รีวิว HIFU




HIFU ไม่ใช่การผ่าตัด เป็นวิธีการยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง โดยมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์และระยะเวลาที่ชัดเจนว่าจะหมดฤทธิ์เมื่อไหร่
- ต้องมั่นใจว่าแพทย์เป็นผู้ให้การรักษา
- ต้องมั่นใจว่าได้รับจำนวนช็อต ตามโปรโมชั่น
- ต้องรับบริการในคลินิกที่มีใบอนุญาตถูกต้อง
- ยกกระชับแก้มคล้อย
- เก็บกรอบหน้า
- ลดผิวคล้อยใต้คาง
- แพทย์ต้องมีประสบการณ์
- จำนวนช็อตที่เหมาะสมกับปัญหา ของแต่ละบุคคล
- HIFU ที่ได้มาตรฐาน จะต้องได้รับการรับรอง ผ่าน อย.
HIFU คืออะไร
HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) คือ เทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าและลำคอโดยใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง โดยคลื่นอัลตราซาวนด์จะปล่อยพลังงานลงไปยังชั้นผิวหนังชั้นลึก (SMAS) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวหน้ายกกระชับ ริ้วรอยลดลง และผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น

HIFU ทำตรงไหนได้บ้าง
HIFU สามารถทำได้กับบริเวณต่างๆ ของใบหน้าและลำคอ เช่น
- หน้าผาก
- หางตา
- แก้ม
- ร่องแก้ม
- คาง
- ลำคอ

เมื่ออายุเข้าเลข 4 ผิวหน้าหย่อนคล้อย HIFU คือตัวเลือกที่ดี ราคาประหยัด

HIFU ส่งพลังงานลงสู่ผิวได้ลึกหลายระดับ
HIFU มีหัวขนาดต่างๆ ที่เหมาะกับการรักษาในแต่ละชั้นความลึกของผิว โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินก่อนทำการรักษาให้ตรงจุดมากที่สุด

1.5 มม.
เข้าไปในชั้นหนังกำพร้า เพื่อลดริ้วรอยเล็กๆ กระชับรูขุมขน และปรับปรุงพื้นผิวผิวในบริเวณที่มีเนื้อเยื่อบาง เช่น รอบดวงตาและหน้าผาก

2.0 มม.
ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการลบริ้วรอยรอบดวงตาและปาก

3.0 มม.
เข้าไปในชั้นหนังแท้ลึก เพื่อเร่งการสร้างคอลลาเจนเพื่อยกกระชับผิว กระชับรูขุมขน และลดริ้วรอย โดยเน้นที่แก้มและคาง

4.5 มม.
เข้าไปในชั้น SMAS ใต้ผิวหนัง เพื่อกระชับและยกกระชับผิว โดยเน้นที่ผิวหนังหนา เช่น แก้ม คอ เป็นต้น


6.0 มม.
ใช้สำหรับกำจัดเหนียงและกระชับผิวหนังบริเวณใบหน้าและลำคอ หน้าท้อง

9.0 มม.
ใช้สำหรับกระชับผิวหนังบริเวณ หน้าอก และรอบต้นขา

13.0 มม.
ใช้สำหรับกระชับผิวหนังบริเวณหน้าท้องและก้น
HIFU ข้อดี ข้อเสีย
ข้อดี
- ยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
- ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสีย
- อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยในระหว่างทำ
- อาจมีรอยแดงหรือบวมช้ำหลังทำได้ชั่วคราว
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบางหรือเป็นสิวอักเสบ
99% ของผู้ชาย กลัวเข็ม แต่ก็ยังอยากดูดี ทำโปรแกรมอะไรดี?
HIFU อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์ของ HIFU สามารถอยู่ได้นาน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาพผิว และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล โดยเฉลี่ยจะแนะนำรับบริการปีละ 1-2 ครั้ง หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนตลอดทั้งปี
อายุเท่าไหร่ถึงควรทำ HIFU

HIFU เปรียบเทียบ Ulthera, Ultraformer III
HIFU, Ulthera และ Ultraformer III เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง โดยแต่ละเทคโนโลยีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้
- HIFU: ราคาถูกกว่า Ulthera และ Ultraformer III แต่พลังงานที่ปล่อยออกมาน้อยกว่า
- Ulthera: มีจออัลตร้าซาวน์ ไว้ให้แพทย์มองเห็นชั้นผิวที่พลังงานไปชัดเจน ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มีพลังงานที่สูงกว่า HIFU แต่ราคาแพงกว่า
- Ultraformer III: เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีพลังงานสูงกว่า HIFU และมีหัวรักษาที่หลากหลายกว่า เหมาะสำหรับการยกกระชับบริเวณที่ละเอียดอ่อน เช่น ใต้ตา ราคาถูกกว่า Ulthera
| HIFU | Ulthera |
|---|---|
| ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Ultrasound) | ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์แบบเจาะจง (Micro-Focused Ultrasound with Visualization) |
| คลื่นอัลตราซาวนด์จะส่งผ่านผิวหนังลงไปยังชั้น SMAS | คลื่นอัลตราซาวนด์จะส่งผ่านผิวหนังลงไปยังชั้น SMAS สามารถแสดงผลเห็นความลึกของชั้นผิวขณะทำการรักษา |
| ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย | ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอ ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย |
| เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับน้อยถึงปานกลาง | เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงมาก |
| ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏหลังจากการรักษา 2-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน | ผลลัพธ์จะปรากฏหลังจากการรักษา 2-3 เดือน และอยู่ได้นาน 12-18 เดือน |
| อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา | อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา |
| มีความปลอดภัยสูง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคผิวหนังบางชนิด | มีความปลอดภัยสูง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคผิวหนังบางชนิด |
| ราคาประหยัดกว่า | ราคาค่อนข้างสูง |
HIFU เจ็บไหม
| โปรแกรม | ความรู้สึกตอนทำ |
|---|---|
| HIFU | ⭐️⭐️ |
| Ultraformer III | ⭐️⭐️⭐️ |
| Ulthera | ⭐️⭐️⭐️⭐️ |
| Thermage FLX | ⭐️⭐️⭐️ |
**การยกกระชับทุกโปรแกรมให้ได้ผลลัพธ์ พลังงานลงถึงชั้นผิวที่หย่อนคล้อย จำเป็นต้องจะต้องรู้สึกเจ็บได้บ้างในบางบริเวณ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
รีวิว HIFU ราคาไม่แพง เก็บแก้มหย่อนคล้อย ยกกระชับแก้ม เหนียง

HIFU ปลอม ดูยังไง
HIFU ปลอมมักมีราคาถูกกว่าเครื่องแท้มาก และอาจมีลักษณะดังนี้
- คลินิกนั้นๆ ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลใดๆของตัวเครื่องได้เลย
- ภาพตัวเครื่องมีขนาดเล็กและดูมีน้ำหนักเบา ไม่น่าเชื่อถือ
- HIFU ต้องจดทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์ ต้องมีเครื่องหมายรับรองจาก อย. ใบรับรอง
HIFU ปลอม มีผลเสียอย่างไร
การทำ HIFU ปลอมอาจมีผลเสียต่อผิวหนัง เช่น
- ผิวไหม้
- ผิวเป็นแผล
- ผิวติดเชื้อ
- ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ
HIFU กับร้อยไหมยกกระชับหน้า
HIFU และร้อยไหมยกกระชับหน้าเป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าที่แตกต่างกัน โดย HIFU จะใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่วนร้อยไหมยกกระชับหน้าจะใช้ไหมละลายเพื่อยกกระชับผิวหนัง โดยแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้
- HIFU: ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีการเขียวช้ำ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับคุณภาพเครื่องมือ และแพทย์ผู้รักษา
- ร้อยไหมยกกระชับหน้า: เป็นหัตการเล็ก อาจจะมีเขียวช้ำได้ในบางจุด ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้
| ร้อยไหมยกหน้า | HIFU |
|---|---|
| ใช้ไหมละลายฝังเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อยกกระชับ | ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง (HIFU) ส่งผ่านผิวหนังลงไปยังชั้น SMAS (ชั้นเนื้อเยื่อบนกล้ามเนื้อใบหน้า) |
| ช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย | ช่วยยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย |
| เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับ น้อย – มาก | เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับ น้อย-มาก |
| ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏหลังจากการรักษา 2 สัปดาห์ – 1 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน | ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏหลังจากการรักษา 1-3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-12 เดือน |
| อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา | อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา |
| มีความปลอดภัยสูง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังบางชนิด | มีความปลอดภัยสูง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคผิวหนังบางชนิด |
| ราคาแตกต่างกันตามชนิด และจำนวนของเส้นไหม | ราคาแตกต่างกันไปตามเครื่องมือ |
| ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังการรักษาประมาณ 3-7 วัน | ไม่ต้องพักฟื้นหลังการรักษา |
| อาจมีรอยเขียวหรือบวมเล็กน้อยหลังการรักษา | อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังการรักษา |
| ต้องทำซ้ำทุก 6-12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ | ต้องทำซ้ำทุก 6-12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ |
HIFU ราคาเท่าไหร่
ราคาของ HIFU ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของบริเวณที่ทำ จำนวนช็อตที่ใช้ และประเภทของเครื่องที่ใช้ แต่ราคาควรไม่ถูกจนน่าตกใจ เลือกรับบริการกับคลินิกที่แพทย์มีประสบการณ์ ราคาไม่ควรถูกเกินจริง
| จำนวนช็อต | ราคาโดยประมาณ |
|---|---|
| 100 ช็อต | 4,000 – 7,000 บาท |
| 200 ช็อต | 7,000 – 12,000 บาท |
| 300 ช็อต | 12,000 – 20,000 บาท |
| 500 ช็อต | 20,000 – 25,000 บาท |

ส่งภาพหน้าตรง เห็นหน้าชัดเจน ไม่สวมแว่น แต่งหน้า ไม่ไกลเกินไปเข้ามาให้หมอประเมินการรักษาได้เลยค่ะ
ขั้นตอนรับบริการ HIFU
ปรึกษาแพทย์
- แพทย์จะซักประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และความคาดหวังของผู้รับบริการ
- แพทย์จะตรวจสภาพผิวหนังและโครงสร้างใบหน้า เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรับบริการ HIFU
ทำความสะอาดผิวหน้า
- แพทย์จะทำความสะอาดผิวหน้าบริเวณที่จะรับบริการ HIFU ด้วยแอลกอฮอล์หรือสารฆ่าเชื้อ
ทายาชาเฉพาะที่
- แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่บริเวณที่จะรับบริการ HIFU เพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษา
กำหนดจุดและจำนวนช็อต
- แพทย์จะกำหนดจุดและจำนวนช็อต HIFU ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของผู้รับบริการ
ทำการรักษา
- แพทย์จะใช้เครื่อง HIFU ยิงคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงลงไปยังชั้น SMAS (ชั้นกล้ามเนื้อและพังผืด) โดยจะยิงเป็นจุดๆ ตามที่กำหนดไว้
- ผู้รับบริการอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างการรักษา
ประคบเย็น
- หลังจากทำการรักษาเสร็จ แพทย์จะประคบเย็นบริเวณที่รับบริการ HIFU เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
นัดติดตามผล
- แพทย์จะนัดติดตามผลหลังจากรับบริการ HIFU ประมาณ 1-2 เดือน เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์และให้คำแนะนำในการดูแลหลังการรักษา

คำแนะนำหลังการรับบริการ HIFU
- ประคบเย็นบริเวณที่รับบริการ HIFU เป็นประจำในช่วง 2-3 วันแรก
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่รับบริการ HIFU แรงๆ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดง ปวด หรือมีไข้ ควรรีบปรึกษาแพทย์
กระเปาะแก้มห้อย หรือที่หลาย ๆ คนเรียกกันว่า “แก้มห้อย” ก็คือภาวะที่เนื้อแก้มบริเวณด้านข้างเริ่มหย่อนคล้อย เห็นเป็นก้อนนุ่ม ๆ ใต้โหนกแก้ม หรือมุมปากค่ะ สาเหตุมักมาจาก อายุที่เพิ่มขึ้น ไขมันบนใบหน้าลดลง และโครงสร้างคอลลาเจนใต้ผิวเริ่มเสียความยืดหยุ่น เลยทำให้เกิดกระเปาะแก้มเล็ก ๆ ที่ห้อยลงมา ซึ่งเป็นปัญหาที่คุณผู้หญิงหลายท่านมักกลุ้มใจ เพราะทำให้ใบหน้าดูมีอายุ เหนื่อยล้า หรือดูไม่สดใส
หมอขออธิบายเพิ่มเติมให้นะคะ การเปรียบเทียบ Ulthera 300 line กับ HIFU 300 shot ไม่สามารถนับว่าเท่ากันได้ ทั้งในแง่ ทฤษฎี และ ปฏิบัติ เนื่องจากโครงสร้างการทำงานของเครื่องทั้งสองต่างกัน Ulthera ใช้เทคโนโลยี Micro-Focused Ultrasound พร้อมระบบ Visualization ช่วยให้แพทย์มองเห็นชั้นผิว (เช่น ชั้น SMAS) และปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำ
HIFU ส่วนใหญ่นับ shot ซึ่งคือจุดของพลังงาน แต่ ไม่มีระบบ Visualization ทำให้การกระจายตัวและความครอบคลุมพื้นที่ ไม่แม่นยำเท่ากับการนับ line ของ Ulthera (อันนี้ให้เข้าใจง่ายๆ)
ในทางปฏิบัติ แม้จะเป็น Ulthera 300 line เอง การยิงพลังงานก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว ความลึกของหัวยิง (1.5, 3.0 หรือ 4.5 มม.) และความต้องการการยกกระชับในแต่ละเคส ดังนั้น พลังงานที่ปล่อยระหว่างการทำอาจมากหรือน้อยในจุดที่ผิวต้องการเป็นพิเศษ การเทียบตัวเลขระหว่าง “shot” และ “line” ไม่ถือว่าแม่นยำ การเลือกใช้จำนวน line หรือ shot ควรพิจารณาจากการประเมินของ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความเหมาะสมและให้ผลลัพธ์ดีที่สุดค่ะ
เทรนด์หน้ายุง หน้าเล็กลง นี่กระแสแรงในแอพดำมากๆ คนไข้เลยอยากรู้ว่า 3 โปรแกรมนี้ ตัวไหนทำให้หน้าเล็กลงได้ดีที่สุด
ถ้าถามว่า Thermage, Ulthera หรือ Oligio ตัวไหนทำแล้วหน้าเล็กลง ต้องบอกว่าทำได้ทั้ง 3 โปรแกรมค่ะ แต่ละตัวจะมีจุดเด่นที่ต่างกัน ซึ่งหมอจะเลือกใช้อิงจากปัญหาและความต้องการของคนไข้ค่ะ
- Thermage เน้นกระชับผิวและลดไขมันใต้ผิว โดยเฉพาะคนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อยหรือมีไขมันสะสม เช่น เหนียงหรือแก้มเยอะ หลังทำใบหน้าจะดูกระชับขึ้น กรอบหน้าคมชัด ดูหน้าเล็กลงค่ะ
- Ulthera จะเหมาะกับคนไข้ที่ต้องการยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS (ชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิว) เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยที่ต้องการลิฟต์ใบหน้าให้ตึงขึ้น เห็นผลลัพธ์เป็น V-Shape ชัดเจน
- Oligio เป็นเทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ที่คล้ายกับ Thermage แต่นุ่มนวลกว่า เหมาะกับคนไข้ที่อยากยกกระชับในราคาเข้าถึงง่าย และให้ผลลัพธ์หน้าเล็กลงแบบเป็นธรรมชาติค่ะ
อยากรู้หลักการทำงานที่จะทำให้หน้าเล็ก เลื่อนลงด้านล่างได้เลยค่ะ
Monopolar RF คือเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว ในการส่งพลังงานความร้อนลงไป ชั้นผิวที่ลึกที่สุด อย่างชั้นไขมันและชั้นคอลลาเจนค่ะ โดยที่ไม่ทำร้ายผิวชั้นบน ทำให้สามารถ สลายไขมันส่วนเกิน และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ขึ้นมาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวยกกระชับ กรอบหน้าคมชัด และดูอ่อนเยาว์ลง ถือเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องมือยกกระชับตัวท็อปๆ ที่หมอเลือกใช้ในคลินิกเลยค่ะ
เทอมาจยกกระชับคอ อาจจะใช้ประมาณ 400-500 ช็อต เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ชัดเจน แต่ส่วนมากคนไข้มักมาพร้อมปัญหาเนินหน้าอกเหี่ยว มีริ้วรอยด้วย สามารถทำไปพร้อมกันได้ โดยทั้งสองบริเวณอาจจะจำนวนช็อต 900 ช็อต ราคาขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและโปรโมชั่นของแต่ละที่ แต่ราคามาตรฐาน ให้บริการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ควรอยู่ที่ 50,000-70,000 บาท
สำหรับคนไข้ที่อยากทำหลายอย่างในวันเดียวเพื่อจัดเต็มทั้ง HIFU, Botox และ Filler หมอเข้าใจคนไข้นะ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีโอกาสมาทำบ่อยๆ หรืออยู่ต่างจังหวัด ต่างประเทศ นานๆมาที ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบครบจบ ในฐานะหมอ เดี๋ยวหมอจะอธิบายว่าแต่ละอย่างทำงานยังไง และถ้าจะทำในวันเดียวกันมีอะไรต้องคำนึงถึงบ้าง พร้อมเรียงลำดับให้เข้าใจง่ายค่ะ
สำหรับคนวัย 40 ที่อยากดูแลผิวให้สวยกระชับและดูแลความอ่อนเยาว์อย่างเหมาะสม การเลือกว่าจะทำ Sculptra, HIFU, หรือ Profhilo หรือโปรแกรมกระชับผิวอื่นๆ หมออยากให้เราเริ่มต้นจากเป้าหมายของคนไข้เป็นหลักค่ะ แต่เป้าหมายต้องสัมพันธ์กับปัญหาผิว ณ เวลานี้ด้วย คนไข้หมอส่วนมาก อายุ 40 วัยทำงานมาซักระยะ นอกจากปัญหาริ้วรอยที่ต้องเริ่มมาแล้ว ปัญหาต่อมาคือความหย่อนคล้อย ส่วนมากหมอจึงแนะนำดูแลที่การยกกระชับด้วยเครื่องดูก่อน HIFU → Biostimulator→ Bio-Remodeling
แต่ถ้าคนไข้เคยทำมาแล้วตอนอายุ 30+ เคยทำยกกระชับเครื่องอื่นๆมาแล้ว อาจจะข้ามมาที่กลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน หรือกระชับผิวให้เฟิร์มขึ้นด้วย Biostimulator, Bio-Remodeling ผิวหลวมๆ จะแน่นเฟิร์มขึ้นได้ อายุ 40 ยังไม่ใช่วัยที่จะต้องมองหาการผ่าตัดดึงหน้า การผ่าตัดเห็นผลชัดเจนกว่า แต่อาจจะดูเร็วไปสักนิดค่ะ
การทำ Collagen Banking ก็คือการที่เราเข้าไปช่วยปกป้องคอลลาเจนที่มีอยู่ และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น ชดเชยส่วนที่กำลังจะหายไปตามวัยค่ะ เหมือนเรามี ‘เงินฝาก’ คอลลาเจนสำรองไว้ ทำให้ผิวเราแก่ช้าลง คงความอ่อนเยาว์ ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยก็มาช้าลงไปด้วย
สำคัญตรงที่เป็นการป้องกันและชะลอวัยตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่ารอให้ผิวมีปัญหาเยอะแล้วค่อยแก้ไขค่ะ ซึ่งอาจจะใช้พวกสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Regenerative Biostimulators) เข้ามาช่วย เพื่อให้ได้ผลดีขึ้นค่ะ







