หยุดพฤติกรรมกินไม่หยุด! Binge Eating Disorder หายได้จริงไหมคะ?
คำตอบที่หมออยากให้คนไข้สบายใจก่อนเลยคือ Binge Eating Disorder เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หาย หรือควบคุมอาการจนใช้ชีวิตได้เป็นปกติสุขได้ค่ะ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความตั้งใจของคนไข้ และแนวทางการรักษาที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญนะคะ โรคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของ “การห้ามใจตัวเองไม่ได้” แต่มันมีปัจจัยทางด้านจิตใจและพฤติกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องลึกซึ้งค่ะ

วิธีการรักษาโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาแบบผสมผสานกันหลายวิธี เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
1. การทำจิตบำบัด (Psychotherapy)
นี่คือหัวใจหลักของการรักษาเลยค่ะ เป็นการพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อค้นหาสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ และเรียนรู้วิธีรับมือกับอารมณ์หรือสถานการณ์เหล่านั้นอย่างถูกต้อง วิธีที่นิยมและได้ผลดีมากคือ
- CBT (Cognitive-Behavioral Therapy) หรือการบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม: วิธีนี้จะช่วยให้คนไข้ “จับความคิดอัตโนมัติ” ของตัวเองให้ทันค่ะ
- ตัวอย่างให้เข้าใจง่าย: สมมติว่าทุกครั้งที่คนไข้รู้สึกเครียดจากการทำงาน จะเกิดความคิดแวบขึ้นมาว่า “ต้องหาอะไรอร่อยๆ กินเยอะๆ ถึงจะหายเครียด” ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการกินไม่หยุด การทำ CBT ก็เหมือนการฝึกสมองให้มีสติค่ะ เมื่อความรู้สึกเครียดเริ่มก่อตัว คนไข้จะเรียนรู้ที่จะหยุดคิดและทบทวนว่า “เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้เราแค่เครียด ไม่ได้หิว” แล้วเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นที่ช่วยคลายเครียดได้เหมือนกัน เช่น ฟังเพลง หรือเดินเล่นแทนค่ะ
“โรคที่ถูกซ่อนไว้” (Secretive Disorder)
Binge Eating Disorder มักจะถูกเรียกว่าเป็น “โรคที่ถูกซ่อนไว้” (Secretive Disorder) เพราะพฤติกรรมการกินมักจะเกิดขึ้นตอนที่อยู่คนเดียวจริงๆ เนื่องจากความรู้สึกอับอายหรือรู้สึกผิดเข้ามาเกี่ยวข้อง
การหาตัวเลขที่แม่นยำ 100% นั้นค่อนข้างท้าทาย เพราะหลายคนไม่ได้เข้ารับการวินิจฉัย แต่จากข้อมูลการศึกษาและงานวิจัยต่างๆ หมอสามารถประมาณการสัดส่วนให้เห็นภาพได้ดังนี้ค่ะ
โดยทั่วไปแล้วคาดว่ามีประชากรประมาณ 1-3% ทั่วโลกที่เผชิญกับโรค Binge Eating Disorder ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตค่ะ หมอจะใช้ตัวเลขค่ากลางประมาณ 2% เพื่อทำแผนภูมิวงกลมให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นนะคะ
pie title Binge Eating Disorder (BED) "ผู้ที่เป็นโรค Binge Eating Disorder" : 2 "ประชากรทั่วไป" : 98
จากข้อมูลของ NIMH ระบุว่า (lifetime prevalence) ของ Binge Eating Disorder ในผู้ใหญ่ชาวสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 2.8% ค่ะ ซึ่งอยู่ในช่วง 1-3% ที่หมอได้ประมาณการไว้ให้ในตอนแรกค่ะ
2. การให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ (Nutritional Counseling)
นักโภชนาการจะเข้ามาช่วยวางแผนการกินให้คนไข้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหารอีกครั้งค่ะ เป้าหมายไม่ได้เน้นที่การลดน้ำหนักเป็นหลัก แต่เน้นที่:
- การกลับมากินอาหารให้เป็นมื้อ ครบ 3 มื้อ และอาจมีของว่างระหว่างมื้อบ้าง
- เลิกพฤติกรรมการอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะการอดอาหารนี่แหละค่ะที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกินชดเชยอย่างหนักในมื้อถัดไป
- เรียนรู้ที่จะรับฟังร่างกาย ว่าตอนไหนคือ “หิว” และตอนไหนคือ “อิ่ม” จริงๆ

3. การใช้ยา (Medication)
ในคนไข้บางราย จิตแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อช่วยควบคุมอาการค่ะ โดยยาบางชนิดสามารถช่วยลดแรงกระตุ้นหรือความอยากในการกินที่ผิดปกติได้ แต่ย้ำนะคะว่า การใช้ยาทุกชนิดต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อกินเองเด็ดขาดค่ะ
โดยทั่วไปแล้ว การใช้ยาปากกาคุมหิว “ไม่ควรเป็นตัวเลือกแรก” สำหรับการรักษาโรค Binge Eating Disorder โดยเฉพาะค่ะ
เหตุผลหลักก็เพราะว่า โรค Binge Eating Disorder มี รากเหง้ามาจากปัจจัยทางจิตใจ อารมณ์ และพฤติกรรม ไม่ใช่แค่เรื่องความหิวทางกายภาพเพียงอย่างเดียว การใช้ยาที่ออกฤทธิ์ลดความอยากอาหารจึงเป็นการ “แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” คือช่วยลดความอยากกินได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการกับ “ตัวกระตุ้น” ที่แท้จริง เช่น ความเครียด ความเศร้า หรือความรู้สึกผิดที่นำไปสู่การกินอย่างควบคุมไม่ได้ค่ะ
ตารางเปรียบเทียบ การรักษาหลักสำหรับ Binge Eating vs. การใช้ยาปากกาคุมหิว
หัวข้อ | การรักษาหลักสำหรับ Binge Eating Disorder (จิตบำบัด, โภชนาการ) | การใช้ยาปากกาคุมหิว (GLP-1 Agonists) |
---|---|---|
เป้าหมายหลัก | แก้ไข ต้นตอทางจิตใจ และปรับพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ | ลดความอยากอาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น |
กลไกการออกฤทธิ์ | เรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์และตัวกระตุ้น, สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหาร | ออกฤทธิ์ที่สมองและกระเพาะอาหารเพื่อ ควบคุมความหิวทางกายภาพ |
ผลลัพธ์ในระยะยาว | สร้าง ทักษะติดตัวไปตลอด สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง แม้จะจบการรักษาไปแล้ว | ผลลัพธ์คงอยู่ตราบเท่าที่ใช้ยา หากหยุดยา ผลลัพธ์อาจหายไป และพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกแก้ไขอาจกลับมา |
การจัดการกับ “ตัวกระตุ้น” | สอนวิธีรับมือโดยตรง เช่น เมื่อเครียดแล้วควรทำอย่างไรแทนการกิน | ไม่ได้ช่วยจัดการ กับตัวกระตุ้นทางอารมณ์ เมื่อเจอปัญหาเดิมๆ ก็ยังอาจจะหาวิธีอื่นมารับมือไม่ได้ |
ผลข้างเคียง | อาจต้องใช้ความอดทนและความตั้งใจในการเผชิญหน้ากับปัญหาทางอารมณ์ | คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องผูก/ท้องเสีย, อ่อนเพลีย และมีค่าใช้จ่ายสูงต่อเนื่อง |
ความเหมาะสม | เป็นการรักษามาตรฐาน (Gold Standard) ที่แนะนำเป็นอันดับแรกสำหรับโรค Binge Eating Disorder | อาจเป็น “ตัวช่วยเสริม” ในบางกรณีภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนร่วมด้วยอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ใช่การรักษาหลัก |

4. การดูแลตัวเองและหาคนสนับสนุน (Self-Care & Support)
เรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะความเครียดและการอดนอนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี ของอาการ Binge Eating เลยค่ะ การดูแลตัวเองง่ายๆ ที่คนไข้ทำได้เลยคือ:
- จัดการความเครียด เช่น ออกกำลังกายเบาๆ หางานอดิเรกทำ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- พูดคุยปัญหากับเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวที่ไว้ใจ การมีคนรับฟังก็ช่วยลดแรงกดดันได้มากเลยนะคะ