ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

Binge Eating Disorders เป็นโรคที่หายได้ไหม มีวิธีรักษายังไง

มีคนไทยเป็นกันเยอะเลยค่ะ ทั้งที่รู้ตัวและก็ไม่รู้ตัว Binge Eating Disorder สามารถรักษาให้ดีขึ้นและควบคุมได้ค่ะ โดยหัวใจสำคัญคือ การทำจิตบำบัด โดยเฉพาะแบบ CBT เพื่อปรับความคิดและพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ ควบคู่ไปกับ การวางแผนโภชนาการ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารและเลิกอดมื้อกินมื้อ ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณา ใช้ยาร่วมด้วย เพื่อลดความอยากอาหารที่ผิดปกติ และที่ขาดไม่ได้คือ การดูแลตัวเอง เช่น จัดการความเครียดและนอนให้พอ เพื่อลดปัจจัยกระตุ้นค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค กรุณาพบแพทย์หากมีอาการน่ากังวล

พฤติกรรมกินไม่หยุด! Binge Eating Disorder หายได้จริงไหม

หยุดพฤติกรรมกินไม่หยุด! Binge Eating Disorder หายได้จริงไหมคะ?

คำตอบที่หมออยากให้คนไข้สบายใจก่อนเลยคือ Binge Eating Disorder เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หาย หรือควบคุมอาการจนใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุขได้ค่ะ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความตั้งใจของคนไข้ และแนวทางการรักษาที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญนะคะ โรคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “การห้ามใจตัวเองไม่ได้” แต่มันมีปัจจัยทางด้านจิตใจและพฤติกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องลึกซึ้งค่ะ

https://www.prdmh.com/

วิธีการรักษาโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาแบบผสมผสานกันหลายวิธี เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

1. การทำจิตบำบัด (Psychotherapy)

นี่คือหัวใจหลักของการรักษาเลยค่ะ เป็นการพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อค้นหาสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ และเรียนรู้วิธีรับมือกับอารมณ์หรือสถานการณ์เหล่านั้นอย่างถูกต้อง วิธีที่นิยมและได้ผลดีมากคือ

  • CBT (Cognitive-Behavioral Therapy) หรือการบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม: วิธีนี้จะช่วยให้คนไข้ “จับความคิดอัตโนมัติ” ของตัวเองให้ทันค่ะ
    • ตัวอย่างให้เข้าใจง่าย: สมมติว่าทุกครั้งที่คนไข้รู้สึกเครียดจากการทำงาน จะเกิดความคิดแวบขึ้นมาว่า “ต้องหาอะไรอร่อยๆ กินเยอะๆ ถึงจะหายเครียด” ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการกินไม่หยุด การทำ CBT ก็เหมือนการฝึกสมองให้มีสติค่ะ เมื่อความรู้สึกเครียดเริ่มก่อตัว คนไข้จะเรียนรู้ที่จะหยุดคิดและทบทวนว่า “เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้เราแค่เครียด ไม่ได้หิว” แล้วเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นที่ช่วยคลายเครียดได้เหมือนกัน เช่น ฟังเพลง หรือเดินเล่นแทนค่ะ

“โรคที่ถูกซ่อนไว้” (Secretive Disorder)

Binge Eating Disorder มักจะถูกเรียกว่าเป็น “โรคที่ถูกซ่อนไว้” (Secretive Disorder) เพราะพฤติกรรมการกินมักจะเกิดขึ้นตอนที่อยู่คนเดียวจริงๆ เนื่องจากความรู้สึกอับอายหรือรู้สึกผิดเข้ามาเกี่ยวข้อง

การหาตัวเลขที่แม่นยำ 100% นั้นค่อนข้างท้าทาย เพราะหลายคนไม่ได้เข้ารับการวินิจฉัย แต่จากข้อมูลการศึกษาและงานวิจัยต่างๆ หมอสามารถประมาณการสัดส่วนให้เห็นภาพได้ดังนี้ค่ะ

โดยทั่วไปแล้วคาดว่ามีประชากรประมาณ 1-3% ทั่วโลกที่เผชิญกับโรค Binge Eating Disorder ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตค่ะ หมอจะใช้ตัวเลขค่ากลางประมาณ 2% เพื่อทำแผนภูมิวงกลมให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นนะคะ

pie
    title Binge Eating Disorder (BED)
    "ผู้ที่เป็นโรค Binge Eating Disorder" : 2
    "ประชากรทั่วไป" : 98
จากข้อมูลของ NIMH ระบุว่า (lifetime prevalence) ของ Binge Eating Disorder ในผู้ใหญ่ชาวสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 2.8% ค่ะ ซึ่งอยู่ในช่วง 1-3% ที่หมอได้ประมาณการไว้ให้ในตอนแรกค่ะ

2. การให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ (Nutritional Counseling)

นักโภชนาการจะเข้ามาช่วยวางแผนการกินให้คนไข้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารอีกครั้งค่ะ เป้าหมายไม่ได้เน้นที่การลดน้ำหนักเป็นหลัก แต่เน้นที่:

  • การกลับมากินอาหารให้เป็นมื้อ ครบ 3 มื้อ และอาจมีของว่างระหว่างมื้อบ้าง
  • เลิกพฤติกรรมการอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะการอดอาหารนี่แหละค่ะที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกินชดเชยอย่างหนักในมื้อถัดไป
  • เรียนรู้ที่จะรับฟังร่างกาย ว่าตอนไหนคือ “หิว” และตอนไหนคือ “อิ่ม” จริงๆ
ปากกาลดน้ำหนัก Mounjaro คืออะไร มีกี่ขนาด กี่มิลลิกรัม เริ่มต้นใช้ตัวไหนดี ราคาเท่าไหร่ คลินิกไหน ใกล้ฉัน

3. การใช้ยา (Medication)

ในคนไข้บางราย จิตแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อช่วยควบคุมอาการค่ะ โดยยาบางชนิดสามารถช่วยลดแรงกระตุ้นหรือความอยากในการกินที่ผิดปกติได้ แต่ย้ำนะคะว่า การใช้ยาทุกชนิดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อกินเองเด็ดขาดค่ะ

โดยทั่วไปแล้ว การใช้ยาปากกาคุมหิว “ไม่ควรเป็นตัวเลือกแรก” สำหรับการรักษาโรค Binge Eating Disorder โดยเฉพาะค่ะ

เหตุผลหลักก็เพราะว่า โรค Binge Eating Disorder มี รากเหง้ามาจากปัจจัยทางจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม ไม่ใช่แค่เรื่องความหิวทางกายภาพเพียงอย่างเดียว การใช้ยาที่ออกฤทธิ์ลดความอยากอาหารจึงเป็นการ “แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” คือช่วยลดความอยากกินได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการกับ “ตัวกระตุ้น” ที่แท้จริง เช่น ความเครียด ความเศร้า หรือความรู้สึกผิดที่นำไปสู่การกินอย่างควบคุมไม่ได้ค่ะ

ตารางเปรียบเทียบ การรักษาหลักสำหรับ Binge Eating vs. การใช้ยาปากกาคุมหิว

หัวข้อการรักษาหลักสำหรับ Binge Eating Disorder (จิตบำบัด, โภชนาการ)การใช้ยาปากกาคุมหิว (GLP-1 Agonists)
เป้าหมายหลักแก้ไข ต้นตอทางจิตใจ และปรับพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติลดความอยากอาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
กลไกการออกฤทธิ์เรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์และตัวกระตุ้น, สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารออกฤทธิ์ที่สมองและกระเพาะอาหารเพื่อ ควบคุมความหิวทางกายภาพ
ผลลัพธ์ในระยะยาวสร้าง ทักษะติดตัวไปตลอด สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง แม้จะจบการรักษาไปแล้วผลลัพธ์คงอยู่ตราบเท่าที่ใช้ยา หากหยุดยา ผลลัพธ์อาจหายไป และพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกแก้ไขอาจกลับมา
การจัดการกับ “ตัวกระตุ้น”สอนวิธีรับมือโดยตรง เช่น เมื่อเครียดแล้วควรทำอย่างไรแทนการกินไม่ได้ช่วยจัดการ กับตัวกระตุ้นทางอารมณ์ เมื่อเจอปัญหาเดิมๆ ก็ยังอาจจะหาวิธีอื่นมารับมือไม่ได้
ผลข้างเคียงอาจต้องใช้ความอดทนและความตั้งใจในการเผชิญหน้ากับปัญหาทางอารมณ์คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องผูก/ท้องเสีย, อ่อนเพลีย และมีค่าใช้จ่ายสูงต่อเนื่อง
ความเหมาะสมเป็นการรักษามาตรฐาน (Gold Standard) ที่แนะนำเป็นอันดับแรกสำหรับโรค Binge Eating Disorderอาจเป็น “ตัวช่วยเสริม” ในบางกรณีภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนร่วมด้วยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ใช่การรักษาหลัก
ขั้นตอนการทำงานของปากกาลดน้ำหนัก ลดความอ้วน คุมหิว Mounjaro

4. การดูแลตัวเองและหาคนสนับสนุน (Self-Care & Support)

เรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะความเครียดและการอดนอนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี ของอาการ Binge Eating เลยค่ะ การดูแลตัวเองง่ายๆ ที่คนไข้ทำได้เลยคือ:

  • จัดการความเครียด เช่น ออกกำลังกายเบาๆ หางานอดิเรกทำ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • พูดคุยปัญหากับเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวที่ไว้ใจ การมีคนรับฟังก็ช่วยลดแรงกดดันได้มากเลยนะคะ

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย