ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ถาม:

ฝ้าฮอร์โมน คืออะไร พี่อายุ 50 แล้วนะ ฮอร์โมนอะไรมาตอนอายุเยอะ

หมอต้าร์-exosome-สกินบูสเตอร์-ดีเลิฟเวอรี่คลินิก

(หมอต้าร์) พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

ตอบ:

ฝ้าฮอร์โมน ที่หมอพูดถึงนั้นเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายที่เรียกว่า เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศในผู้หญิงค่ะ ฮอร์โมนตัวนี้เริ่มทำงานตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นเลยนะคะ เพราะมันมีบทบาทในการควบคุมรอบเดือนและสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณของผู้หญิงดูสดใสด้วย

แต่ในบางคน พอฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ การกินยาคุม หรือช่วงวัยทองที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ผิวหน้าจะมีความไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย โดยเฉพาะในอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่เรื่องฮอร์โมนจะเปลี่ยนไปชัดเจนนะคะ

สำหรับผู้ชาย ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเกิดฝ้าฮอร์โมนค่ะ เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกายของผู้ชายมีน้อยมาก เขาจะมีฮอร์โมนเพศชายชื่อ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) เป็นตัวหลัก ฉะนั้น ฝ้าที่ผู้ชายเป็นมักจะเกิดจากแสงแดดหรือรอยโรคอื่น ๆ มากกว่า

pico laser ราคาเท่าไหร่ คลินิก เลียบด่วน รามอินทรา cdc
รักษาฝ้า กี่ครั้งหาย

ฝ้าฮอร์โมน เป็นแบบไหน

ฝ้าฮอร์โมนจะมีลักษณะเป็นรอยคล้ำชัดเจน มักจะขึ้นบริเวณที่แดดสัมผัสง่าย อย่างโหนกแก้ม หน้าผาก หรือเหนือริมฝีปาก ซึ่งหมอเข้าใจเลยว่าทำให้กังวลเรื่องผิวหน้าแค่ไหน แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เพราะปัจจุบันมีวิธีดูแลรักษาหลากหลายที่ช่วยลดรอยฝ้าให้จางลงได้ เช่น

  • การใช้ยาทาฝ้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
  • การทำเลเซอร์ประเภทที่เหมาะกับฝ้า
  • การทำทรีตเมนต์บำรุงผิว เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวอย่างอ่อนโยน

ฝ้า (Melasma) vs จุดด่างดำ (Hyperpigmentation)

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง ฝ้า และ จุดด่างดำ

หัวข้อฝ้า (Melasma)จุดด่างดำ (Hyperpigmentation)
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, การสัมผัสแสงแดดการสัมผัสแสงแดด, การอักเสบ, การบาดเจ็บของผิวหนัง
ตำแหน่งที่พบได้บ่อยใบหน้า (โหนกแก้ม, หน้าผาก, เหนือริมฝีปาก), ลำคอพบได้ทุกส่วนของร่างกาย
ลักษณะของผิวที่เป็นรอยคล้ำเป็นปื้นน้ำตาลหรือเทา-น้ำตาลแบบสมมาตรจุดด่างดำหรือรอยคล้ำที่ไม่สมมาตร
กลุ่มที่พบบ่อยที่สุดผู้หญิง โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์หรือใช้ยาคุมกำเนิดพบได้ในทุกเพศ โดยเฉพาะผู้ที่มีสีผิวเข้ม
ปัจจัยเสี่ยงพันธุกรรม, การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน, การสัมผัสรังสี UVการสัมผัสแสงแดด, การบาดเจ็บของผิว, ยาบางชนิด
วิธีการรักษาครีมกันแดด, ยาทา, การลอกผิวด้วยสารเคมี, เลเซอร์ครีมกันแดด, ยาทา, การลอกผิวด้วยสารเคมี, เลเซอร์
  • ฝ้า (Melasma): มักเกิดจากฮอร์โมนและแสงแดด พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์หรือใช้ยาคุม
  • จุดด่างดำ (Hyperpigmentation): เกิดจากการอักเสบหรือการบาดเจ็บของผิว เช่น รอยสิว หรือแผลเป็น พบได้ในทุกเพศและทุกวัย

วิธีไหนจะเห็นผลที่สุด

สำหรับการรักษาฝ้าฮอร์โมนที่ได้ผลชัดที่สุด หมอขอเรียงลำดับให้ตามประสิทธิภาพของการรักษานะคะ

  1. Pico Laser
    • วิธีนี้ถือว่าเห็นผลชัดที่สุดค่ะ ด้วยพลังงานที่ส่งไปทำลายเฉพาะเม็ดสีเมลานินใต้ผิวอย่างแม่นยำ ทำให้ฝ้าจางลงได้ดีมาก และรวดเร็วเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ เหมาะกับฝ้าฮอร์โมนเรื้อรังหรือฝ้าลึก
  2. Fractional Laser (Q-Switched Nd:YAG)
    • ให้ผลใกล้เคียงกับ Pico Laser แต่พลังงานของลำแสงจะไม่ละเอียดเหมือน ซึ่งยังเหมาะกับการรักษาฝ้าที่ไม่ตอบสนองกับยาทาหรือวิธีเบื้องต้น
  3. การใช้ยาทาหรือฉีดยาสลายฝ้า
    • หากคนไข้ไม่สะดวกทำเลเซอร์ ยาทาฝ้าที่มีส่วนผสมลดเม็ดสี เช่น Hydroquinone หรือ Vitamin A สามารถช่วยได้ค่ะ แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาและความสม่ำเสมอ
  4. Chemical Peeling (การลอกผิวด้วยกรด)
    • ช่วยลดฝ้าตื้น ๆ หรือบริเวณชั้นบนของผิวได้ดี
  5. ทรีตเมนต์บำรุงผิว หรือ Mesotherapy
    • เหมาะเป็นตัวเสริมการรักษา ทำเพื่อเติมความชุ่มชื้นและลดการอักเสบ

ดังนั้น ถ้าคนไข้ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสุด พิกโค่เลเซอร์ (Pico Laser) จะอยู่ในอันดับ 1 เลยค่ะ แต่ทั้งนี้ การรักษาต้องขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคนไข้ด้วยนะคะ และต้องรับการรักษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์เรื่องฝ้า เพื่อการรักษาที่ตรงจุด และทุกวิธีต้องการรักษาต่อเนื่อง ไม่มีวิธีไหนที่ทำครั้งเดียวแล้วจะทำให้ฝ้าหาย จางลงแบบ 100% ดังนั้นการรักษาจึงต้องขึ้นอยู่กับปัญหาของฝ้าในแต่ละบุคคล

ฝ้า ป้องกัน ดีกว่าแก้

แต่สิ่งที่สำคัญมากคือการปกป้องผิวในชีวิตประจำวัน ซึ่งหมอแนะนำว่า

  • ทากันแดดทุกวันเลยค่ะ เลือกแบบ SPF 50+ และต้องทาซ้ำระหว่างวันด้วยนะคะ
  • ใส่หมวกหรือกางร่มเวลาออกแดด
  • เน้นใช้สกินแคร์ปลอบประโลมผิวที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแข็งแรง

ถ้าคนไข้เริ่มอยากดูแลแบบจริงจัง หรืออยากปรึกษาหาวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวตัวเอง เข้ามาที่คลินิกได้เลยนะคะ