ไขข้อข้องใจ แผลเป็นนูน ‘คีลอยด์’ กับ ‘แผลเป็นธรรมดา’
หัวใจสำคัญที่ทำให้คีลอยด์กับแผลเป็นธรรมดาแตกต่างกัน ก็คือ “กระบวนการเกิด” ของมันนั่นเองค่ะ
- แผลเป็นปกติ: คือกระบวนการซ่อมแซมตัวเองที่ ‘ปกติ’ และ ‘สมดุล’ ของร่างกาย เมื่อแผลหายดีแล้ว กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อก็จะหยุดลงค่ะ
- คีลอยด์: คือกระบวนการซ่อมแซมที่ ‘ผิดปกติ’ หรือเรียกง่ายๆ ว่าร่างกายเรา ‘ขยันเกินไป’ ในการสร้างเนื้อเยื่อค่ะ ทำให้มันสร้างต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด แม้ว่าแผลจะหายสนิทไปนานแล้วก็ตาม จนลุกลามใหญ่โตเกินแผลเดิมไปมาก
เวลาที่ผิวของเราเกิดบาดแผลขึ้น ไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุ สิว หรือการผ่าตัด ร่างกายจะมีกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการนี้ก็คือ ‘รอยแผลเป็น’ นั่นเองค่ะ แต่รอยแผลเป็นก็มีหลายแบบนะคะ ที่คนไข้มักจะสับสนกันบ่อยๆ ก็คือ ‘รอยแผลเป็นทั่วไป’ กับ ‘คีลอยด์’ ซึ่งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกันเลยค่ะ
รอยแผลเป็นทั่วไป (Hypertrophic Scar)
นี่คือกระบวนการซ่อมแซมผิวตามปกติเลยค่ะ เมื่อเกิดแผล ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเพื่อสมานแผล พอแผลหายดีแล้ว การสร้างคอลลาเจนก็จะหยุดลง
- ลักษณะ: ในช่วงแรกอาจจะนูนๆ แดงๆ ได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป รอยแผลเป็นชนิดนี้จะค่อยๆ จางและเรียบเนียนไปกับผิว หรืออาจจะนูนอยู่นิดหน่อย แต่ขนาดของมันจะ ไม่ขยายเกินขอบเขตของแผลเดิม ค่ะ
- ตัวอย่างง่ายๆ: ลองนึกถึงรอยมีดบาดตื้นๆ หรือรอยสิวที่ไม่ได้อักเสบมาก พอหายแล้วก็ทิ้งรอยจางๆ ไว้ แต่ไม่ได้นูนแข็งขึ้นมาและขยายใหญ่ขึ้น แบบนั้นคือรอยแผลเป็นทั่วไปค่ะ
ลักษณะ | แผลเป็นปกติ (Normal Scar) | คีลอยด์ (Keloid) |
---|---|---|
ขนาด | เล็กกว่าหรือเท่ากับรอยแผลเดิม | ใหญ่กว่ารอยแผลเดิมอย่างชัดเจน |
รูปร่าง | เรียบ หรือนูนเพียงเล็กน้อย | นูน แข็ง |
สี | สีเนื้อ หรือจางลงจนใกล้เคียงสีผิว | สีแดง สีม่วง หรือสีคล้ำกว่าผิวปกติ |
การเจริญเติบโต | หยุดการขยายตัวเมื่อแผลหายดีแล้ว | ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง |
คีลอยด์ (Keloid Scar)
อันนี้คือความพิเศษที่แตกต่างออกไปค่ะ คีลอยด์เกิดจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อบาดแผลผิดปกติไปนิดหน่อย คือมีการสร้างคอลลาเจนออกมา มากผิดปกติ และไม่ยอมหยุดสร้างแม้ว่าแผลจะหายดีแล้วก็ตาม
- ลักษณะ: สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ แผลเป็นชนิดนี้จะ นูน แข็ง มันวาว และที่สำคัญคือขยายใหญ่เกินขอบเขตของแผลเดิม ออกไปเรื่อยๆ ค่ะ บางครั้งอาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย และสีมักจะเข้มกว่าผิวปกติ ไม่ค่อยจางลงเองตามธรรมชาติ
- ตัวอย่างง่ายๆ: คนไข้บางคนไปเจาะหูค่ะ ตอนแรกก็เป็นแผลเล็กๆ แต่ผ่านไปสักพักกลับมีก้อนนูนแข็งๆ โตขึ้นมาบริเวณที่เจาะ จนใหญ่กว่ารูที่เจาะไปมาก แถมยังคันอีกด้วย ลักษณะแบบนี้แหละค่ะคือ ‘คีลอยด์’
แผนการรักษาด้วยเลเซอร์
- Step 1 (ควบคุม): ฉีดยาเพื่อให้คีลอยด์ หยุดโตและยุบตัวลง โดยส่วนมากเห็นผลตั้งแต่วิธีนี้
- Step 2 (ลดขนาด): หากนูนมาก ใช้ CO2 Laser ช่วยให้แผลเรียบขึ้น
- Step 3 (เก็บรายละเอียด): ใช้ Pico Laser (Fractional Mode) เพื่อลดรอยแดงรอยดำ และปรับผิวให้เรียบเนียนสวยงาม
การรักษา | กลไกการทำงาน | เป้าหมายหลักของการรักษา | เหมาะสำหรับคีลอยด์ลักษณะไหน? |
---|---|---|---|
การฉีดยา | ฉีดตัวยาเข้าไปในเนื้อเยื่อคีลอยด์โดยตรง เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนมากผิดปกติ | ทำให้คีลอยด์นิ่มลง ยุบตัว และที่สำคัญคือหยุดการขยายขนาด | การรักษาอันดับแรก (First-line) สำหรับคีลอยด์ทุกชนิด และใช้เป็นการรักษาร่วมเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ |
CO2 Laser | ใช้พลังงานเลเซอร์ในการค่อยๆ “เจียร” หรือ “ปาด” เนื้อเยื่อส่วนเกินของคีลอยด์ที่นูนหนาออกไปทีละชั้นอย่างแม่นยำ | ลดความนูนของคีลอยด์ ทำให้ขนาดของแผลเป็นแบนราบลงอย่างเห็นได้ชัดเจน | คีลอยด์ที่มีขนาด ใหญ่และนูนแข็งมาก ที่ต้องการให้แผลเรียบเนียนขึ้นอย่างรวดเร็ว (Debulking) |
Pico Laser (Fractional Mode) | ยิงพลังงานแสงความเร็วสูงเพื่อสร้างโพรงขนาดเล็กๆ ใต้ผิว กระตุ้นการจัดเรียงคอลลาเจนใหม่ให้เป็นระเบียบ และทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ | ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ (ลดรอยแดง/รอยดำ) และปรับผิวสัมผัสให้เรียบเนียน | คีลอยด์ที่ยุบตัวหรือแบนราบแล้ว แต่ยังคงมีปัญหา รอยแดง รอยดำ หรือ ผิวสัมผัสที่ยังไม่สวยงาม (Resurfacing & Pigment Removal) |


การผ่าตัด (Surgical Excision)
หมอจะพิจารณาเป็น ‘ทางเลือกสุดท้าย’ จริงๆ ค่ะ จะเลือกใช้ในกรณีที่คีลอยด์มีขนาดใหญ่มาก ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น หรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้ค่ะ เหตุผลที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษก็เพราะว่า การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูงมากที่จะกระตุ้นให้คีลอยด์กลับมาเป็นซ้ำ และบ่อยครั้งอาจกลับมาใหญ่และนูนกว่าเดิมด้วยซ้ำ ค่ะ ดังนั้น หากจำเป็นต้องผ่าตัดจริงๆ หัวใจสำคัญที่สุดคือต้องทำการรักษาอื่นร่วมด้วยทันที เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องหลังผ่าตัด หรือการฉายรังสีในบางกรณี เพื่อควบคุมกระบวนการซ่อมแซมแผลและป้องกันไม่ให้ร่างกายสร้างคีลอยด์ก้อนใหม่ขึ้นมาอีกค่ะ