Let them wonder why you look so refreshed, not what you had done.

โปรแกรมฟิลเลอร์ Lorient ที่ D’ Lovevery Clinic เติมเต็มความมั่นใจ คืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
ความงามที่แท้จริงไม่ได้วัดจากกรอบของสังคม แต่คือความรู้สึกมั่นใจที่เปล่งประกายมาจากภายใน แต่เมื่อกาลเวลาทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยร่องลึกหรือความหย่อนคล้อยที่ทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจ โปรแกรมฟิลเลอร์ Lorient ที่ D’ Lovevery Clinic คือคำตอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อคืนความสดใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) คุณภาพ ที่จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย ปรับรูปหน้าให้สมดุล และฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูอิ่มฟูอีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และมอบผลลัพธ์ที่เรียบเนียน

เผยความลับของฟิลเลอร์ Lorient
ฟิลเลอร์ Lorient คือสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่พัฒนาขึ้นโดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติสูงสุด เนื้อเจลถูกออกแบบให้มีความบริสุทธิ์สูงและใช้สารเชื่อมโยงโมเลกุล (BDDE) ในปริมาณต่ำ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้หรือการอักเสบภายหลัง ที่สำคัญคือเนื้อเจลมีคุณสมบัติที่เรียบเนียนเป็นเนื้อเดียว ทำให้ปั้นทรงได้ง่าย กลมกลืนไปกับผิวจริง ไม่เกิดปัญหาเป็นก้อนแข็งหรือเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง จึงเป็นตัวเลือกที่แพทย์ไว้วางใจและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความงามที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Lorient มีให้เลือก 3 รุ่น เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาในแต่ละบริเวณของใบหน้าได้อย่างตรงจุด
- Lorient No.2 (เนื้ออ่อน) เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ และบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก
- Lorient No.4 (เนื้อปานกลาง) เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องแก้ม หน้าผาก หรือเพิ่มปริมาตรให้แก้มดูอิ่มฟู
- Lorient No.6 (เนื้อแข็ง) เหมาะสำหรับการปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีมิติคมชัดขึ้น เช่น คาง และกรอบหน้า

ฟิลเลอร์ Lorient แตกต่างจากตัวอื่นอย่างไรบ้าง
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของฟิลเลอร์ Lorient อยู่ที่ “เทคโนโลยีและโครงสร้างของเนื้อเจล” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยหลังฉีด
- โมเลกุล HA และการอักเสบ (High Molecular Weight HA)
- Lorient: ใช้ Hyaluronic Acid ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และน้ำหนักสูง (High Molecular Weight) ซึ่งมีความเสถียรสูง โครงสร้างแข็งแรง และที่สำคัญคือ กระตุ้นการอักเสบในร่างกายน้อยกว่า จึงช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงระยะยาวที่เรียกว่า Delayed Inflammatory Reactions (DIR) หรืออาการบวมๆ ยุบๆ หลังฉีดไปแล้วนานๆ ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักของผู้ที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้อ (โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ) อาจใช้ HA ที่มีโมเลกุลหลากหลายขนาด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากกว่า
- ความบริสุทธิ์และสารตกค้าง (Low BDDE Crosslinker)
- Lorient: มีปริมาณสารที่ใช้เชื่อมโมเลกุล (BDDE) ในระดับที่ต่ำมาก ทำให้ฟิลเลอร์มีความบริสุทธิ์สูง โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้หรือการอักเสบหลังฉีดจึงน้อยมาก เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
- ฟิลเลอร์อื่น: ปริมาณ BDDE อาจแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์และรุ่น ซึ่งหากมีปริมาณสูงก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองได้
- เนื้อเจลและความเรียบเนียน (Monophasic Gel)
- Lorient: เป็นเจลเนื้อเดียว (Monophasic) ที่มีความเนียนละเอียดสม่ำเสมอ ทำให้แพทย์สามารถปั้นทรงได้ง่าย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเรียบเนียน กลืนไปกับผิวจริง ไม่เกิดปัญหาเป็นก้อนแข็ง และฟิลเลอร์ไม่เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง แม้ในบริเวณที่ขยับบ่อยๆ
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้ออาจเป็นเนื้อเจลแบบ Biphasic (มีทั้งเจลและอนุภาคผสมกัน) ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่แข็งกว่า หรือเสี่ยงต่อการจับตัวเป็นก้อนได้มากกว่าหากเทคนิคการฉีดไม่เหมาะสม
- อาการบวมหลังฉีด (Osmolarity ที่ใกล้เคียงกับผิว)
- Lorient: มีค่าแรงดันออสโมติก (Osmolarity) ที่ออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อผิวหนังของมนุษย์ ทำให้เนื้อเจล ไม่ดึงน้ำเข้ามาในบริเวณที่ฉีดมากเกินไป ผลลัพธ์คือ อาการบวมหลังฉีดจึงน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เร็วกว่า
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติดึงน้ำมากกว่า ทำให้เกิดอาการบวมได้ชัดเจนในช่วง 3-7 วันแรกหลังฉีด

ข้อดีและข้อควรพิจารณาของฟิลเลอร์ Lorient
ข้อดี
- ผลลัพธ์สวยเป็นธรรมชาติ เนื้อเจลละเอียดพิเศษ ผสานเข้ากับชั้นผิวได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่จับตัวเป็นก้อน
- บวมช้ำน้อยมาก ด้วยคุณสมบัติของเจลที่ไม่ดึงน้ำมากเกินไป และมีค่าแรงดันที่ใกล้เคียงกับผิวหนัง ทำให้หลังฉีดแทบไม่มีอาการบวม
- ปลอดภัยสูง ลดโอกาสแพ้ ผ่านกระบวนการผลิตที่ทำให้สารตกค้าง (BDDE) อยู่ในระดับต่ำมาก ปลอดภัยแม้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง
- ฉีดง่ายและแม่นยำ แพทย์สามารถควบคุมการฉีดได้ง่าย ทำให้ผลลัพธ์ออกมาแม่นยำตามที่วางแผนไว้
- คงผลลัพธ์ยาวนาน ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะกับผิวได้ดี ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานตั้งแต่ 6 ถึง 16 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ข้อควรพิจารณา
- ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ชั่วคราวและค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ จำเป็นต้องกลับมาเติมเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้
- ไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเอง

การเตรียมตัวก่อนรับบริการฟิลเลอร์
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัยสูงสุด ควรเตรียมตัวดังนี้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนรับบริการ
- หยุดรับประทานยาหรือวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา อย่างน้อย 3-5 วัน
- พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อม
- แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่รับประทานอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด

การดูแลตัวเองหลังรับบริการ
การดูแลตัวเองหลังฉีดเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่และสวยงาม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด หรือนวดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
- งดกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า สตรีม หรือการตากแดดจัด ประมาณ 3-5 วัน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักที่อาจทำให้หน้าแดงหรือมีเหงื่อออกมากเป็นเวลา 1-2 วัน
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ทำงานและอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น
- หากมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้
ข้อควรรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ Lorient
- ความรู้สึกระหว่างทำ ก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ ทำให้ระหว่างฉีดจะรู้สึกเจ็บน้อยมากหรือไม่รู้สึกเลย
- บริเวณที่สามารถฉีดได้ ฟิลเลอร์ Lorient สามารถใช้ได้กับหลายส่วนบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก แก้ม คาง ขมับ และริมฝีปาก โดยแพทย์จะประเมินและเลือกรุ่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์ Lorient ถูกออกแบบมาให้อ่อนโยนและปลอดภัย ผลข้างเคียงจึงพบได้น้อยมาก อาจมีเพียงอาการบวมหรือรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน
- การแก้ไขผลลัพธ์ หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถทำได้ เนื่องจากฟิลเลอร์ Lorient เป็นสารไฮยาลูรอนิกแอซิด ซึ่งสามารถใช้เอนไซม์เพื่อสลายฟิลเลอร์ออกได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของแพทย์

ทำไมต้องเลือกฟิลเลอร์ ที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวอย่างละเอียด ไม่เร่งรีบ เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน เราไม่มีเซลส์คอยกดดันหรือบังคับขายคอร์ส คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระและสบายใจ
- จ่ายสบายเลือกได้ เรามีทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้งระบบมัดจำ การแบ่งจ่าย Shopee PayLater (เร็วๆนี้) และโปรแกรมผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม คุณจะได้ติดตามผลการรักษากับแพทย์ที่ดูแลคุณโดยตรง เพื่อความต่อเนื่องและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง ความไว้วางใจของคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด เรารวบรวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่มีการจ้างดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้ ทีมแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง สามารถตรวจสอบประวัติและใบประกอบวิชาชีพได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกของเราผ่านการรับรองตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข สะอาด ปลอดภัย พร้อมที่จอดรถฟรีเพื่อความสะดวกของคุณ
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ เราให้ข้อมูลที่รวดเร็วและโปร่งใส คุณสามารถตรวจสอบคอร์สคงเหลือได้ง่าย และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย และสามารถตรวจสอบได้
พร้อมคืนความอ่อนเยาว์และเติมความมั่นใจให้ใบหน้าของคุณแล้วหรือยัง นัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ D’ Lovevery Clinic ทั้ง 2 สาขา
- สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง โทร 064-424-6526
- สาขา Crystal Design Center (CDC) โทร 095-236-4546

การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชายมีความแตกต่างจากผู้หญิงอย่างชัดเจนในเรื่องของเป้าหมายและเทคนิคค่ะ สำหรับผู้ชายจะเน้นการฉีดเพื่อเสริมสร้างความคมชัดของกรอบหน้า (Masculinization) เช่น การทำให้หน้าผากดูกว้างและตรง, สร้างสันจมูกให้คม, เพิ่มความกว้างและความเหลี่ยมของคาง, และสร้างแนวกรามให้คมชัดเป็นสัน เพื่อส่งเสริมโครงสร้างที่ดูแข็งแรงตามแบบผู้ชาย ในขณะที่ การฉีดในผู้หญิงจะเน้นการสร้างความโค้งมน อ่อนหวาน (Feminization) เช่น การทำให้หน้าผากโหนกนูน, สร้างโหนกแก้มให้ดูอิ่มเอิบ, ทำให้คางเรียวเป็น V-shape และปั้นปากให้อวบอิ่มสวยงามค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในบริเวณอื่นๆ เช่น ใต้ตาและร่องแก้ม เทคนิคและเป้าหมายจะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัญหาเกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนังเหมือนกัน เป้าหมายหลักจึงเป็นการ “เติมเต็ม” เพื่อแก้ปัญหาร่องลึกและความโทรมให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่ทั้งนี้ แพทย์จะยังคงพิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละเพศ และใช้เทคนิคการเกลี่ยที่พิถีพิถัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและส่งเสริมเอกลักษณ์ของคนไข้แต่ละคนได้ดีที่สุดค่ะ
ผิวบริเวณลำคอมีต่อมไขมันและคอลลาเจนน้อยกว่าผิวหน้า ทำให้ผิวแห้งและบางกว่าโดยธรรมชาติ จึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายและเร็วกว่าค่ะ นอกจากนี้ การหดตัวของกล้ามเนื้อที่คอยังดึงรั้งให้เกิดเป็นเส้นๆ ชัดขึ้นในคนผิวบาง วิธีดูแลคือต้องใส่ใจทาสกินแคร์และครีมกันแดดที่คอให้เหมือนกับใบหน้าเสมอ พร้อมปรับพฤติกรรมการก้มหน้าเล่นมือถือ หากมีริ้วรอยชัดเจนแล้วก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทำหัตถการช่วยยกกระชับได้ค่ะ
ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีในร่างกาย รวมถึงฟิลเลอร์ ที่เป็นกล่องๆ ที่ผ่าน อย. แบบที่เราคุ้นเคยกันนั้นจะค่อย ๆ สลายตัวเองตามกระบวนการปกติของร่างกายค่ะ โดยมีเอนไซม์มาค่อย ๆ ย่อยสลายฟิลเลอร์จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก ๆ สุดท้ายจะถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับของเสียอื่น ๆ จึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีการตกค้างเป็นอันตราย หรือไหลไปสะสมที่อื่นแน่นอนค่ะ
คนไข้หลายคนเข้าใจว่าตอนแรกฟิลเลอร์มีลักษณะเป็น “เจล” เพราะคลินิกต้องเอาหลอดฟิลเลอร์ให้ดูก่อนฉีดอยู่แล้ว และสุดท้ายก็กลายเป็นน้ำ “ถูกขับออกจากร่างกายไป” อันนี้ก็ต้องบอกว่าถูกต้องเหมือนกันค่ะ แต่หมอขอขยายส่วนที่บอกว่ากลายเป็น “น้ำ” นิดนึงค่ะ
จริงๆ แล้วฟิลเลอร์ HA ไม่ได้สลายตัวกลายเป็น “น้ำ” (H₂O) โดยตรงค่ะ แต่กระบวนการที่ถูกต้องคือ
- จากเจลสู่โมเลกุลน้ำตาล: เอนไซม์ในร่างกายจะย่อยสลายเนื้อเจลของฟิลเลอร์ ให้กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายอยู่ในรูปของ “โมเลกุลน้ำตาล” ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสาร Hyaluronic Acid ค่ะ
- ร่างกายนำไปใช้และขับออก: หลังจากนั้น ร่างกายก็จะดูดซึมโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ หรือ ขับออกตามกระบวนการขับของเสียปกติของร่างกาย ซึ่งก็คือผ่านทางปัสสาวะหรือเหงื่อนั่นเองค่ะ
ดังนั้น ที่คนไข้เข้าใจว่ามันกลายเป็นของเหลวแล้วถูกขับออกนั้นถูกต้องเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้เป๊ะๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือ จากเจล กลายเป็นน้ำตาล แล้วจึงถูกขับออก นั่นเองค่ะ
มีอะไรสงสัยถามหมอได้อีกเลยนะคะ ยินดีตอบเสมอค่ะ
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ
การรักษาริ้วรอยที่คอต้องเลือกให้ถูกประเภทค่ะ โดย ริ้วรอยที่เป็นเส้นขวางตามลำคอ (เหมือนสร้อยคอ) ซึ่งเกิดจากร่องลึกของผิวหนังที่สูญเสียคอลลาเจน จะต้องใช้ “ฟิลเลอร์” ในการ “เติมเต็ม” ร่องลึกนั้นให้ตื้นขึ้นและเรียบเนียน ในขณะที่ เส้นเอ็นแนวตั้งที่เห็นชัดตอนเกร็งคอ เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ จะต้องใช้ “โบท็อกซ์” เพื่อฉีด “คลายกล้ามเนื้อ” ไม่ให้หดตัวจนเกิดเป็นเส้นขึ้นมาค่ะ ในบางเคส อาจมีการผสมผสานการรักษา หรือแม้กระทั่งกลุ่ม Biostimulator ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในบางเคสค่ะ
ลองวาดภาพว่าผิวเราเหมือนสปริงที่ยืดหยุ่นน้อยลง คอลลาเจน–อีลาสทินค่อยๆลด ทำให้ผิวบางลง แห้งง่าย และเกิดริ้วรอยทั้งตอนยิ้มขยับและตอนพักเฉยๆ ไขมันชั้นตื้นที่เคยพยุงผิวก็กระจายและไหลลง ทำให้ใต้ตาล้า ร่องแก้มเริ่มมา แก้มแฟบลง หน้าดูโทรมกว่าที่เคยเป็น
ลึกลงไป กล้ามเนื้อบางมัดทำงานหนักขึ้น (เช่น กราม) จึงดึงหน้าให้ตกลง ส่วนบางมัดกลับฝ่อ สมดุลเสีย กระดูกก็หดร่นเล็กลง โดยเฉพาะรอบเบ้าตาและแนวกราม ทำให้ตาดูลึก ขมับแบน และเกิดแก้มตกห นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ทาครีมอย่างเดียว” จึงดีขึ้นไม่ได้ เพราะปัญหาอยู่หลายชั้นตั้งแต่ผิว ไขมัน กล้ามเนื้อ ไปจนถึงกระดูก
พื้นฐานคือทากันแดดสม่ำเสมอ บางคนแค่กันแดดก็บอกลำบากแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง บำรุงด้วยเรตินอยด์ วิตามินซี และมอยส์เจอไรเซอร์ จากนั้นเราปรับตามปัญหา โบท็อกซ์ช่วยคลายริ้วรอยได้ เลเซอร์/คลื่นพลังงานกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น ฟิลเลอร์ใน “ชั้นลึก” ยกเครื่องโครงหน้าใหม่ เช่นโหนกแก้ม–ขมับ–แนวกราม และในบางเคสอาจใช้ไหมพยุงหรือพิจารณาศัลยกรรมเมื่อหย่อนมาก จุดสำคัญคือทำอย่างพอดี ปลอดภัย และวางแผนระยะยาวให้เหมาะกับใบหน้าและไลฟ์สไตล์ของตัวเองดีที่สุดค่ะ ทุกโปรแกรม ทุกเครื่องมีข้อดีข้อจำกัด เหมาะกับคนอื่นแต่อาจจะไม่เหมาะกับเรา
การจะตอบว่าต้องใช้ฟิลเลอร์เท่าไหร่ถึงจะพอนั้น จำเป็นต้องประเมินจากเคสจริงเท่านั้นค่ะ เพราะหมอต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้ง โครงสร้างใบหน้าเดิม การทรุดตัวของกระดูกและชั้นไขมัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามที่สุด แต่หากให้ประเมินเบื้องต้น ถ้าคนไข้เริ่มรู้สึกว่าหน้าตอบ โดยมากมักเกิดจาก 2 จุดหลักคือขมับและแก้มที่ตอบลง ซึ่งอาจทำให้โหนกแก้มดูเด่นชัดขึ้น
- เติมแก้มตอบ ข้างละ 2 cc = 4 cc
- เติมขมับ ข้างละ 1 cc = 2 cc
การเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินใบหน้าจริงจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดค่ะ
หมอขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะคะ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำเลยคือ ฟิลเลอร์แท้ต้องสลายได้เอง 100% ค่ะ จะไม่มีคำว่า “ถาวร” เด็ดขาด ถ้าเราไปฉีดที่ไหนแล้วเขาบอกว่าอยู่ได้ตลอดไป ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยค่ะว่าอาจเป็นสารแปลกปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว ซึ่งอันตรายและแก้ไขได้ยากในอนาคต ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอนะคะ
โดยทั่วไปฟิลเลอร์ในกลุ่มไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) ที่ได้มาตรฐานและผ่านอย. ที่เป็นกล่องๆที่เรามักคุ้นเคยกันนั้น จะมีระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์แตกต่างกันไปตามรุ่นและตำแหน่งที่ฉีดค่ะ สั้นที่สุดคือประมาณ 6-12 เดือน สำหรับฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่ใช้เติมบริเวณใต้ตาหรือริมฝีปาก และ นานที่สุดอาจอยู่ได้ถึง 1.5 – 2 ปี สำหรับฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่ใช้ปรับโครงสร้างใบหน้าอย่างคางหรือกรอบหน้าค่ะ ทุกครั้งไม่ว่าจะฉีดที่สถานพยาบาลไหน ก่อนฉีดอย่าลืมสอบถามคุณหมอถึงชนิดของฟิลเลอร์เพื่อความมั่นใจนะคะ