ลองนึกภาพว่ากระเพาะอาหารของคนไข้เป็นเหมือนเครื่องซักผ้า หากใส่ผ้ามากเกินไป เครื่องซักผ้าก็จะทำงานหนัก และอาจทำให้เครื่องเสียได้ ในทำนองเดียวกัน การกินอิ่มเกินไป ก็เหมือนกับการใส่ผ้ามากเกินไปในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้
โรคกระเพาะอาหาร หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Gastritis คือภาวะที่เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori, การใช้ยาแก้ปวด NSAIDs เป็นเวลานาน, หรือพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม

การกินอิ่มเกินไป เกี่ยวข้องอย่างไร?
การกินอิ่มเกินไปเป็นประจำ จะทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อย่อยอาหารในปริมาณมาก เมื่อกระเพาะอาหารทำงานหนัก อาจส่งผลให้:
- เกิดการระคายเคือง: กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากขึ้น เพื่อย่อยอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร
- ความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น: การกินอาหารในปริมาณมาก ทำให้ความดันในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก หรืออาหารไม่ย่อย
- การบีบตัวของกระเพาะผิดปกติ: การกินอิ่มเกินไป อาจรบกวนการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ควรรู้
นอกจากพฤติกรรมการกินอิ่มเกินไปแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ เช่น
- การกินอาหารไม่เป็นเวลา: การปล่อยให้ท้องว่างนานๆ แล้วมากินในปริมาณมาก อาจทำให้กระเพาะอาหารปรับตัวไม่ทัน
- ความเครียด: ความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง หรือท้องเสียได้
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: สารเคมีในบุหรี่และแอลกอฮอล์ สามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารได้
| ประเด็น | โรคกระเพาะจากการไม่ทานอาหาร (Skipped Meals-Induced Gastritis) | โรคกระเพาะจากการทานเยอะเกินไป (Overeating-Induced Gastritis) |
|---|---|---|
| กลไกการเกิดโรค | -กระเพาะอาหารหลั่งกรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric acid: HCl) เพื่อเตรียมย่อยอาหาร แต่ไม่มีอาหารให้ย่อย ทำให้กรดกัดเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง | -กระเพาะอาหารขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น (Increased Intragastric Pressure) -การหลั่งกรด HCl มากเกินไปเพื่อย่อยอาหารปริมาณมาก ทำให้เกิดการระคายเคือง -การบีบตัวของกระเพาะผิดปกติ (Gastric dysmotility) ทำให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ |
| อาการ | ปวดแสบท้อง (Epigastric pain), จุกเสียด (Dyspepsia), คลื่นไส้ (Nausea), อาเจียน (Vomiting) มักเกิดขึ้นเมื่อท้องว่างเป็นเวลานาน | ท้องอืด (Bloating), แน่นท้อง (Abdominal fullness), เรอ (Belching), แสบร้อนกลางอก (Heartburn) มักเกิดขึ้นหลังทานอาหารทันที |
| ปัจจัยกระตุ้น | การไม่ทานอาหารเช้า, การทานอาหารไม่เป็นเวลา, การอดอาหาร | การทานอาหารในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว, การทานอาหารที่มีไขมันสูง, การทานอาหารที่มีแก๊สมาก |
| ผลกระทบระยะยาว | เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gastritis), แผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer), ภาวะขาดสารอาหาร (Malnutrition) | กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD), ท้องผูก (Constipation), โรคอ้วน (Obesity), เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินอาหาร |
| การวินิจฉัยทางการแพทย์ | การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Esophagogastroduodenoscopy: EGD) เพื่อดูเยื่อบุกระเพาะอาหาร, การตรวจหาเชื้อ H. pylori ในกระเพาะอาหาร (H. pylori testing) | การซักประวัติทางการแพทย์ (Medical History), การตรวจร่างกาย (Physical Examination), การตรวจการบีบตัวของกระเพาะอาหาร (Gastric Emptying Study) หากสงสัยภาวะ Gastroparesis |
| การรักษา | การปรับพฤติกรรมการทานอาหาร, การใช้ยาลดกรด (Antacids), ยา H2-receptor antagonists หรือ Proton Pump Inhibitors (PPIs) เพื่อลดการหลั่งกรด, การรักษาการติดเชื้อ H. pylori หากมี (H. pylori eradication therapy) | การปรับพฤติกรรมการทานอาหาร, การใช้ยาช่วยย่อย (Digestive Enzymes), ยาลดกรด (Antacids), Prokinetics เพื่อช่วยการบีบตัวของกระเพาะอาหาร, การออกกำลังกายเพื่อช่วยการเคลื่อนไหวของลำไส้ (Bowel movement) |
การกินอิ่มเกินไปเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะอาหารได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง หากคนไข้มีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ ร่วมด้วย หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความเครียด หรือการใช้ยาแก้ปวด NSAIDs ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะอาหารมากขึ้น


