เปรียบเทียบ Saxenda และ Ozempic
หัวข้อ | Saxenda | Ozempic |
---|---|---|
สารออกฤทธิ์ | Liraglutide | Semaglutide |
กลไกการทำงาน | เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ช่วยลดความอยากอาหาร เพิ่มความอิ่มหลังรับประทานอาหาร | กระตุ้น GLP-1 ช่วยควบคุมน้ำตาล ลดความอยากอาหาร และช่วยเรื่องน้ำหนักตัว |
ข้อบ่งใช้ | ใช้สำหรับควบคุมน้ำหนัก (สำหรับคนที่มี BMI ≥ 27 และโรคร่วม หรือ BMI ≥ 30) | ใช้รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และลดน้ำหนักในบางกรณี (ที่มีข้อบ่งชี้เฉพาะ) |
การฉีด | ฉีดทุกวัน | ฉีดครั้งเดียวต่อสัปดาห์ |
ขนาดการปรับยา | เริ่มต้น Low dose และปรับขนาดเพิ่มจนถึง 3 mg ต่อวัน | เริ่มต้น Low dose ที่ 0.25 mg/สัปดาห์ แล้วค่อยไต่ระดับเป็น 1 mg หรือมากกว่า |
ผลข้างเคียง | ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือท้องผูก อาการหายได้เมื่อใช้ต่อเนื่อง | คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด ผลข้างเคียงมักลดลงหลังใช้ไประยะหนึ่ง |
ประสิทธิภาพลดน้ำหนัก | ลดได้ประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตัวใน 1 ปี | ลดได้ประมาณ 10-15% ของน้ำหนักตัวใน 1 ปี (ขึ้นกับขนาดยา) |
เหมาะกับใคร | ใช้ในคนที่มุ่งเน้นการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยในกลุ่ม BMI สูง | ใช้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หรือคนที่มีน้ำหนักตัวเกินมาก |
ราคา | 6,500/ชุด | 17,000/ชุด |
การคุมหิว
หมออยากให้คนไข้มองภาพเรื่อง “รูปร่างที่สมดุล” และการ “คุมหุ่น” ในระยะยาว… การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขบนตาชั่งนะคะ แต่สำคัญตรงที่ทำให้ชีวิตประจำวันเราดีขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น รวมถึงเสริมความมั่นใจให้ตัวเองได้ด้วยค่ะ
- หมอสรุปง่ายๆ เลยนะคะ ทั้ง Saxenda และ Ozempic เป็นตัวยาที่ช่วยเรื่องการ “คุมหิว” ได้ดี เคล็ดลับคือมันช่วยให้คนไข้ไม่อยากกินเยอะเป็นพิเศษ รู้สึกอิ่มเร็วและอยู่ท้องนานขึ้น จึงเหมาะกับคนที่ลดน้ำหนักไม่สำเร็จเพราะควบคุมการกินไม่ได้ค่ะ
- จากเคสที่คนไข้มาปรึกษาหมอ หลายคนใช้ ตัวยาช่วยควบคุมความอยากอาหาร ควบคู่ไปกับการคุมโภชนาการและออกกำลังกาย หมอบอกเลยว่ามันช่วย “บูสต์ผลลัพธ์ให้ลดน้ำหนักไวขึ้น” และทำให้อยู่ในเส้นทางลดน้ำหนักได้นานกว่าแบบที่ฝืนใจตัวเองค่ะ
Saxenda VS Ozempic เหมาะกับใคร
- Saxenda เหมาะกับคนที่อยากจัดการเรื่องน้ำหนักโดยตรง แต่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องทุกวัน และหมอแนะนำว่าเหมาะกับคนที่ทำงานในระบบชีวิตประจำวันที่วางแผนพกยาไปได้ค่ะ
- Ozempic ดูง่ายกว่าในแง่การใช้ เพราะฉีดเพียงสัปดาห์ละครั้ง เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักแบบยาวๆ โดยเฉพาะคนที่มีเบาหวานแฝง
หมออยากให้คนไข้เข้าใจว่า “ตัวช่วย” แบบนี้ เป็นแค่จุดเริ่มต้นนะคะ แต่หัวใจสำคัญในการปรับรูปร่างหรือสุขภาพ คือ “นิสัยและไลฟ์สไตล์” ต้องค่อยๆ เริ่มให้สุขภาพจิตดี มีสมดุล ออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวเอง และเรียนรู้ว่าอะไรควรกินหรือไม่ควรกิน แล้วปล่อยให้ยาเป็นตัวช่วยเพิ่มความสำเร็จค่ะ