การประเมินว่า “อ้วนหรือไม่” สามารถดูได้จากหลายปัจจัยและเครื่องมือ แต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน วิธีที่นิยมและพบเห็นบ่อยสุด 3 วิธีหลัก
BMI (Body Mass Index)
คืออะไร เป็นดัชนีมวลกาย ที่คำนวณจาก น้ำหนัก (กก.) / ส่วนสูง^2 (เมตร)
ค่ามาตรฐาน
- ต่ำกว่า 18.5 = ผอม
- 18.5 – 22.9 = ปกติ
- 23.0 – 24.9 = น้ำหนักเกิน
- 25.0 – 29.9 = อ้วนระดับ 1
- 30.0 ขึ้นไป = อ้วนระดับ 2
ข้อดี
- คำนวณง่าย
- เหมาะใช้ในกลุ่มประชากร
ข้อจำกัด: - ไม่สามารถบอกสัดส่วนไขมัน ต่อกล้ามเนื้อ
- คนรูปร่างนักกีฬา อาจ BMI สูง แต่ไม่ได้อ้วนจริง
WHtR (Waist-to-Height Ratio)
คืออะไร คือ “รอบเอว (ซม.) / ส่วนสูง (ซม.)”
ค่ามาตรฐาน
- ไม่ควรเกิน 0.5 (เช่น คนสูง 170 ซม. ควรมีรอบเอวไม่เกิน 85 ซม.)
ข้อดี
- บ่งบอกความเสี่ยงโรคหัวใจ, เบาหวาน ได้ดีกว่า BMI
- ให้ความสำคัญกับ “ไขมันหน้าท้อง” ซึ่งอันตราย
ข้อจำกัด
- ต้องวัดรอบเอวอย่างถูกวิธี
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat %)
คืออะไร
คือการวัดปริมาณไขมันทั้งหมดในร่างกายเทียบกับน้ำหนักตัว
ค่ามาตรฐาน
- ผู้ชาย: 15–20%
- ผู้หญิง: 25–30%
ข้อดี
- แม่นยำ เห็นสัดส่วนไขมันจริง
ข้อจำกัด
- ต้องใช้เครื่องมือวัด เช่น เครื่องวัดไขมัน BIA, DEXA, คาลิเปอร์ ฯลฯ
ไขมันในเลือด (Cholesterol & Triglyceride)
คืออะไร ตรวจวัดคอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์ทางห้องปฏิบัติการ
ข้อดี
- บอกระดับไขมันในเลือดที่สัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ข้อจำกัด
- ไม่ใช่ตัววัด “อ้วนหรือไม่” โดยตรง แต่วัด “สุขภาพไขมันในเลือด”
- น้ำหนักปกติ แต่อาจมีไขมันในเลือดสูงได้