรดไฮยาลูรอนิกที่เราคุ้นเคยกันดีในฟิลเลอร์ทั่วไปค่ะ ทำหน้าที่เป็นเหมือน “ตัวเติมเต็ม” ให้ผลลัพธ์การยกกระชับและเพิ่มปริมาตรให้ผิวได้ทันทีหลังฉีด (Immediate Lifting Effect) ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น และยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอีกด้วยค่ะ ใน HArmonyCa จะใช้ HA ที่มีเทคโนโลยี Cross-linked ทำให้มีความคงตัวสูง สามารถพยุงผิวได้ดีค่ะ
- Calcium Hydroxylapatite (CaHA): หรือแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่อยู่ใน Radiesse นั่นเองค่ะ โดยใน HArmonyCa จะอยู่ในรูปแบบของอนุภาคขนาดเล็ก (Microspheres) ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการ Cross-linked ทำหน้าที่เป็น “Biostimulator” หรือตัวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกายค่ะ อนุภาค CaHA นี้จะทำหน้าที่เป็นโครงร่างหรือนั่งร้าน (Scaffold) ให้เซลล์สร้างเส้นใย (Fibroblast) เข้ามาเกาะและผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในระยะยาวค่ะ
ดังนั้น HArmonyCa จึงมอบผลลัพธ์แบบทวีคูณ คือ “เติมเต็มทันทีด้วย HA และกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาวด้วย CaHA” ค่ะ
| คุณสมบัติ | รายละเอียด |
|---|---|
| ความแข็งแรง | • ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรง • ทำให้ใบหน้าดูกระชับได้รูป • ช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้ผิว |
| ความยืดหยุ่น | • ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติ • ช่วยทำให้ผิวดูมีสุขภาพดี • ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น |
| กระจายตัวดี | • กระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เกิดการจับตัวเป็นก้อน • ทำให้ผลลัพธ์เนียนกลมกลืนไปกับผิวเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติ |
| การอุ้มน้ำ | • ทำให้ผิวดูชุ่มชื้น อิ่มฟู มีสุขภาพดี • คงความอ่อนเยาว์ของผิวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว • ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น |
หลักการทำงาน 2 ขั้นตอนของ HArmonyCa
เมื่อแพทย์ฉีด HArmonyCa เข้าสู่ชั้นผิวที่เหมาะสม (บริเวณใต้ผิวหนังชั้นลึก หรือ Subdermal layer) จะเกิดกระบวนการทำงาน 2 ระยะที่ต่อเนื่องกันค่ะ
- ระยะที่ 1: เห็นผลลัพธ์ทันที (Immediate Effect)
- ตัวเจล HA จะเข้าไปเติมเต็มในบริเวณที่ฉีดทันที ทำให้เกิดการยกกระชับ (Lifting) ของผิวที่หย่อนคล้อย ช่วยปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้น และเติมเต็มร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำค่ะ
- ระยะที่ 2: ผลลัพธ์ระยะยาว (Sustained Effect)
- หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์เป็นต้นไป เมื่อเจล HA เริ่มมีการสลายตัวไปบ้าง อนุภาค CaHA ที่ฝังตัวอยู่ในชั้นผิวจะเริ่มทำหน้าที่สำคัญในการกระตุ้น Fibroblast ให้ผลิตคอลลาเจนชนิดที่ 1 และชนิดที่ 3 รวมถึงอีลาสตินขึ้นมาใหม่ค่ะ
- กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ (Neocollagenesis) นี้จะดำเนินไปเรื่อยๆ ส่งผลให้โครงสร้างผิวของเรามีความแข็งแรง แน่นกระชับ และยืดหยุ่นมากขึ้นจากภายในค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้จึงดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้ยาวนาน แม้ว่าตัวเจล HA จะสลายไปแล้วก็ตามค่ะ
ผลลัพธ์จากการสร้างคอลลาเจนใหม่นี้จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ได้ยาวนานถึง 18-24 เดือนเลยทีเดียวค่ะ

HArmonyCa เหมาะกับใคร และช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?
HArmonyCa ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวที่ซับซ้อนของผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่ไม่ได้มีแค่ปัญหาริ้วรอยร่องลึก แต่เริ่มมีความหย่อนคล้อยของผิวร่วมด้วยค่ะ โดยเหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้า: แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณแก้ม กรอบหน้า และด้านข้างของใบหน้า ให้กลับมาดูยกกระชับและได้รูปมากขึ้นค่ะ
- ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้า: ที่เริ่มสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้กรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าโดยรวมดูหย่อนคล้อยไม่ได้รูปค่ะ
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิว: ให้กลับมาหนาแน่น แข็งแรง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ขึ้นจากโครงสร้างผิวภายในค่ะ
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและยาวนาน: เห็นผลการยกกระชับทันทีหลังทำ และผลลัพธ์ด้านคุณภาพผิวดีขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาวค่ะ
บริเวณที่นิยมฉีด HArmonyCa
HArmonyCa มุ่งเน้นการฉีดเพื่อยกกระชับและฟื้นฟูโครงสร้างผิวบริเวณ ด้านข้างของใบหน้า (Lateral Face) เป็นหลัก ได้แก่
- ขมับ
- โหนกแก้ม
- แนวกรามและกรอบหน้า
- บริเวณร่องน้ำหมาก (Marionette Lines)
ข้อควรระวัง: HArmonyCa ไม่เหมาะ สำหรับการฉีดในบริเวณที่ผิวบอบบางหรือมีการขยับบ่อยๆ เช่น หน้าผาก, รอบดวงตา, ร่องแก้ม และริมฝีปากค่ะ

เปรียบเทียบ HArmonyCa กับ Radiesse และ ฟิลเลอร์ HA
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เรามาเปรียบเทียบคุณสมบัติของ HArmonyCa กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ กันนะคะ
| คุณสมบัติ | HArmonyCa (HA + CaHA) | Radiesse (CaHA) | Filler (HA) |
|---|---|---|---|
| ส่วนประกอบหลัก | Hyaluronic Acid + CaHA | CaHA (ในเจลพาหะ CMC) | Hyaluronic Acid |
| ผลลัพธ์ทันที | มี (จากการเติมเต็มของ HA) | มี (จากการเติมเต็มของเจลพาหะ) | มี (จากการเติมเต็มของ HA) |
| การกระตุ้นคอลลาเจน | มี (จาก CaHA) | มี (เป็นกลไกหลัก) | น้อยมาก (ขึ้นอยู่กับรุ่น) |
| การยกกระชับ (Lifting) | ดีมาก (ได้ทั้งจาก HA และ CaHA) | ดี (เน้นสร้างโครงสร้างผิว) | ดี (เน้นการเติม Volume) |
| การปรับปรุงคุณภาพผิว | ดีมาก | ดีมาก | ปานกลาง (เน้นความชุ่มชื้น) |
| ความรู้สึกหลังฉีด | นุ่มนวลกว่า Radiesse เพราะมี HA เป็นส่วนประกอบหลัก | อาจรู้สึกแข็งกว่าในช่วงแรก | นุ่มนวล กลืนไปกับผิว |
| ระยะเวลาผลลัพธ์ | 18-24 เดือน | 12-24 เดือน | 6-18 เดือน |
| จุดเด่น | 2 in 1: ยกกระชับทันทีและกระตุ้นคอลลาเจนยาวนาน | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและโครงสร้างผิวที่แข็งแรง | เติมเต็มปริมาตร เพิ่มความชุ่มชื้นได้หลากหลายบริเวณ |

เปรียบเทียบ HArmonyCa VS Radiesse VS Sculptra
| คุณสมบัติ | Sculptra | Radiesse | Radiesse+ | HarmonyCa™ |
|---|---|---|---|---|
| สาร | PLLA | CAHA | CAHA & Lidocaine | HA & CAHA |
| จุดเด่น | ลดความหย่อนคล้อย ปรับปรุงคุณภาพผิวได้มากที่สุด | กระตุ้นคอลลาเจน อีลาสติน และความชุ่มชื้น | สร้าง Jawline คมชัด เพิ่มมิติให้ใบหน้า | Dual Effect ได้ทั้ง HA ให้ผิวชุ่มชื้น และ CAHA กระตุ้นคอลลาเจนในหลอดเดียว |
| เหมาะกับ | ผิวสูญเสียคอลลาเจน หย่อนคล้อย มีริ้วรอย | ผิวมีร่องลึก ขาดความยืดหยุ่น เติมเต็มหลุมสิว | ปรับกรอบหน้าให้ดูมีมิติ ผิวเรียบเนียน | ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังทำทันที, เติมเต็มร่องลึก, ฟื้นฟูผิวจากคอลลาเจนในระยะยาว |
| ข้อจำกัด | ไม่เหมาะฉีดใต้ตาและหน้าผาก | หลังฉีดอาจบวม 1 – 3 วัน | หลังฉีดอาจบวม 1 – 3 วัน | ไม่เหมาะฉีดบริเวณริมฝีปาก, ใต้ตา หรือที่ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง |
| ผลลัพธ์ | 3 ปี | 2 ปี | 1 – 2 ปี | 1 – 2 ปี |
การเตรียมตัวและดูแลตัวเองหลังฉีด HArmonyCa
การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดจะคล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์หรือสารกระตุ้นคอลลาเจนทั่วไปเลยค่ะ
การเตรียมตัวก่อนฉีด
- ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบโดยละเอียดค่ะ
- งดรับประทานยาและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, วิตามินอี, น้ำมันปลา, ใบแปะก๊วย เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงของรอยช้ำค่ะ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีดค่ะ
- หากมีนัดทำฟัน หรือหัตถการเลเซอร์บนใบหน้า ควรเว้นระยะห่างจากการฉีดอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ค่ะ
การดูแลตัวเองหลังฉีด
- 24 ชั่วโมงแรก: หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า งดดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ค่ะ
- 48 ชั่วโมงแรก: หลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนสูง เช่น ซาวน่า สตรีม หรือการตากแดดจัดเป็นเวลานานค่ะ
- สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหรือรอยช้ำได้บ้าง ซึ่งจะหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์ค่ะ สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมได้ค่ะ
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก บวมแดงร้อน หรือสีผิวเปลี่ยนไป ควรรีบกลับมาพบแพทย์ทันทีค่ะ
HArmonyCa ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการยกกระชับที่เห็นผลทันที และการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงดูอ่อนเยาว์จากภายในในระยะยาว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะคะ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับคุณที่สุดค่ะ
HArmonyCa ราคาเท่าไหร่

ดีเลิฟเวอรี่คลินิก จะมาสรุปคำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฉีดหรือเลเซอร์จากคลินิกของเรานะคะ เพื่อให้คุณลูกค้าเข้าใจและดูแลผิวได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ โดยรวมแล้ว การดูแลหลังทำมีความแตกต่างกันไปในแต่ละหัตถการ โดยเฉพาะเรื่องการแต่งหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษค่ะ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะคะ สำหรับหัตถการกลุ่มฉีด เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เมโสแฟต หรือ Biostimulator ส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้งดแต่งหน้าประมาณ 4-24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการกดทับ การติดเชื้อ หรือการกระจายตัวของยา ส่วนกลุ่มเลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์ CO2 ที่มีแผลตกสะเก็ด จะต้องงดแต่งหน้าไปเลยจนกว่าสะเก็ดจะหลุดและผิวสมานตัวดี ซึ่งอาจใช้เวลา 7-14 วันเลยค่ะ และไม่ว่าจะทำหัตถการใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงการทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนค่ะ หากคุณลูกค้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือมีอาการผิดปกติหลังทำหัตถการ อย่าลังเลที่จะติดต่อสอบถามแอดมินหรือคุณหมอได้เลยนะคะ เรายินดีดูแลและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดค่ะ
หากคนไข้ส่องกระจกแล้วเห็นว่าใต้ตา “เป็นร่องลึกชัดเจน” มีลักษณะยุบตัวลงไป การแก้ไขที่ตรงจุดคือ “การฉีดฟิลเลอร์” เพื่อเข้าไปเติมเต็มร่องนั้นให้ตื้นขึ้นค่ะ แต่ถ้าปัญหาหลักของคนไข้คือ “ผิวใต้ตาบาง” จนมองเห็นเป็นสีคล้ำๆ หรือมี “ริ้วรอยเล็กๆ” เยอะๆ แบบนี้การเลือกทำ “ไหมน้ำ” หรือ Biostimulator เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนาและแข็งแรงขึ้น จะเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากกว่าค่ะ ซึ่งในบางเคสอาจต้องทำทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนะคะ
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ
Profhilo (โปรฟิโล่) เป็นโปรแกรมบำรุงและฟื้นฟูผิวที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์โดยไม่เพิ่มวอลลุ่มหรือเปลี่ยนรูปหน้าแบบฟิลเลอร์ค่ะ หลักๆ คือ Profhilo จะใช้กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid – HA) ความเข้มข้นสูงฉีดเข้าไปเพื่อกระตุ้นให้ผิวเราสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ผิวจึงดูแน่น กระชับ และยืดหยุ่นขึ้นอย่างธรรมชาติ
คนไข้บอกรักพี่เสียดายน้อง อันนี้เพื่อนบอกดี ยี่ห้อนี้ ดาราบอกดี หมอสรุปให้แบบนี้ค่ะ
ทั้งสองตัวเป็นกลุ่ม “Biostimulator” คือยากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว แต่แต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นและวิธีออกฤทธิ์ต่างกัน แบบนี้ถ้าเราฉีดพร้อมกันในวันเดียว หรือจุดเดียวกัน อาจทำให้ผิวสับสน ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เต็มที่ หรือผิวมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง เช่น ก้อนแข็งหรือการอักเสบได้มากขึ้นค่ะ และที่สำคัญ เราจะไม่รู้ว่า ตัวไหนทำงานได้ดีกับผิวเรา เพราะมันเข้าไปพร้อมกัน จุดเดียวกัน นึกภาพตามหมอได้เลย
ถ้าคนไข้มีปัญหาหลายอย่าง หมอจะวางแผนเลือกใช้ให้เหมาะสม แยกเป็นรอบหรือเลือกต่างจุด อย่างเช่น Sculptra หมออาจใช้เติมวอลลุ่มลึกๆ ส่วน JuveLook เหมาะกับผิวบางหรือใต้ตา ผลัดกันดูแลทีละอย่าง จะปลอดภัยกว่าและได้ผลสวยนาน หมออยากให้คนไข้มั่นใจว่าวิธีนี้ปลอดภัยกับผิวหน้าที่สุดค่ะ
ช่วง 5 ปีหลังมานี้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า “สายฉีด” ออกมาจนนับกันไม่หวาดไม่ไหว เดี๋ยวนี้แบรนด์ใหม่ทยอยเปิดตัว แค่เฉพาะ Skin Boosters+Biostimulator ก็นับได้เกือบ 20 แบรนด์ บางแบรนด์เคลมว่าผิวอิ่มน้ำทันที บางแบรนด์บอกกระตุ้นคอลลาเจนลึก ๆ จะเลือกตัวไหนดี
จริง ๆ แล้วหลัก ๆ ขอให้มองแยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ “Skin Boosters” เน้นเติมน้ำ เติมความชุ่มชื้นทันที เหมาะกับสายต้องการผิวใสฉ่ำวาวไว ๆ หมอเรียกว่าใช้หน้าด่วน อะไรแบบนั้น กับ “Biostimulators” ที่ไปกระตุ้นเซลล์ให้สร้างคอลลาเจนเอง ผลลัพธ์จะค่อย ๆ มาแต่ชัดในแง่ฟื้นฟูผิวและลดริ้วรอยระยะยาว เลือกตามความต้องการของผิวเราดีที่สุดค่ะ
Atelocollagen คือคอลลาเจนบริสุทธิ์ที่ผ่านการกำจัดส่วนที่อาจกระตุ้นภูมิแพ้ เหมาะสำหรับการฉีดเข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยฟื้นฟู เติมเต็ม และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างของ Atelocollagen ใกล้เคียงกับคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกาย จึงปลอดภัยและลดความเสี่ยงการแพ้ได้มาก
เรียกว่าคอลลาเจนสดได้ไหม ก็ไม่ใช่ที่เข้าใจแบบในท้องตลอดอาหารเสริมนะคะ คนละอย่างกันเลย ในมุมของแพทย์ความงาม Atelocollagen คือคอลลาเจนที่มีความบริสุทธิ์สูง ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่แบบที่อยู่ในรูปครีมหรือผง Atelocollagen ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับกลุ่ม Biostimulator ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู แน่น กระชับ และฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายในค่ะ
กระตุ้นคอลลาเจนด้วย Biostimulator หมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ผลลัพธ์และระยะเวลาที่เห็นได้จริงในแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ แม้ว่าผู้ผลิตจะมีข้อมูลวิจัยบอกว่าอยู่ได้นานกี่ปี แต่ตัวเลขพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการทดลองในกลุ่มคนจำกัดเท่านั้น ในชีวิตจริง สภาพผิว อายุ การดูแลตัวเอง รวมถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มีผลมากต่อระยะเวลาของผลลัพธ์ บางคนอาจเห็นผลอยู่ได้นานเกิน 1-2 ปี บางคนก็อาจน้อยกว่านั้นได้ หมอจึงเน้นการดูแลแบบรายบุคคลเพื่อให้เหมาะสมที่สุดค่ะ
จากประสบการณ์ของหมอที่รักษามานาน หมอพบว่า บางคนจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี บางเคสก็นานใกล้เคียง 2 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ ซึ่งหมอจะแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และช่วยวางแผนให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ การกระตุ้นคอลลาเจนคือการฟื้นฟูผิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทุกคนจึงมีระยะเวลาการอยู่ได้นานไม่เท่ากันค่ะ








