ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ทำ IF กี่วันต่อสัปดาห์ดีที่สุด

IF หรือ Intermittent Fasting ที่สาวๆ หลายคนฮิตกัน จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่เลยค่ะ มันคือการกำหนด “ช่วงเวลาอด” กับ “ช่วงเวลากิน” ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้พักและซ่อมแซมตัวเอง เหมือนให้เวลาเซลล์ผิวเราได้ทำสปานั่นเองค่ะ หลักการง่ายๆ คือ แทนที่จะกินจุกจิกทั้งวัน เราจะรวบมื้ออาหารมาอยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กินแค่ 8 ชั่วโมง และอด 16 ชั่วโมง (สูตร 16:8 ยอดฮิต) ประโยชน์ที่ได้ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนักนะคะ แต่ยังช่วยให้ “ฮอร์โมน” ในร่างกายสมดุลขึ้น โดยเฉพาะอินซูลินที่ควบคุมน้ำตาล พออินซูลินนิ่ง ผิวก็อักเสบน้อยลง สิวไม่ค่อยมา แถมยังกระตุ้น “Growth Hormone” หรือฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ ให้ทำงานดีขึ้นด้วย ผลที่ได้คือผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง และดูเด็กกว่าวัยค่ะ

การทำ IF ให้ได้ผลดีที่สุด ไม่ใช่การหักโหมอดนะคะ แต่คือ “ความสม่ำเสมอ” และ “การเลือกกิน” ในช่วงที่เรากินได้ค่ะ หมอแนะนำให้เริ่มง่ายๆ ที่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ก่อน ให้ร่างกายได้ปรับตัว แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนวันเมื่อรู้สึกโอเค ที่สำคัญคือช่วงกิน (Feeding Window) ต้องไม่ใช่การ “กินล้างแค้น” นะคะ! เราต้องเลือกทานอาหารดีๆ มีประโยชน์ เน้นโปรตีนดี ผักใบเขียว และไขมันดี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนต่างๆ ได้เต็มที่ ลองนึกภาพตามว่าเราอดเพื่อให้ร่างกายได้รีเซ็ต แล้วเราก็เติมเชื้อเพลิงคุณภาพดีเข้าไปใหม่ แค่นี้เครื่องยนต์ของเรา (หรือผิวสวยๆ ของเรา) ก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เผาผลาญดีขึ้น ผิวสวยขึ้นจากภายในสู่ภายนอก แบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์เลยล่ะค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้น กรุณาทำนัดเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรับข้อมูลโดยละเอียด

if Intermittent Fasting คืออะไร ทำเพื่ออะไร

IF คืออะไร? ทำไมถึงทำให้สวย หรือสุขภาพดีขึ้น?

Intermittent Fasting ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายที่สุด มันคือ “ศิลปะแห่งการอดเป็นเวลา” ค่ะ ไม่ใช่การอดอาหารแบบไม่กินอะไรเลย แต่เป็นการจัดสรรเวลา “กิน” กับ “อด” ให้เป็นระบบระเบียบ ซึ่งสูตรที่นิยมที่สุดก็คือ 16:8 คืออด 16 ชั่วโมง และมีช่วงเวลากิน (Feeding Window) 8 ชั่วโมงค่ะ

ลองจินตนาการตามนะคะ ปกติเวลาเรากินอาหารตลอดทั้งวัน ร่างกายก็จะยุ่งอยู่กับการหลั่งอินซูลินเพื่อจัดการกับน้ำตาลและสารอาหารที่เข้ามาใหม่ตลอดเวลา เหมือนโรงงานที่ไม่มีเวลาหยุดพักเครื่องเลย แต่พอเราทำ IF ร่างกายจะมีช่วงเวลาว่าง 16 ชั่วโมงเต็มๆ ที่ไม่ต้องยุ่งกับอาหารใหม่ๆ ช่วงเวลานี้แหละค่ะคือ “นาทีทอง” ของการซ่อมแซมตัวเอง

  1. ปรับสมดุลฮอร์โมน ลดสิว ลดการอักเสบ: พอเราอดอาหาร ระดับอินซูลินจะลดลงและคงที่ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะเมื่ออินซูลินไม่พุ่งสูงบ่อยๆ การอักเสบในร่างกายก็จะลดลงไปด้วย สำหรับคนที่เป็นสิวง่าย จะสังเกตได้เลยว่าสิวอักเสบขึ้นน้อยลง ผิวเรียบเนียนขึ้นค่ะ
  2. กระตุ้น Growth Hormone ชะลอวัย: ในช่วงที่เราอด ร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone หรือที่หมอชอบเรียกว่า “ฮอร์โมนน้ำพุแห่งความเยาว์วัย” ออกมามากขึ้น! ฮอร์โมนตัวนี้สำคัญมากในการซ่อมแซมเซลล์ สร้างกล้ามเนื้อ และทำให้ผิวพรรณเราดูสดใส อ่อนเยาว์ เหมือนได้ย้อนวัยให้ผิวเลยทีเดียวค่ะ
  3. กระบวนการ Autophagy (กินเซลล์เก่า): คำนี้อาจจะฟังดูยากนิดนึง แต่ให้จำง่ายๆ ว่ามันคือกระบวนการที่ร่างกาย “เก็บกิน” เซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพหรือทำงานผิดปกติ เหมือนการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ พอเซลล์ขยะถูกกำจัดออกไป เซลล์ใหม่ที่แข็งแรงก็จะถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ ผลลัพธ์ก็คือผิวที่ดูสดใสขึ้นและสุขภาพดีจากภายในค่ะ

แล้วจะเริ่มทำ IF ยังไงดี? อาทิตย์ละกี่วันถึงจะปัง?

หัวใจสำคัญของการทำ IF ไม่ใช่ความหักโหม แต่คือ “ความสม่ำเสมอ” ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราค่ะ

  • มือใหม่หัดสวย: หมอแนะนำให้เริ่มแบบสบายๆ ที่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ อาจจะเลือกวันที่ไม่ค่อยมีนัดสังสรรค์ เช่น วันอังคาร, วันศุกร์ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ชิน ไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป
  • สายกลางเพื่อความงาม: พอเริ่มชินแล้ว ลองปรับเป็น 3-5 วันต่อสัปดาห์ ค่ะ ระดับนี้จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทั้งเรื่องรูปร่างและผิวพรรณ หลายคนนิยมทำวันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วพักช่วงสุดสัปดาห์
  • สายแข็ง อยากเป๊ะทุกวัน: สำหรับคนที่ปรับตัวได้แล้ว การทำทุกวันก็สามารถทำได้ค่ะ เพราะมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ทำได้แบบไม่รู้สึกฝืน

มือใหม่หลายคน เลือกทำ IF ในวันอังคารและวันพฤหัสบดี เพราะวันเว้นวัน มีความคล้ายคลึงกับการถือศีลอดสุนัต (การถือศีลอดโดยสมัครใจ) ในศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก ซึ่งนิยมทำกันใน วันจันทร์และวันพฤหัสบดี ค่ะ แม้ว่าวันจะต่างกันเล็กน้อย แต่หลักการและเหตุผลเบื้องหลังมีความคล้ายคลึงกันในหลายมิติ ดังนี้ค่ะ

ความคล้ายคลึงกัน

  1. การเว้นระยะ: ทั้งสองแบบเป็นการอดอาหารแบบไม่ติดต่อกัน คือมีวันพักระหว่างการอด ซึ่งช่วยให้ร่างกายไม่เครียดจนเกินไปและสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว
  2. การฝึกฝนจิตใจ: การอดอาหารไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสุขภาพหรือศาสนา ล้วนเป็นการฝึกความอดทน การควบคุมตนเอง (Self-discipline) และการตระหนักรู้ถึงร่างกายของตนเอง
  3. ประโยชน์ต่อสุขภาพ: งานวิจัยสมัยใหม่เกี่ยวกับ IF ได้ยืนยันประโยชน์หลายอย่างที่การถือศีลอดมอบให้ เช่น การช่วยให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเอง (Autophagy) การปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน และการเผาผลาญไขมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติทางศาสนาอาจได้รับเป็นผลพลอยได้มานานแล้ว

ความแตกต่าง

  1. เป้าหมายหลัก:
    • IF (Intermittent Fasting): มีเป้าหมายหลักเพื่อสุขภาพและการลดน้ำหนักเป็นหลัก
    • การถือศีลอดในศาสนาอิสลาม: มีเป้าหมายหลักเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจ การขัดเกลาจิตใจ และการแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระเจ้า โดยมีสุขภาพที่ดีเป็นผลพลอยได้
  2. รูปแบบการอด:
    • IF: มีความยืดหยุ่นสูง สามารถกำหนด “ช่วงเวลาที่กินได้” (Feeding Window) ได้หลากหลาย เช่น สูตร 16:8 (อด 16 ชม., กิน 8 ชม.) ซึ่งยังสามารถดื่มน้ำเปล่า หรือกาแฟดำได้ในช่วงอด
    • การถือศีลอดในศาสนาอิสลาม: มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน คือ งดเว้นจากการกิน การดื่มทุกชนิดโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกดิน

ข้อควรจำที่สำคัญที่สุด!

ช่วงเวลา 8 ชั่วโมงที่เรากินได้ ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เรากินของทอด ของหวาน หรือชานมไข่มุกได้เต็มที่นะคะ! คุณภาพของอาหารสำคัญมาก เราควรเน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีนดี (อกไก่, ปลา, ไข่), คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง, โฮลวีต), ไขมันดี (อะโวคาโด, ถั่ว) และผักผลไม้หลากสี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอไปใช้ในการซ่อมแซมและบำรุงผิว

สรุปง่ายๆ ก็คือ IF เป็นเครื่องมือที่ช่วย “รีเซ็ต” ร่างกายให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น แต่ผลลัพธ์จะปังแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ “เชื้อเพลิง” ที่เราเติมเข้าไปในช่วงที่กินได้ค่ะ ลองปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองดูนะคะ แล้วจะพบว่าการมีผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ!

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย