A woman’s age is written on her neck and hands
เมื่ออายุเข้าสู่เลขสี่ หลายท่านคงดูแลผิวหน้าเป็นอย่างดีจนใครก็เดาอายุไม่ถูก แต่เจ้า “ผิวบริเวณลำคอ” นี่เองที่มักจะฟ้องวัยที่แท้จริงของเรา ทั้งริ้วรอย เส้นรอยพับ และความหย่อนคล้อยที่เริ่มมาเยือน ทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะนวัตกรรมความงามในปัจจุบันมีตัวช่วยดีๆ อย่างการฉีด “ฟิลเลอร์คอ” ที่จะมาจัดการปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป คืนความเรียบเนียนเต่งตึงให้ลำคอของเรากลับมาสวยสง่าอีกครั้ง
ทำความรู้จักฟิลเลอร์คอ คืออะไร
โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์คอ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) เข้าไปที่ผิวหนังบริเวณลำคอ สาร HA นี้เป็นสารที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา มีคุณสมบัติช่วยรักษาความชุ่มชื้น เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ทำให้ผิวบริเวณคอที่เหี่ยวย่นหรือเป็นเส้น กลับมาดูเรียบเนียน อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ที่สำคัญคือเป็นหัตถการที่สารเติมเต็มสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกายค่ะ

ความแตกต่างระหว่างริ้วรอยคอแนวตั้งและแนวนอน
ริ้วรอยคอแนวนอน (Horizontal Neck Lines) | ริ้วรอยคอแนวตั้ง (Vertical Neck Bands) |
---|---|
ลักษณะ เป็นเส้นหรือรอยพับขวางไปตามลำคอ อาจมีเส้นเดียวหรือหลายเส้นซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่คนมักเรียกว่า “คอเป็นปล้อง” | ลักษณะ เป็นเส้นเอ็นหรือลำกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัดเจนเป็นแนวตั้งสองข้างของลำคอ โดยจะเห็นชัดขึ้นเมื่อเกร็งคอหรือพูด |
สาเหตุหลัก • อายุที่มากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและเกิดการยุบตัวเป็นร่อง • พฤติกรรม การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออ่านหนังสือเป็นเวลานาน (Tech Neck) • พันธุกรรม โครงสร้างผิวของบางคนมีแนวโน้มเกิดริ้วรอยแนวนอนได้ง่ายกว่า • การนอน การนอนหมอนสูงเกินไปทำให้คอพับเป็นเวลานาน | สาเหตุหลัก • กล้ามเนื้อ Platysma เกิดจากการหดตัวและหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ Platysma ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อแผ่นบางๆ ที่คลุมอยู่บริเวณลำคอ • อายุที่มากขึ้น ผิวหนังที่บางลงและสูญเสียไขมัน ทำให้มองเห็นการทำงานของกล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น • การออกแรง/เกร็งคอ การออกกำลังกายบางท่า หรือการแสดงสีหน้า ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำงานหนักและเห็นเป็นเส้นชัดขึ้น |
วิธีการรักษาที่นิยม • ฉีดฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) เป็นวิธีที่นิยมที่สุด เพื่อเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียน • เลเซอร์/คลื่นวิทยุ (RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแน่นขึ้น | วิธีการรักษาที่นิยม • ฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum Toxin) เป็นวิธีหลักในการรักษา เพื่อคลายการหดตัวของกล้ามเนื้อ Platysma ทำให้เส้นแนวตั้งดูจางลงและเรียบเนียนขึ้น • การผ่าตัดดึงคอ (Neck Lift) ในกรณีที่มีความหย่อนคล้อยมาก การผ่าตัดจะช่วยแก้ไขโครงสร้างกล้ามเนื้อและผิวหนังได้โดยตรง |
สาเหตุหลักของปัญหาคอเหี่ยวย่นและเป็นชั้น
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าปัญหาคอเป็นชั้นหรือเหี่ยวย่นจะเกิดกับคนที่มีน้ำหนักเยอะหรือผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้วปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนจากหลากหลายสาเหตุ ดังนี้ค่ะ

- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ เกิดเป็นริ้วรอยและความหย่อนคล้อยตามมา
- พันธุกรรม ลักษณะผิวที่อาจมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าปกติ สามารถถ่ายทอดมาจากคนในครอบครัวได้ ทำให้บางคนแม้จะอายุน้อยหรือมีรูปร่างผอมก็อาจมีเส้นที่คอมาตั้งแต่กำเนิด
- น้ำหนักตัว ภาวะน้ำหนักเกินทำให้มีไขมันไปสะสมที่ลำคอจนผิวหนังย้วยออกมาเป็นชั้นๆ ในทางกลับกัน การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วก็ทำให้ผิวปรับตัวไม่ทันและเกิดความหย่อนคล้อยได้เช่นกัน
- แสงแดดและมลภาวะ การไม่ทาครีมกันแดดที่คอ ทำให้ผิวถูกทำร้ายจากรังสียูวี คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวจึงถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การทำพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น การก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน การนอนหนุนหมอนสูงเกินไป หรือการนั่งหลังค่อม ล้วนส่งผลให้เกิดรอยพับที่คอได้ทั้งสิ้น
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ สารในบุหรี่และแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายและขัดขวางการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและหย่อนคล้อยได้เร็วกว่าปกติ
- ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวที่แห้งจะเกิดริ้วรอยและรอยพับได้ง่ายกว่าผิวที่มีความชุ่มชื้น
ฉีดฟิลเลอร์คอ จะช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การฉีดฟิลเลอร์คอนับเป็นนวัตกรรมความงามที่ช่วยแก้ปัญหาผิวบริเวณลำคอได้อย่างครอบคลุมและเห็นผลรวดเร็ว ดังนี้ค่ะ
- ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก ช่วยเติมเต็มเส้นแนวยาวและรอยพับบริเวณลำคอให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
- ยกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ทำให้ผิวบริเวณลำคอดูเต่งตึงและกระชับมากขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้น สาร HA ในฟิลเลอร์มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ผิวบริเวณคอที่แห้งกร้านกลับมาชุ่มชื้น อิ่มฟู และดูสดใส
- ปรับสภาพสีผิว ช่วยให้สีผิวบริเวณลำคอที่หมองคล้ำ ไม่สม่ำเสมอ ดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น

การทาครีมบำรุง (Topical Creams) | การฉีดฟิลเลอร์งานผิว (Skin Hydrating Fillers) |
---|---|
หลักการทำงาน | หลักการทำงาน |
ส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น (เช่น Hyaluronic Acid, Glycerin, Ceramides) ซึมลงไปที่ผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) เพื่อช่วยกักเก็บน้ำและลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิว | แพทย์จะฉีดสารอุ้มน้ำ (ส่วนใหญ่คือ Hyaluronic Acid) เข้าไปโดยตรงที่ผิวหนังชั้นกลางหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นชั้นที่คอลลาเจนและอีลาสตินอาศัยอยู่ |
เป้าหมาย | เป้าหมาย |
บำรุงผิวชั้นบนให้ชุ่มชื้น: ช่วยให้ผิวรู้สึกนุ่มลื่น ลดความแห้งกร้าน และป้องกันริ้วรอยตื้นๆ ที่เกิดจากผิวขาดน้ำในชีวิตประจำวัน | ฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน: เติมน้ำให้ผิวอย่างล้ำลึกถึงชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องตื้นถึงปานกลางที่เกิดขึ้นแล้ว |
การเห็นผล | การเห็นผล |
รู้สึกว่าผิวชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังทา แต่ผลลัพธ์ในการลดเลือนริ้วรอยต้องใช้ ความสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน | เห็นผลค่อนข้างเร็ว ผิวจะดูอิ่มฟูขึ้นในไม่กี่วัน และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์หลังฉีด |
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน | ผลลัพธ์อยู่ได้นาน |
ชั่วคราว (ประมาณ 12-24 ชั่วโมง): ต้องทาซ้ำทุกวันเพื่อคงความชุ่มชื้นไว้ | ระยะยาว (ประมาณ 6-12 เดือน): อยู่ได้นานกว่ามาก เพราะเป็นการเติมสารอุ้มน้ำเข้าไปในโครงสร้างผิวโดยตรง (ขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์และการดูแล) |
ข้อจำกัด | ข้อจำกัด |
• ดูแลได้แค่ผิวชั้นบนสุด • ไม่สามารถแก้ไขร่องลึกหรือความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นแล้วได้ | • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า • อาจมีรอยเข็มหรืออาการบวมเล็กน้อยได้ 2-3 วัน • ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น |
โดยรวม | โดยรวม |
เป็น “การบำรุงและป้องกัน” ที่จำเป็นในทุกวัน เหมาะสำหรับทุกคน และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต | เป็น “การแก้ไขและฟื้นฟู” เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาริ้วรอยร่องตื้นและความแห้งกร้านที่ครีมบำรุงเอาไม่อยู่ และต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน |
ใครที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์คอ
หัตถการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาผิวบริเวณลำคอ และต้องการแก้ไขโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีลักษณะปัญหาดังนี้
- ผู้ที่มีริ้วรอยหรือรอยพับเป็นเส้นชัดเจนบริเวณคอ
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับสภาพผิวให้ดูสดใส
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
ในบางกรณีที่คนไข้มีปัญหาทั้งสองอย่างร่วมกัน คือมีทั้งเส้นแนวตั้งที่เกิดจากกล้ามเนื้อ และร่องลึกแนวนอนที่เกิดจากผิวหนังหย่อนคล้อย แพทย์อาจพิจารณาใช้การรักษาทั้ง 2 อย่างควบคู่กัน (Combination Therapy) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและครอบคลุมที่สุดค่ะ

ฟิลเลอร์ | ชื่อรุ่นและจุดเด่นสำหรับลำคอ |
---|---|
โปรแกรม Juvederm | Volite: เป็นรุ่นที่โดดเด่นมากสำหรับงานผิวโดยเฉพาะ มีเนื้อฟิลเลอร์ที่เหลวและบางเบาที่สุดในกลุ่ม Juvederm ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น (Hydration) และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม (Skin Quality) เหมาะกับการฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็กๆ และทำให้ผิวคอดูอิ่มน้ำ สุขภาพดีขึ้น |
โปรแกรม Restylane | Vital / Vital Light: เป็นฟิลเลอร์รุ่นเนื้อละเอียดที่ออกแบบมาสำหรับงานผิวโดยเฉพาะ (Skinboosters) มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก เน้นการเติมความชุ่มชื้นใต้ผิว ช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้กลับมาเต่งตึงและเรียบเนียน เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาริ้วรอยตื้นๆ และผิวคอที่ขาดความยืดหยุ่น |
โปรแกรม Belotero | Soft / Balance: โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี CPM ที่ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียนและกลืนไปกับผิวได้ดีเยี่ยม • Soft: มีเนื้อที่บางเบามาก เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียดริ้วรอยเส้นเล็กๆ ตื้นๆ • Balance: มีเนื้อที่หนาขึ้นมาเล็กน้อย เหมาะกับการเติมร่องที่ลึกขึ้นมาอีกระดับ |
โปรแกรม Ultra V | Hyal Filler: ฟิลเลอร์จากเกาหลีใต้ มีจุดเด่นคือเนื้อฟิลเลอร์ที่มีความบริสุทธิ์สูง ผ่านกระบวนการทำให้ปลอดสาร BDDE ตกค้าง จึงมีความปลอดภัยสูง ลดโอกาสการแพ้ เนื้อฟิลเลอร์นิ่มละเอียด เหมาะกับการฉีดบริเวณผิวบางๆ เช่น ลำคอ เพื่อผลลัพธ์ที่เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ |


ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คอ
1. ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความลึกของริ้วรอยและสภาพผิว แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำ โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ 1-5 CC
2. ฉีดแล้วเห็นผลเมื่อไหร่ ?
คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีดว่าร่องดูตื้นขึ้น แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่และอาการบวมหายไป
3. ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน ?
โดยเฉลี่ยแล้ว ฟิลเลอร์คอจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งระยะเวลาอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
- การดูแลตัวเอง การทำตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
- ชนิดของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อและรุ่นมีความคงทนไม่เท่ากัน
- การใช้ชีวิต การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และการขยับคอบ่อยๆ อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์คอ
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น เรามาดูข้อดีและข้อเสียของหัตถการนี้กันค่ะ
ข้อดี (Pros) | ข้อเสีย (Cons) |
---|---|
เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว: สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด และเห็นผลชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์ | ผลลัพธ์ไม่ถาวร: ฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ ต้องกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ |
ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล: เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีแผลเป็นและไม่ต้องพักฟื้นนาน | อาจเกิดผลข้างเคียง: เช่น อาการบวม แดง ช้ำ หรือจ้ำเลือดในบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์ |
ช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลาย: สามารถเติมเต็มร่องลึก ลดเลือนเส้นแนวนอน (รอยปล้อง) และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว | มีความเสี่ยงหากฉีดกับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ: หากฉีดผิดตำแหน่งหรือใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดการอุดตันของเส้นเลือดหรือผิวหนังไม่เรียบ เป็นก้อนได้ |
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: ฟิลเลอร์บางชนิดช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวเต่งตึงและสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว | ค่าใช้จ่าย: การฉีดฟิลเลอร์มีค่าใช้จ่ายที่ต้องทำซ้ำทุก 6-12 เดือน เพื่อรักษาผลลัพธ์ |
ปรับแก้ได้: หากผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ (ที่เป็นชนิด Hyaluronic Acid) ได้ | ต้องดูแลตัวเองหลังฉีด: ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น งดการนวดคลึงบริเวณที่ฉีด, หลีกเลี่ยงความร้อนและแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด |
การฉีดฟิลเลอร์คออันตรายไหม
การฉีดฟิลเลอร์คอถือว่ามีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
- อาการบวม แดง หรือช้ำ เป็นอาการปกติที่พบได้หลังฉีด และจะค่อยๆ หายไปเองในเวลาไม่นาน
- การติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นได้หากทำในสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐานด้านความสะอาด
- เกิดก้อนหรือไม่เรียบเนียน อาจเกิดจากการฉีดที่ไม่ถูกเทคนิค ซึ่งสามารถแก้ไขได้
- การอุดตันของเส้นเลือด เป็นความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยมาก ซึ่งจะลดความเสี่ยงลงได้มากหากฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ถ้าคุณมี “ร่องลึกเป็นเส้น” และต้องการให้มัน “ตื้นขึ้นทันที” → เลือก HA Fillers
- ถ้าคุณมีปัญหา “ผิวโดยรวมที่เหี่ยวและหย่อนคล้อย” และต้องการ “ฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับอย่างเป็นธรรมชาติในระยะยาว” → เลือก Biostimulators
ในหลายกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ทั้งสองเทคนิคควบคู่กัน (Combination Therapy) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยใช้ HA Filler เติมร่องลึก และใช้ Biostimulator เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้แข็งแรงขึ้นค่ะ

วิธีการเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์คอที่ไหนดี
การเลือกคลินิกเป็นหัวใจสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย ควรพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้ค่ะ
- คลินิกได้มาตรฐาน ต้องเป็นคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล 11 หลัก อย่างถูกต้องและตรวจสอบได้
- แพทย์มีประสบการณ์ แพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง และมีความเชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ
- ใช้ฟิลเลอร์ของแท้ คลินิกต้องใช้ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และสามารถให้คนไข้ตรวจสอบกล่องฟิลเลอร์ก่อนฉีดได้
- มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ ศึกษารีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ทั้งในรูปแบบภาพและวิดีโอเพื่อประกอบการตัดสินใจ
- ความสะอาดและสุขอนามัย สภาพแวดล้อมโดยรวมของคลินิกต้องสะอาดสะอ้าน เครื่องมือและอุปกรณ์มีการจัดเก็บอย่างถูกหลักสุขอนามัย
- การให้คำปรึกษาและการติดตามผล มีการให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนทำ และมีการติดตามผลหลังทำอย่างต่อเนื่อง
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คอ
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา
- งดรับประทานยาหรือวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอี, น้ำมันปลา อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
- งดการทำเลเซอร์หรือสครับผิวบริเวณคออย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ เพื่อเตรียมผิวให้พร้อม
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คอ
- หลีกเลี่ยงการกด นวด หรือสัมผัสแรงๆ บริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- หากมีอาการบวมหรือรอยแดง สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการได้
- ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณมากๆ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรก เพื่อให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำและดูอิ่มฟูขึ้น
- งดการออกกำลังกายหนักๆ ซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เป็นเวลา 48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงหรือความร้อนสูงบริเวณลำคอ
- หากพบอาการผิดปกติ เช่น บวมมากผิดปกติ เจ็บปวดรุนแรง หรือมีอาการแพ้ ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที
วิธีการรักษาคอเหี่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ
นอกจากการฉีดฟิลเลอร์แล้ว ยังมีหัตถการอื่นๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาคอเหี่ยวย่นได้ ซึ่งบางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ทำควบคู่กันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ฉีดโบท็อก ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ดึงรั้งผิว ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและช่วยยกกระชับกรอบหน้าได้
- HIFU / Ulthera เป็นเทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ที่ช่วยยกกระชับผิวชั้นลึก ลดความหย่อนคล้อย
- Thermage ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นและกระชับขึ้น
- ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Biostimulator) เช่น Sculptra หรือ Radiesse เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเต่งตึงและแข็งแรงขึ้นในระยะยาว

เลือกฉีดอะไรดีระหว่าง “โบท็อกซ์” กับ “ฟิลเลอร์” สำหรับปัญหาริ้วรอยลำคอ
คอที่เหมาะกับการฉีด “โบท็อกซ์” (Botox) | คอที่เหมาะกับการฉีด “ฟิลเลอร์” (Filler) |
---|---|
ลักษณะปัญหาหลัก: เส้น/เอ็นคอแนวตั้ง (Vertical Neck Bands) | ลักษณะปัญหาหลัก: รอยพับ/เส้นแนวนอน (Horizontal Neck Lines) |
• เป็นเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อปูดขึ้นมาเป็นแนวตั้ง 2 ข้างลำคอ | • เป็นรอยพับหรือร่องลึกตามขวางของลำคอ ที่เรียกกันว่า “คอเป็นปล้อง” |
• เห็นชัดเจนเวลาเกร็งคอ พูด หรือหันหน้า | • เห็นชัดเจนตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เกร็งคอ |
• ผิวหนังโดยรวมอาจจะยังไม่เหี่ยวย่นมาก แต่เห็นเป็นลำกล้ามเนื้อชัด | • ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น เหี่ยวย่น ดูไม่เรียบเนียน |
หลักการทำงาน | หลักการทำงาน |
โบท็อกซ์จะเข้าไปคลายการหดตัวของกล้ามเนื้อ Platysma ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นแนวตั้ง ทำให้ลำคอดูเรียบเนียนขึ้น | ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มในชั้นผิว เพื่อทำให้ร่องลึกตื้นขึ้น ผิวดูอิ่มฟูและเรียบเนียนขึ้นทันที |
สรุป | สรุป |
ฉีดโบท็อกซ์ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก “กล้ามเนื้อ” | ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจาก “ผิวหนัง” ที่ยุบตัวเป็นร่อง |
ความแตกต่างระหว่าง HA Filler และ Biostimulator สำหรับลำคอ
ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก (HA Fillers) | ไบโอสติมูเลเตอร์ (Biostimulators) |
---|---|
โปรแกรม Juvederm, Restylane, Belotero | โปรแกรม Sculptra (PLLA), Radiesse (CaHA), Gouri (PCL) |
เป้าหมายหลัก “การเติมเต็ม” (Filling) | เป้าหมายหลัก “การกระตุ้นคอลลาเจน” (Stimulating) |
หลักการทำงาน ใช้สาร Hyaluronic Acid ซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ฉีดเข้าไปเพื่อเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้นทันที เหมือนการเติมสารเข้าไปในช่องว่าง | หลักการทำงาน ใช้สารที่เข้ากับร่างกายได้ (เช่น PLLA, CaHA, PCL) ฉีดเข้าไปเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ Fibroblast สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ตามธรรมชาติ |
เหมาะกับปัญหาคอแบบไหน • รอยพับและเส้นแนวนอนที่ชัดเจน (คอเป็นปล้อง) ต้องการเห็นผลทันทีว่าร่องตื้นขึ้น • ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ช่วยเพิ่มความอิ่มฟูให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น | เหมาะกับปัญหาคอแบบไหน • ผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ ต้องการฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แน่นและเฟิร์มขึ้นจากภายใน • ผิวบาง เหี่ยวย่นโดยรวม ต้องการเพิ่มความหนาและความยืดหยุ่นให้ผิวในระยะยาว |
การเห็นผล • เห็นผลทันทีหลังฉีด และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ | การเห็นผล • ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดไปแล้ว 1-3 เดือน และจะดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต้องรอให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน |
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 6-18 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่นของฟิลเลอร์) | ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 1-2 ปี หรือนานกว่านั้น (ขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator และการตอบสนองของร่างกาย) |
จุดเด่น • เห็นผลเร็วทันใจ • มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นสารเลียนแบบธรรมชาติ • สามารถสลายได้ หากผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ (มีเอนไซม์สำหรับฉีดสลาย) | จุดเด่น • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมาก เพราะผิวสร้างความแข็งแรงขึ้นเอง • ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว • อยู่ได้นานกว่า |
ข้อควรพิจารณา • เน้นการเติมเต็มเฉพาะจุด ไม่ได้ช่วยเรื่องคุณภาพผิวโดยรวมมากเท่า Biostimulator | ข้อควรพิจารณา • ไม่เห็นผลทันที ต้องใช้เวลารอ • ไม่สามารถฉีดสลายได้ หากไม่พอใจผลลัพธ์ ต้องรอให้สารสลายไปเองตามธรรมชาติ • ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์อย่างสูงในการวางแผนการฉีด |
ฉีดฟิลเลอร์คอราคาเท่าไหร่
ราคาของการฉีดฟิลเลอร์คอจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลักๆ ได้แก่
- ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) ที่ใช้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา
- ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีราคาแตกต่างกัน
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานของคลินิก
- ที่ดีเลิฟเวอรี่คลินิก พบแพทย์ประจำ ปรึกษา สอบถามให้แน่ใจ ก่อนตัดสินใจรับบริการได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย



การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชายมีความแตกต่างจากผู้หญิงอย่างชัดเจนในเรื่องของเป้าหมายและเทคนิคค่ะ สำหรับผู้ชายจะเน้นการฉีดเพื่อเสริมสร้างความคมชัดของกรอบหน้า (Masculinization) เช่น การทำให้หน้าผากดูกว้างและตรง, สร้างสันจมูกให้คม, เพิ่มความกว้างและความเหลี่ยมของคาง, และสร้างแนวกรามให้คมชัดเป็นสัน เพื่อส่งเสริมโครงสร้างที่ดูแข็งแรงตามแบบผู้ชาย ในขณะที่ การฉีดในผู้หญิงจะเน้นการสร้างความโค้งมน อ่อนหวาน (Feminization) เช่น การทำให้หน้าผากโหนกนูน, สร้างโหนกแก้มให้ดูอิ่มเอิบ, ทำให้คางเรียวเป็น V-shape และปั้นปากให้อวบอิ่มสวยงามค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในบริเวณอื่นๆ เช่น ใต้ตาและร่องแก้ม เทคนิคและเป้าหมายจะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัญหาเกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนังเหมือนกัน เป้าหมายหลักจึงเป็นการ “เติมเต็ม” เพื่อแก้ปัญหาร่องลึกและความโทรมให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่ทั้งนี้ แพทย์จะยังคงพิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละเพศ และใช้เทคนิคการเกลี่ยที่พิถีพิถัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและส่งเสริมเอกลักษณ์ของคนไข้แต่ละคนได้ดีที่สุดค่ะ
ผิวบริเวณลำคอมีต่อมไขมันและคอลลาเจนน้อยกว่าผิวหน้า ทำให้ผิวแห้งและบางกว่าโดยธรรมชาติ จึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายและเร็วกว่าค่ะ นอกจากนี้ การหดตัวของกล้ามเนื้อที่คอยังดึงรั้งให้เกิดเป็นเส้นๆ ชัดขึ้นในคนผิวบาง วิธีดูแลคือต้องใส่ใจทาสกินแคร์และครีมกันแดดที่คอให้เหมือนกับใบหน้าเสมอ พร้อมปรับพฤติกรรมการก้มหน้าเล่นมือถือ หากมีริ้วรอยชัดเจนแล้วก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทำหัตถการช่วยยกกระชับได้ค่ะ
ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีในร่างกาย รวมถึงฟิลเลอร์ ที่เป็นกล่องๆ ที่ผ่าน อย. แบบที่เราคุ้นเคยกันนั้นจะค่อย ๆ สลายตัวเองตามกระบวนการปกติของร่างกายค่ะ โดยมีเอนไซม์มาค่อย ๆ ย่อยสลายฟิลเลอร์จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก ๆ สุดท้ายจะถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับของเสียอื่น ๆ จึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีการตกค้างเป็นอันตราย หรือไหลไปสะสมที่อื่นแน่นอนค่ะ
คนไข้หลายคนเข้าใจว่าตอนแรกฟิลเลอร์มีลักษณะเป็น “เจล” เพราะคลินิกต้องเอาหลอดฟิลเลอร์ให้ดูก่อนฉีดอยู่แล้ว และสุดท้ายก็กลายเป็นน้ำ “ถูกขับออกจากร่างกายไป” อันนี้ก็ต้องบอกว่าถูกต้องเหมือนกันค่ะ แต่หมอขอขยายส่วนที่บอกว่ากลายเป็น “น้ำ” นิดนึงค่ะ
จริงๆ แล้วฟิลเลอร์ HA ไม่ได้สลายตัวกลายเป็น “น้ำ” (H₂O) โดยตรงค่ะ แต่กระบวนการที่ถูกต้องคือ
- จากเจลสู่โมเลกุลน้ำตาล: เอนไซม์ในร่างกายจะย่อยสลายเนื้อเจลของฟิลเลอร์ ให้กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายอยู่ในรูปของ “โมเลกุลน้ำตาล” ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสาร Hyaluronic Acid ค่ะ
- ร่างกายนำไปใช้และขับออก: หลังจากนั้น ร่างกายก็จะดูดซึมโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ หรือ ขับออกตามกระบวนการขับของเสียปกติของร่างกาย ซึ่งก็คือผ่านทางปัสสาวะหรือเหงื่อนั่นเองค่ะ
ดังนั้น ที่คนไข้เข้าใจว่ามันกลายเป็นของเหลวแล้วถูกขับออกนั้นถูกต้องเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้เป๊ะๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือ จากเจล กลายเป็นน้ำตาล แล้วจึงถูกขับออก นั่นเองค่ะ
มีอะไรสงสัยถามหมอได้อีกเลยนะคะ ยินดีตอบเสมอค่ะ
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ
การรักษาริ้วรอยที่คอต้องเลือกให้ถูกประเภทค่ะ โดย ริ้วรอยที่เป็นเส้นขวางตามลำคอ (เหมือนสร้อยคอ) ซึ่งเกิดจากร่องลึกของผิวหนังที่สูญเสียคอลลาเจน จะต้องใช้ “ฟิลเลอร์” ในการ “เติมเต็ม” ร่องลึกนั้นให้ตื้นขึ้นและเรียบเนียน ในขณะที่ เส้นเอ็นแนวตั้งที่เห็นชัดตอนเกร็งคอ เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ จะต้องใช้ “โบท็อกซ์” เพื่อฉีด “คลายกล้ามเนื้อ” ไม่ให้หดตัวจนเกิดเป็นเส้นขึ้นมาค่ะ ในบางเคส อาจมีการผสมผสานการรักษา หรือแม้กระทั่งกลุ่ม Biostimulator ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในบางเคสค่ะ
ลองวาดภาพว่าผิวเราเหมือนสปริงที่ยืดหยุ่นน้อยลง คอลลาเจน–อีลาสทินค่อยๆลด ทำให้ผิวบางลง แห้งง่าย และเกิดริ้วรอยทั้งตอนยิ้มขยับและตอนพักเฉยๆ ไขมันชั้นตื้นที่เคยพยุงผิวก็กระจายและไหลลง ทำให้ใต้ตาล้า ร่องแก้มเริ่มมา แก้มแฟบลง หน้าดูโทรมกว่าที่เคยเป็น
ลึกลงไป กล้ามเนื้อบางมัดทำงานหนักขึ้น (เช่น กราม) จึงดึงหน้าให้ตกลง ส่วนบางมัดกลับฝ่อ สมดุลเสีย กระดูกก็หดร่นเล็กลง โดยเฉพาะรอบเบ้าตาและแนวกราม ทำให้ตาดูลึก ขมับแบน และเกิดแก้มตกห นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ทาครีมอย่างเดียว” จึงดีขึ้นไม่ได้ เพราะปัญหาอยู่หลายชั้นตั้งแต่ผิว ไขมัน กล้ามเนื้อ ไปจนถึงกระดูก
พื้นฐานคือทากันแดดสม่ำเสมอ บางคนแค่กันแดดก็บอกลำบากแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง บำรุงด้วยเรตินอยด์ วิตามินซี และมอยส์เจอไรเซอร์ จากนั้นเราปรับตามปัญหา โบท็อกซ์ช่วยคลายริ้วรอยได้ เลเซอร์/คลื่นพลังงานกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น ฟิลเลอร์ใน “ชั้นลึก” ยกเครื่องโครงหน้าใหม่ เช่นโหนกแก้ม–ขมับ–แนวกราม และในบางเคสอาจใช้ไหมพยุงหรือพิจารณาศัลยกรรมเมื่อหย่อนมาก จุดสำคัญคือทำอย่างพอดี ปลอดภัย และวางแผนระยะยาวให้เหมาะกับใบหน้าและไลฟ์สไตล์ของตัวเองดีที่สุดค่ะ ทุกโปรแกรม ทุกเครื่องมีข้อดีข้อจำกัด เหมาะกับคนอื่นแต่อาจจะไม่เหมาะกับเรา
การจะตอบว่าต้องใช้ฟิลเลอร์เท่าไหร่ถึงจะพอนั้น จำเป็นต้องประเมินจากเคสจริงเท่านั้นค่ะ เพราะหมอต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้ง โครงสร้างใบหน้าเดิม การทรุดตัวของกระดูกและชั้นไขมัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามที่สุด แต่หากให้ประเมินเบื้องต้น ถ้าคนไข้เริ่มรู้สึกว่าหน้าตอบ โดยมากมักเกิดจาก 2 จุดหลักคือขมับและแก้มที่ตอบลง ซึ่งอาจทำให้โหนกแก้มดูเด่นชัดขึ้น
- เติมแก้มตอบ ข้างละ 2 cc = 4 cc
- เติมขมับ ข้างละ 1 cc = 2 cc
การเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินใบหน้าจริงจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดค่ะ
หมอขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะคะ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำเลยคือ ฟิลเลอร์แท้ต้องสลายได้เอง 100% ค่ะ จะไม่มีคำว่า “ถาวร” เด็ดขาด ถ้าเราไปฉีดที่ไหนแล้วเขาบอกว่าอยู่ได้ตลอดไป ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยค่ะว่าอาจเป็นสารแปลกปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว ซึ่งอันตรายและแก้ไขได้ยากในอนาคต ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอนะคะ
โดยทั่วไปฟิลเลอร์ในกลุ่มไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ที่ได้มาตรฐานและผ่านอย. ที่เป็นกล่องๆที่เรามักคุ้นเคยกันนั้น จะมีระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์แตกต่างกันไปตามรุ่นและตำแหน่งที่ฉีดค่ะ สั้นที่สุดคือประมาณ 6-12 เดือน สำหรับฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่ใช้เติมบริเวณใต้ตาหรือริมฝีปาก และ นานที่สุดอาจอยู่ได้ถึง 1.5 – 2 ปี สำหรับฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่ใช้ปรับโครงสร้างใบหน้าอย่างคางหรือกรอบหน้าค่ะ ทุกครั้งไม่ว่าจะฉีดที่สถานพยาบาลไหน ก่อนฉีดอย่าลืมสอบถามคุณหมอถึงชนิดของฟิลเลอร์เพื่อความมั่นใจนะคะ