IF คืออะไร? ทำไมถึงทำให้สวย หรือสุขภาพดีขึ้น?
Intermittent Fasting ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายที่สุด มันคือ “ศิลปะแห่งการอดเป็นเวลา” ค่ะ ไม่ใช่การอดอาหารแบบไม่กินอะไรเลย แต่เป็นการจัดสรรเวลา “กิน” กับ “อด” ให้เป็นระบบระเบียบ ซึ่งสูตรที่นิยมที่สุดก็คือ 16:8 คืออด 16 ชั่วโมง และมีช่วงเวลากิน (Feeding Window) 8 ชั่วโมงค่ะ
ลองจินตนาการตามนะคะ ปกติเวลาเรากินอาหารตลอดทั้งวัน ร่างกายก็จะยุ่งอยู่กับการหลั่งอินซูลินเพื่อจัดการกับน้ำตาลและสารอาหารที่เข้ามาใหม่ตลอดเวลา เหมือนโรงงานที่ไม่มีเวลาหยุดพักเครื่องเลย แต่พอเราทำ IF ร่างกายจะมีช่วงเวลาว่าง 16 ชั่วโมงเต็มๆ ที่ไม่ต้องยุ่งกับอาหารใหม่ๆ ช่วงเวลานี้แหละค่ะคือ “นาทีทอง” ของการซ่อมแซมตัวเอง
- ปรับสมดุลฮอร์โมน ลดสิว ลดการอักเสบ: พอเราอดอาหาร ระดับอินซูลินจะลดลงและคงที่ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะเมื่ออินซูลินไม่พุ่งสูงบ่อยๆ การอักเสบในร่างกายก็จะลดลงไปด้วย สำหรับคนที่เป็นสิวง่าย จะสังเกตได้เลยว่าสิวอักเสบขึ้นน้อยลง ผิวเรียบเนียนขึ้นค่ะ
- กระตุ้น Growth Hormone ชะลอวัย: ในช่วงที่เราอด ร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone หรือที่หมอชอบเรียกว่า “ฮอร์โมนน้ำพุแห่งความเยาว์วัย” ออกมามากขึ้น! ฮอร์โมนตัวนี้สำคัญมากในการซ่อมแซมเซลล์ สร้างกล้ามเนื้อ และทำให้ผิวพรรณเราดูสดใส อ่อนเยาว์ เหมือนได้ย้อนวัยให้ผิวเลยทีเดียวค่ะ
- กระบวนการ Autophagy (กินเซลล์เก่า): คำนี้อาจจะฟังดูยากนิดนึง แต่ให้จำง่ายๆ ว่ามันคือกระบวนการที่ร่างกาย “เก็บกิน” เซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพหรือทำงานผิดปกติ เหมือนการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ พอเซลล์ขยะถูกกำจัดออกไป เซลล์ใหม่ที่แข็งแรงก็จะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ ผลลัพธ์ก็คือผิวที่ดูสดใสขึ้นและสุขภาพดีจากภายในค่ะ
แล้วจะเริ่มทำ IF ยังไงดี? อาทิตย์ละกี่วันถึงจะปัง?
หัวใจสำคัญของการทำ IF ไม่ใช่ความหักโหม แต่คือ “ความสม่ำเสมอ” ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราค่ะ
- มือใหม่หัดสวย: หมอแนะนำให้เริ่มแบบสบายๆ ที่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ อาจจะเลือกวันที่ไม่ค่อยมีนัดสังสรรค์ เช่น วันอังคาร, วันศุกร์ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ชิน ไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป
- สายกลางเพื่อความงาม: พอเริ่มชินแล้ว ลองปรับเป็น 3-5 วันต่อสัปดาห์ ค่ะ ระดับนี้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทั้งเรื่องรูปร่างและผิวพรรณ หลายคนนิยมทำวันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วพักช่วงสุดสัปดาห์
- สายแข็ง อยากเป๊ะทุกวัน: สำหรับคนที่ปรับตัวได้แล้ว การทำทุกวันก็สามารถทำได้ค่ะ เพราะมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ทำได้แบบไม่รู้สึกฝืน
มือใหม่หลายคน เลือกทำ IF ในวันอังคารและวันพฤหัสบดี เพราะวันเว้นวัน มีความคล้ายคลึงกับการถือศีลอดสุนัต (การถือศีลอดโดยสมัครใจ) ในศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก ซึ่งนิยมทำกันใน วันจันทร์และวันพฤหัสบดี ค่ะ แม้ว่าวันจะต่างกันเล็กน้อย แต่หลักการและเหตุผลเบื้องหลังมีความคล้ายคลึงกันในหลายมิติ ดังนี้ค่ะ
ความคล้ายคลึงกัน
- การเว้นระยะ: ทั้งสองแบบเป็นการอดอาหารแบบไม่ติดต่อกัน คือมีวันพักระหว่างการอด ซึ่งช่วยให้ร่างกายไม่เครียดจนเกินไปและสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว
- การฝึกฝนจิตใจ: การอดอาหารไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสุขภาพหรือศาสนา ล้วนเป็นการฝึกความอดทน การควบคุมตนเอง (Self-discipline) และการตระหนักรู้ถึงร่างกายของตนเอง
- ประโยชน์ต่อสุขภาพ: งานวิจัยสมัยใหม่เกี่ยวกับ IF ได้ยืนยันประโยชน์หลายอย่างที่การถือศีลอดมอบให้ เช่น การช่วยให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเอง (Autophagy) การปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน และการเผาผลาญไขมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติทางศาสนาอาจได้รับเป็นผลพลอยได้มานานแล้ว
ความแตกต่าง
- เป้าหมายหลัก:
- IF (Intermittent Fasting): มีเป้าหมายหลักเพื่อสุขภาพและการลดน้ำหนักเป็นหลัก
- การถือศีลอดในศาสนาอิสลาม: มีเป้าหมายหลักเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจ การขัดเกลาจิตใจ และการแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระเจ้า โดยมีสุขภาพที่ดีเป็นผลพลอยได้
- รูปแบบการอด:
- IF: มีความยืดหยุ่นสูง สามารถกำหนด “ช่วงเวลาที่กินได้” (Feeding Window) ได้หลากหลาย เช่น สูตร 16:8 (อด 16 ชม., กิน 8 ชม.) ซึ่งยังสามารถดื่มน้ำเปล่า หรือกาแฟดำได้ในช่วงอด
- การถือศีลอดในศาสนาอิสลาม: มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน คือ งดเว้นจากการกิน การดื่มทุกชนิดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกดิน
ข้อควรจำที่สำคัญที่สุด!
ช่วงเวลา 8 ชั่วโมงที่เรากินได้ ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เรากินของทอด ของหวาน หรือชานมไข่มุกได้เต็มที่นะคะ! คุณภาพของอาหารสำคัญมาก เราควรเน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีนดี (อกไก่, ปลา, ไข่), คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง, โฮลวีต), ไขมันดี (อะโวคาโด, ถั่ว) และผักผลไม้หลากสี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอไปใช้ในการซ่อมแซมและบำรุงผิว
สรุปง่ายๆ ก็คือ IF เป็นเครื่องมือที่ช่วย “รีเซ็ต” ร่างกายให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น แต่ผลลัพธ์จะปังแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ “เชื้อเพลิง” ที่เราเติมเข้าไปในช่วงที่กินได้ค่ะ ลองปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองดูนะคะ แล้วจะพบว่าการมีผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ!






