พญ.อภิญญา เสาร์แก้ว

APINYA SAOKAEW, M.D.
หมอต้าร์
doctor passion

ปณิธาน

หมอเชื่อมั่นในการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาและออกแบบแนวทางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล (Personalized Beauty) เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เลขที่ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม

49465

ตรวจสอบชื่อแพทย์ได้ที่นี่

หมอต้าร์ หมอตัวจริง ตรวจสอบได้
experience

ประสบการณ์

  • 2008-2013 สำเร็จการศึกษาคณะแพทยศาสตร์ สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เกียรตินิยมอันดับสอง
  • 2013-2014 แพทย์เพิ่มพูนทักษะ โรงพยาบาลปากช่องนานา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
  • 2014-2017 แพทย์ปฏิบัติการ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า100ปี อ.เมืองยาง จ.นครราชสีมา
  • 2018-2020 Fellowship in Anti-Aging and Regenerative Medicine, Dhurakij Pundit University and College of Integrative Medicine
  • 2016 ผ่านการอบรมระยะสั้นตจวิทยา “ Common Skin Disease : Truths untold “สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย
  • 2018 Certificate of participation “Skin Laser Therapy in Clinical Practice Course “ by AESTHETICS CONCEPT ACADEMY 
  • 2018 Certificate of participation “ Basic To Advanced Thread Lift “ by AESTHETICS CONCEPT ACADEMY 
  • 2018 Certificate of participation “ Dermatosurgery, Advanced Aesthetic and Anti-Aging Medicine In Practice “ by AESTHETICS CONCEPT ACADEMY 
  • 2018 has participated in The 4th GALAA Conference by Global Association of Leaders in Aesthetics and Anatomy
  • 2018 has attended The 43rd Annual Meeting of the Dermatological Society of Thailand 
  • 2019 has attended THE 9th INTERNATIONAL THAICOSDERM CONGRESS ON AESTHETIC MEDICINE “Catch Up Emerging Innovations In Aesthetic Medicine & Surgery”
  • 2019 has participated in The 5th GALAA Conference by Global Association of Leaders in Aesthetics and Anatomy
  • 2019 has satisfactorily served and completed “Recent Advances in Aesthetic Dermatology” by School of Anti Aging and Regenerative Medicine, Mae Fah Luang University 
  • 2019 has participated in the H.E.A.T. INTERNATIONAL CONGRESS ON ANTI-AGING MEDICINE “Improving Health Span to Combat Age Related Illness” by Health Education & Academics (Thailand)
  • 2019 has successfully participated in the H.E.A.T. INTERNATIONAL ANTI-AGING WORKSHOP “Non-Communicable Diseases“ by Health Education & Academics (Thailand)
  • 2020 has participated in 10th Introduction to Practical Cell Therapy Workshop by Association of Cell therapy, Thailand
  • 2020 has successfully participated in the H.E.A.T. INTERNATIONAL ANTI-AGING WORKSHOP “ Stem Cells  in Aesthetics “ by Health Education & Academics (Thailand)
  • 2020 ผ่านการอบรม โครงการอบรมออนไลน์ โรคผิวหนังน่ารู้ในเวชปฏิบัติ จากศูนย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • 2022 เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ การแพทย์ผสมผสาน เรื่อง โภชนเวชศาสตร์รุ่นที่ 3 (3thTIMA Nutraceutical 2022 Conference)
  • 2022 Has Participated In The GAIN 2022 AESTHETIC JOURNEYS EVENT by GALDERMA
CERTIFICATE

ศาสตร์ชะลอวัย

Anti-aging and Regenerative Medicine

Visual Portfolio, Posts & Image Gallery for WordPress
CERTIFICATE

เวชศาสตร์ผิวหนัง

Aesthetic Dermatology

Visual Portfolio, Posts & Image Gallery for WordPress
Q&a

คำถามที่พบบ่อย

Sculptra และ Filler ต่างก็เป็นวิธีการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่มีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน

Sculptra เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผลิตจาก Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ โดยการฉีด Sculptra เข้าไปใต้ผิวหนัง จะทำให้ PLLA ค่อย ๆ ละลายและกระตุ้นให้เซลล์ Fibroblast ที่อยู่บริเวณนั้นสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้กับผิว ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง

Filler เป็นสารเติมเต็ม ผลิตจากสารต่าง ๆ เช่น Hyaluronic Acid (HA), Polymethylmethacrylate (PMMA), Calcium hydroxylapatite (CaHA) เป็นต้น โดยการฉีด Filler เข้าไปใต้ผิวหนัง จะช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณที่ต้องการ ทำให้ใบหน้าดูเต็มขึ้นและลดริ้วรอยได้

ข้อดีของ Sculptra

  • ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • ปลอดภัย ร่างกายสามารถดูดซึมได้

ข้อเสียของ Sculptra

  • เห็นผลช้ากว่า Filler
  • ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงจะเห็นผลเต็มที่

ข้อดีของ Filler

  • เห็นผลทันทีหลังฉีด
  • สามารถใช้เติมเต็มร่องลึก ริ้วรอย และปรับรูปหน้าได้

ข้อเสียของ Filler

  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-24 เดือน
  • มีโอกาสเกิดการแพ้หรืออักเสบได้ ต้องฉีดโดยแพทย์ ฉีดในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น

สรุป

Sculptra และ Filler ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาของแต่ละบุคคล หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน Sculptra ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผลทันที Filler ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่มีความปลอดภัยสูง หากเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกต้อง มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่เป็นสารเติมเต็มไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid : HA) ฟิลเลอร์จะสลายตัวไปตามธรรมชาติภายใน 6-24 เดือน โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม หากฉีดฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น

  • อาการแพ้ เช่น บวมแดง คัน ปวด ชา
  • การติดเชื้อ
  • ก้อนแข็ง
  • ตาบอด

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และเลือกฉีดกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

คำแนะนำในการเลือกฉีดฟิลเลอร์

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์แบรนด์ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน อย. ประเทศไทย
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีด เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล
  • เลือกฉีดกับคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์

ไหมน้ำ Ultracol สามารถฉีดได้ทุกบริเวณใบหน้า ลำคอ หรือหลังมือ ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีดไหมน้ำที่สุดคือ ใต้ตา หรือบริเวณที่มีความหมองคล้ำเป็นพิเศษ มีริ้วรอยหรือมีผิวที่ไม่กระชับ

นอกจากนี้ ไหมน้ำ Ultracol ยังสามารถใช้ฉีดเพื่อยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้า ให้หน้าเรียวขึ้น เติมเต็มร่องลึก ริ้วรอยต่างๆ ปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยให้ผิวที่อ่อนล้ากลับมาดูสดใส

โดยสรุป ไหมน้ำ Ultracol สามารถฉีดได้ในบริเวณต่อไปนี้

  • ใต้ตา
  • ร่องแก้ม
  • ร่อง nasolabial fold
  • ร่องมุมปาก
  • แก้ม
  • คาง
  • หน้าผาก
  • ลำคอ
  • หลังมือ

ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตำแหน่งที่ฉีดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงปัญหาและความต้องการของแต่ละคนเป็นหลัก

ใต้ตาคล้ำ เกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้หลอดเลือดใต้ตาขยายตัว มองเห็นเส้นเลือดชัดขึ้น ผิวบริเวณใต้ตาจึงดูคล้ำ
  • ความเครียด ส่งผลให้หลอดเลือดใต้ตาขยายตัวเช่นกัน
  • พันธุกรรม บางคนอาจมีผิวใต้ตาคล้ำเป็นกรรมพันธุ์
  • โรคประจำตัว เช่น โรคไทรอยด์ โรคภูมิแพ้ โรคตับ โรคไต เป็นต้น
  • การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้สารเคมีที่ระคายเคืองดวงตา

วิธีรักษาใต้ตาคล้ำ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้

1. การรักษาจากภายใน

  • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • ลดภาวะเครียด ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ฟังเพลง เป็นต้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ โปรตีน และธัญพืชไม่ขัดสี
  • หลีกเลี่ยงสารเคมีที่ระคายเคืองดวงตา เช่น น้ำหอม เครื่องสำอาง บุหรี่ เป็นต้น

2. การรักษาจากภายนอก

  • ใช้อายครีมบำรุงผิวบริเวณใต้ตา อายครีมที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว เช่น ไฮยาลูรอน วิตามินซี อาร์บูติน เป็นต้น
  • ใช้เครื่องสำอางปกปิดรอยคล้ำใต้ตา เช่น คอนซีลเลอร์ คุชชั่น เป็นต้น
  • เลเซอร์ เป็นการฉายแสงเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูกระจ่างใสขึ้น
  • ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความกระชับให้กับผิวบริเวณใต้ตา ทำให้รอยคล้ำดูจางลง

หากใต้ตาคล้ำมากหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

วิธีรักษาสิวให้หายขาด ต้องทำการรักษาที่ต้นเหตุของการเกิดสิว ซึ่งสาเหตุของการเกิดสิวนั้นมีหลายปัจจัย ดังนี้

  • ฮอร์โมน ฮอร์โมนเพศชาย (androgen) เป็นตัวกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้
  • พันธุกรรม หากพ่อแม่หรือพี่น้องมีประวัติเป็นสิว ก็มีโอกาสที่จะเป็นสิวได้เช่นกัน
  • แบคทีเรีย แบคทีเรีย Propionibacterium acnes เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังปกติ แต่หากรูขุมขนอุดตัน แบคทีเรียชนิดนี้จะเจริญเติบโตและผลิตสารพิษที่ก่อให้เกิดการอักเสบและเป็นสิว
  • สิ่งแวดล้อม ปัจจัยแวดล้อม เช่น อากาศร้อน มลพิษ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน

การรักษาสิวที่ต้นเหตุนั้น สามารถทำได้โดยการใช้ยาและการรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสง ร่วมกับการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน

การใช้ยารักษาสิว

ยารักษาสิวมีหลายชนิด แพทย์จะพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยยารักษาสิวที่นิยมใช้กัน ได้แก่

  • ยาทา เช่น ยากลุ่มเรตินอยด์ (retinoid) ยากลุ่มกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) ยากลุ่มเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)
  • ยารับประทาน เช่น ยากลุ่มอะดาพาเลน (adapalene) ยากลุ่มอิโซเทรติโนอิน (isotretinoin)

การกดสิว ฉีดสิวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาสิวให้หายขาด

การกดสิว ฉีดสิว ไม่ใช่ทางเลือกแรกของการรักษาสิว เพราะการกดสิว ฉีดสิวเป็นการกำจัดสิวที่ปลายเหตุเท่านั้น ไม่ได้ช่วยรักษาที่ต้นเหตุของการเกิดสิว ซึ่งอาจทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้

การกดสิวเป็นการบีบหัวสิวออก เพื่อเอาหนองหรือไขมันที่อยู่ภายในออก สามารถทำได้เองที่บ้าน หรือให้แพทย์ทำก็ได้ แต่หากกดสิวไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น เกิดรอยดำ รอยแดง หรือรอยหลุมสิวได้

การฉีดสิวเป็นการฉีดยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เข้าไปในหัวสิว เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือลดการอักเสบของสิว แต่ไม่ควรทำเองที่บ้าน ควรให้แพทย์ทช่วยดูแล เพราะหากกด ฉีดสิวไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเกิดรอยดำ รอยแดงได้

Exosome เป็นถุงขนาดเล็กที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ มีขนาดประมาณ 30-100 นาโนเมตร ประกอบไปด้วยสารชีวโมเลกุลต่าง ๆ เช่น DNA, RNA, ไขมัน, โปรตีน และไซโตไคน์ ไซโตไคน์เป็นสารสื่อกลางที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ด้วยกัน

Exosome มีประโยชน์หลายประการ เช่น

  • ช่วยซ่อมแซมเซลล์ สารชีวโมเลกุลใน Exosome สามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพได้
  • กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ Exosome สามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายหรือเสื่อมสภาพไป
  • ต้านการอักเสบ Exosome สามารถช่วยต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย
  • ลดการทำลายเซลล์ Exosome สามารถช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ

Exosome กำลังถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น

  • โรคมะเร็ง Exosome สามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้
  • โรคข้ออักเสบ Exosome สามารถช่วยลดการอักเสบและปวดข้อ
  • โรคอัลไซเมอร์ Exosome สามารถช่วยซ่อมแซมเซลล์สมองที่เสียหาย
  • โรคต้อกระจก Exosome สามารถช่วยชะลอการลุกลามของโรคต้อกระจก

โปรแกรมรักษาผิวแพ้ง่าย

ผิวแพ้ง่ายเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม สภาพแวดล้อม การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว เป็นต้น ส่งผลให้ผิวเกิดการระคายเคือง แดง บวม คัน เป็นผื่น และอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นอักเสบได้

การรักษาผิวแพ้ง่ายนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิว โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • ปัญหาผิวแพ้ง่ายเล็กน้อย มักมีอาการระคายเคือง แดง คัน เพียงเล็กน้อย สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง เช่น สารกันเสีย น้ำหอม แอลกอฮอล์ เป็นต้น
  • ปัญหาผิวแพ้ง่ายปานกลาง มักมีอาการระคายเคือง แดง คัน บวม เป็นผื่น อาจมีตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองร่วมด้วย จำเป็นต้องรักษาด้วยยาทาหรือยารับประทาน เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากลุ่มต้านการอักเสบ
  • ปัญหาผิวแพ้ง่ายรุนแรง มักมีอาการระคายเคือง แดง บวม เป็นผื่น คันมาก มีตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองจำนวนมาก อาจมีรอยแผลเป็น จำเป็นต้องรักษาด้วยยารับประทานหรือการรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสง

โปรแกรมรักษาผิวแพ้ง่าย เรียงลำดับจากงบประมาณที่ใช้จากน้อยไปมาก

1. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน

เป็นโปรแกรมรักษาผิวแพ้ง่ายที่ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง เช่น สารกันเสีย น้ำหอม แอลกอฮอล์ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย ได้แก่

  • ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิว
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น ว่านหางจระเข้ สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ เป็นต้น
  • ผลิตภัณฑ์กันแดด ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป และไม่มีสารระคายเคืองผิว

2. การรักษาด้วยยาทา

หากปัญหาผิวแพ้ง่ายไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน อาจพิจารณารักษาด้วยยาทา เช่น

  • ยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการอักเสบ แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบางลง รูขุมขนกว้างขึ้น
  • ยากลุ่มต้านการอักเสบ เป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบได้เช่นกัน แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่ายากลุ่มสเตียรอยด์

3. การรักษาด้วยยารับประทาน

หากปัญหาผิวแพ้ง่ายรุนแรง อาจพิจารณารักษาด้วยยารับประทาน เช่น

  • ยากลุ่มต้านการอักเสบ เป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบได้เช่นกัน แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่ายากลุ่มสเตียรอยด์
  • ยากลุ่มอิมมูโนโมดูลاتور เป็นยาที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

4. การรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสง

การรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสงเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น การรักษาด้วยเลเซอร์หรือแสงที่นิยมใช้สำหรับผิวแพ้ง่าย ได้แก่

  • เลเซอร์ ND:YAG เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นที่เหมาะสมในการลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • เลเซอร์ Picosecond เป็นเลเซอร์ที่มีพลังงานสูง สามารถช่วยกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

คำแนะนำในการเลือกโปรแกรมรักษาผิวแพ้ง่าย

  • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับปัญหาผิวและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
  • ควรเริ่มการรักษาด้วยโปรแกรมที่ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายก่อน หากปัญหาผิวไม่ดีขึ้น อาจพิจารณารักษาด้วยโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษาได้ผลดีและปลอดภัย

การทำทรีทเมนท์ผิวหน้าสามารถช่วยเรื่องผิวแพ้ง่ายได้หลายวิธี ดังนี้

  • การทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ช่วยลดสิ่งสกปรก น้ำมัน และแบคทีเรียที่สะสมบนผิว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวและอาการแพ้
  • การผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกไป ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและลดการอุดตันของรูขุมขน
  • การเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดการระคายเคือง
  • การปลอบประโลมผิว ช่วยให้ผิวผ่อนคลายและลดอาการอักเสบ

ตัวยาสำคัญที่ใช้ในการทำทรีทเมนท์ผิวหน้าเพื่อช่วยลดอาการแพ้ง่าย ได้แก่

  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน และลดการอักเสบ
  • กรดไกลโคลิค (Glycolic acid) เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดเลือนริ้วรอย และกระชับรูขุมขน
  • กรดแลคติค (Lactic acid) เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดการอักเสบ
  • ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และลดอาการแพ้
  • สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ (Chamomile extract) เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และลดอาการระคายเคือง

นอกจากนี้ การทำทรีทเมนท์ผิวหน้าบางชนิดยังอาจใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย เช่น

  • เทคโนโลยีเลเซอร์ สามารถใช้ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • เทคโนโลยีแสง สามารถใช้ช่วยลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

โบท็อกซ์เป็นสารชนิดหนึ่งที่ใช้ในการลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นต่างๆ นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน มีหลากหลายยี่ห้อให้คุณได้เลือกใช้ แต่ยี่ห้อไหนที่ดีที่สุดและอยู่ได้นานที่สุดนั้นคงไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิวของแต่ละบุคคล วิธีการฉีดโบท็อกซ์ รวมถึงการดูแลรักษาหลังการฉีดโบท็อกซ์ โดยทั่วไปแล้วโบท็อกซ์จะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณที่ฉีดเข้าไป หากฉีดในปริมาณที่มาก โบท็อกซ์ก็จะอยู่ได้นานกว่า อย่างไรก็ตามหากคุณดูแลรักษาตัวเองเป็นอย่างดี โบท็อกซ์ก็สามารถอยู่ได้นานกว่า 6 เดือนได้

แต่จากประสบการณ์แพทย์ที่ให้การรักษาคนไข้มาทุกปัญหาริ้วรอย แลทุกช่วงอายุ พบว่า สารลดริ้วรอย ลดการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า “โบท็อกซ์” แต่ละยี่ห้อจะมีคาแรคเตอร์ จุดเด่นเป็นของตัวเองอยู่ เช่น บางยี่ห้อจะเห็นผลเร็ว ออกฤทธิ์ไว ผิวตึงไว หรือบางยี่ห้อก็จะมีการเห็นผลได้นาน นานกว่าที่หมอเคยแจ้งเอาไว้ หรือบางยี่ห้อ จะเน้นความเป็นการออกฤทธิ์ในได้ดีในมัดกล้ามเนื้อที่ใหญ่ เหมาะแก่การเอามาฉีดลดน่อง ฉีดบ่าไหล่ ลดการปวดออฟฟิศซินโดรม เป็นต้น