ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

กินข้าวอิ่มเกินไปก็เป็นโรคกระเพาะได้หรอคะ

เลิกได้เลิกนะคะ กับปรัชญาท้องแตกดีกว่าอาหารเหลือ

คนไข้หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับโรคกระเพาะที่เกิดจากการไม่ทานอาหาร หรือทานไม่เป็นเวลามากกว่า แต่รู้หรือไม่คะว่าการกินอิ่มเกินไปก็มีส่วนทำให้เกิดโรคกระเพาะได้เหมือนกัน เมื่อเราไม่ทานอาหารตามเวลา กระเพาะอาหารก็จะหลั่งกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ออกมาเพื่อเตรียมย่อยอาหาร แต่เมื่อไม่มีอาหารให้ย่อย กรดก็จะกัดเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ อาการที่มักพบก็คือปวดแสบท้อง จุกเสียด คลื่นไส้ หรืออาเจียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท้องว่างนานๆ ดังนั้น การทานอาหารให้เป็นเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารทำร้ายเยื่อบุกระเพาะอาหารของเรา

ในทางกลับกัน การกินอิ่มเกินไปก็ส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหารได้เช่นกัน เมื่อเราทานอาหารในปริมาณมาก กระเพาะอาหารก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กระเพาะอาหารยังต้องหลั่งกรดออกมามากขึ้นเพื่อย่อยอาหารปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบที่เยื่อบุกระเพาะอาหารได้เช่นกัน อาการที่พบบ่อยก็คือท้องอืด แน่นท้อง เรอ และแสบร้อนกลางอก (คุ้นๆกันไหม) นอกจากนี้ การกินอิ่มเกินไปยังอาจรบกวนการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ และเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย ดังนั้น การทานอาหารในปริมาณที่พอดี ไม่มากเกินไป จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพของกระเพาะอาหารของเรา


หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้น กรุณาทำนัดเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรับข้อมูลโดยละเอียด

กินอิ่มเกินไปเสี่ยงโรคกระเพาะจริงไหม? หมอมาตอบทุกข้อสงสัย พร้อมแนะนำวิธีดูแลกระเพาะอาหารให้แข็งแรง ป้องกันอาการปวดท้องและแสบร้อนกลางอก
ปากกา Mounjaro 2-5mg ราคาเท่าไหร่ ซื้อที่ไหน คลินิก กรุงเทพ

โรคกระเพาะอาหาร หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Gastritis คือภาวะที่เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori, การใช้ยาแก้ปวด NSAIDs เป็นเวลานาน, หรือพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม

การกินอิ่มเกินไปก็ส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหารได้เช่นกัน เมื่อเราทานอาหารในปริมาณมาก กระเพาะอาหารก็จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
สายบุฟเฟ่ต์ต้องเตือนใจตัวเองไว้ให้ดีเลยนะคะ 🙂

การกินอิ่มเกินไป เกี่ยวข้องอย่างไร?

การกินอิ่มเกินไปเป็นประจำ จะทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อย่อยอาหารในปริมาณมาก เมื่อกระเพาะอาหารทำงานหนัก อาจส่งผลให้:

  • เกิดการระคายเคือง: กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากขึ้น เพื่อย่อยอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  • ความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น: การกินอาหารในปริมาณมาก ทำให้ความดันในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก หรืออาหารไม่ย่อย
  • การบีบตัวของกระเพาะผิดปกติ: การกินอิ่มเกินไป อาจรบกวนการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ควรรู้

นอกจากพฤติกรรมการกินอิ่มเกินไปแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ เช่น

  • การกินอาหารไม่เป็นเวลา: การปล่อยให้ท้องว่างนานๆ แล้วมากินในปริมาณมาก อาจทำให้กระเพาะอาหารปรับตัวไม่ทัน
  • ความเครียด: ความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง หรือท้องเสียได้
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: สารเคมีในบุหรี่และแอลกอฮอล์ สามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
ประเด็นโรคกระเพาะจากการไม่ทานอาหาร
(Skipped Meals-Induced Gastritis)
โรคกระเพาะจากการทานเยอะเกินไป
(Overeating-Induced Gastritis)
กลไกการเกิดโรค-กระเพาะอาหารหลั่งกรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric acid: HCl) เพื่อเตรียมย่อยอาหาร แต่ไม่มีอาหารให้ย่อย ทำให้กรดกัดเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง-กระเพาะอาหารขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น (Increased Intragastric Pressure)
-การหลั่งกรด HCl มากเกินไปเพื่อย่อยอาหารปริมาณมาก ทำให้เกิดการระคายเคือง
-การบีบตัวของกระเพาะผิดปกติ (Gastric dysmotility) ทำให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์
อาการปวดแสบท้อง (Epigastric pain), จุกเสียด (Dyspepsia), คลื่นไส้ (Nausea), อาเจียน (Vomiting) มักเกิดขึ้นเมื่อท้องว่างเป็นเวลานานท้องอืด (Bloating), แน่นท้อง (Abdominal fullness), เรอ (Belching), แสบร้อนกลางอก (Heartburn) มักเกิดขึ้นหลังทานอาหารทันที
ปัจจัยกระตุ้นการไม่ทานอาหารเช้า, การทานอาหารไม่เป็นเวลา, การอดอาหารการทานอาหารในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว, การทานอาหารที่มีไขมันสูง, การทานอาหารที่มีแก๊สมาก
ผลกระทบระยะยาวเยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gastritis), แผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer), ภาวะขาดสารอาหาร (Malnutrition)กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD), ท้องผูก (Constipation), โรคอ้วน (Obesity), เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินอาหาร
การวินิจฉัยทางการแพทย์การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Esophagogastroduodenoscopy: EGD) เพื่อดูเยื่อบุกระเพาะอาหาร, การตรวจหาเชื้อ H. pylori ในกระเพาะอาหาร (H. pylori testing)การซักประวัติทางการแพทย์ (Medical History), การตรวจร่างกาย (Physical Examination), การตรวจการบีบตัวของกระเพาะอาหาร (Gastric Emptying Study) หากสงสัยภาวะ Gastroparesis
การรักษาการปรับพฤติกรรมการทานอาหาร, การใช้ยาลดกรด (Antacids), ยา H2-receptor antagonists หรือ Proton Pump Inhibitors (PPIs) เพื่อลดการหลั่งกรด, การรักษาการติดเชื้อ H. pylori หากมี (H. pylori eradication therapy)การปรับพฤติกรรมการทานอาหาร, การใช้ยาช่วยย่อย (Digestive Enzymes), ยาลดกรด (Antacids), Prokinetics เพื่อช่วยการบีบตัวของกระเพาะอาหาร, การออกกำลังกายเพื่อช่วยการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Bowel movement)

การกินอิ่มเกินไปเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะอาหารได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง หากคนไข้มีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ ร่วมด้วย หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความเครียด หรือการใช้ยาแก้ปวด NSAIDs ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะอาหารมากขึ้น

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย