Let them wonder why you look so refreshed, not what you had done.

โปรแกรมฟิลเลอร์ Lorient ที่ D’ Lovevery Clinic เติมเต็มความมั่นใจ คืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
ความงามที่แท้จริงไม่ได้วัดจากกรอบของสังคม แต่คือความรู้สึกมั่นใจที่เปล่งประกายมาจากภายใน แต่เมื่อกาลเวลาทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยร่องลึกหรือความหย่อนคล้อยที่ทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจ โปรแกรมฟิลเลอร์ Lorient ที่ D’ Lovevery Clinic คือคำตอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อคืนความสดใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) คุณภาพ ที่จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย ปรับรูปหน้าให้สมดุล และฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูอิ่มฟูอีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และมอบผลลัพธ์ที่เรียบเนียน

เผยความลับของฟิลเลอร์ Lorient
ฟิลเลอร์ Lorient คือสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่พัฒนาขึ้นโดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติสูงสุด เนื้อเจลถูกออกแบบให้มีความบริสุทธิ์สูงและใช้สารเชื่อมโยงโมเลกุล (BDDE) ในปริมาณต่ำ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้หรือการอักเสบภายหลัง ที่สำคัญคือเนื้อเจลมีคุณสมบัติที่เรียบเนียนเป็นเนื้อเดียว ทำให้ปั้นทรงได้ง่าย กลมกลืนไปกับผิวจริง ไม่เกิดปัญหาเป็นก้อนแข็งหรือเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง จึงเป็นตัวเลือกที่แพทย์ไว้วางใจและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความงามที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Lorient มีให้เลือก 3 รุ่น เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาในแต่ละบริเวณของใบหน้าได้อย่างตรงจุด
- Lorient No.2 (เนื้ออ่อน) เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ และบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก
- Lorient No.4 (เนื้อปานกลาง) เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องแก้ม หน้าผาก หรือเพิ่มปริมาตรให้แก้มดูอิ่มฟู
- Lorient No.6 (เนื้อแข็ง) เหมาะสำหรับการปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีมิติคมชัดขึ้น เช่น คาง และกรอบหน้า

ฟิลเลอร์ Lorient แตกต่างจากตัวอื่นอย่างไรบ้าง
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของฟิลเลอร์ Lorient อยู่ที่ “เทคโนโลยีและโครงสร้างของเนื้อเจล” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยหลังฉีด
- โมเลกุล HA และการอักเสบ (High Molecular Weight HA)
- Lorient: ใช้ Hyaluronic Acid ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และน้ำหนักสูง (High Molecular Weight) ซึ่งมีความเสถียรสูง โครงสร้างแข็งแรง และที่สำคัญคือ กระตุ้นการอักเสบในร่างกายน้อยกว่า จึงช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงระยะยาวที่เรียกว่า Delayed Inflammatory Reactions (DIR) หรืออาการบวมๆ ยุบๆ หลังฉีดไปแล้วนานๆ ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักของผู้ที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้อ (โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ) อาจใช้ HA ที่มีโมเลกุลหลากหลายขนาด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากกว่า
- ความบริสุทธิ์และสารตกค้าง (Low BDDE Crosslinker)
- Lorient: มีปริมาณสารที่ใช้เชื่อมโมเลกุล (BDDE) ในระดับที่ต่ำมาก ทำให้ฟิลเลอร์มีความบริสุทธิ์สูง โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้หรือการอักเสบหลังฉีดจึงน้อยมาก เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
- ฟิลเลอร์อื่น: ปริมาณ BDDE อาจแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์และรุ่น ซึ่งหากมีปริมาณสูงก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองได้
- เนื้อเจลและความเรียบเนียน (Monophasic Gel)
- Lorient: เป็นเจลเนื้อเดียว (Monophasic) ที่มีความเนียนละเอียดสม่ำเสมอ ทำให้แพทย์สามารถปั้นทรงได้ง่าย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเรียบเนียน กลืนไปกับผิวจริง ไม่เกิดปัญหาเป็นก้อนแข็ง และฟิลเลอร์ไม่เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง แม้ในบริเวณที่ขยับบ่อยๆ
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้ออาจเป็นเนื้อเจลแบบ Biphasic (มีทั้งเจลและอนุภาคผสมกัน) ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่แข็งกว่า หรือเสี่ยงต่อการจับตัวเป็นก้อนได้มากกว่าหากเทคนิคการฉีดไม่เหมาะสม
- อาการบวมหลังฉีด (Osmolarity ที่ใกล้เคียงกับผิว)
- Lorient: มีค่าแรงดันออสโมติก (Osmolarity) ที่ออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อผิวหนังของมนุษย์ ทำให้เนื้อเจล ไม่ดึงน้ำเข้ามาในบริเวณที่ฉีดมากเกินไป ผลลัพธ์คือ อาการบวมหลังฉีดจึงน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เร็วกว่า
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติดึงน้ำมากกว่า ทำให้เกิดอาการบวมได้ชัดเจนในช่วง 3-7 วันแรกหลังฉีด

ข้อดีและข้อควรพิจารณาของฟิลเลอร์ Lorient
ข้อดี
- ผลลัพธ์สวยเป็นธรรมชาติ เนื้อเจลละเอียดพิเศษ ผสานเข้ากับชั้นผิวได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่จับตัวเป็นก้อน
- บวมช้ำน้อยมาก ด้วยคุณสมบัติของเจลที่ไม่ดึงน้ำมากเกินไป และมีค่าแรงดันที่ใกล้เคียงกับผิวหนัง ทำให้หลังฉีดแทบไม่มีอาการบวม
- ปลอดภัยสูง ลดโอกาสแพ้ ผ่านกระบวนการผลิตที่ทำให้สารตกค้าง (BDDE) อยู่ในระดับต่ำมาก ปลอดภัยแม้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง
- ฉีดง่ายและแม่นยำ แพทย์สามารถควบคุมการฉีดได้ง่าย ทำให้ผลลัพธ์ออกมาแม่นยำตามที่วางแผนไว้
- คงผลลัพธ์ยาวนาน ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะกับผิวได้ดี ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานตั้งแต่ 6 ถึง 16 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ข้อควรพิจารณา
- ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ชั่วคราวและค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ จำเป็นต้องกลับมาเติมเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้
- ไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเอง

การเตรียมตัวก่อนรับบริการฟิลเลอร์
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัยสูงสุด ควรเตรียมตัวดังนี้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนรับบริการ
- หยุดรับประทานยาหรือวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา อย่างน้อย 3-5 วัน
- พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อม
- แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่รับประทานอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด

การดูแลตัวเองหลังรับบริการ
การดูแลตัวเองหลังฉีดเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่และสวยงาม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด หรือนวดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
- งดกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า สตรีม หรือการตากแดดจัด ประมาณ 3-5 วัน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักที่อาจทำให้หน้าแดงหรือมีเหงื่อออกมากเป็นเวลา 1-2 วัน
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ทำงานและอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น
- หากมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้
ข้อควรรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ Lorient
- ความรู้สึกระหว่างทำ ก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ ทำให้ระหว่างฉีดจะรู้สึกเจ็บน้อยมากหรือไม่รู้สึกเลย
- บริเวณที่สามารถฉีดได้ ฟิลเลอร์ Lorient สามารถใช้ได้กับหลายส่วนบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก แก้ม คาง ขมับ และริมฝีปาก โดยแพทย์จะประเมินและเลือกรุ่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์ Lorient ถูกออกแบบมาให้อ่อนโยนและปลอดภัย ผลข้างเคียงจึงพบได้น้อยมาก อาจมีเพียงอาการบวมหรือรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน
- การแก้ไขผลลัพธ์ หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถทำได้ เนื่องจากฟิลเลอร์ Lorient เป็นสารไฮยาลูรอนิกแอซิด ซึ่งสามารถใช้เอนไซม์เพื่อสลายฟิลเลอร์ออกได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของแพทย์

ทำไมต้องเลือกฟิลเลอร์ ที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวอย่างละเอียด ไม่เร่งรีบ เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน เราไม่มีเซลส์คอยกดดันหรือบังคับขายคอร์ส คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระและสบายใจ
- จ่ายสบายเลือกได้ เรามีทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้งระบบมัดจำ การแบ่งจ่าย Shopee PayLater (เร็วๆนี้) และโปรแกรมผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม คุณจะได้ติดตามผลการรักษากับแพทย์ที่ดูแลคุณโดยตรง เพื่อความต่อเนื่องและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง ความไว้วางใจของคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด เรารวบรวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่มีการจ้างดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้ ทีมแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง สามารถตรวจสอบประวัติและใบประกอบวิชาชีพได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกของเราผ่านการรับรองตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข สะอาด ปลอดภัย พร้อมที่จอดรถฟรีเพื่อความสะดวกของคุณ
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ เราให้ข้อมูลที่รวดเร็วและโปร่งใส คุณสามารถตรวจสอบคอร์สคงเหลือได้ง่าย และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย และสามารถตรวจสอบได้
พร้อมคืนความอ่อนเยาว์และเติมความมั่นใจให้ใบหน้าของคุณแล้วหรือยัง นัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ D’ Lovevery Clinic ทั้ง 2 สาขา
- สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง โทร 064-424-6526
- สาขา Crystal Design Center (CDC) โทร 095-236-4546

ทำไมต้องที่ D’ Lovevery Clinic
การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและไว้วางใจได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณในทุกๆ ด้าน
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case ละเอียด ไม่เร่งรีบ
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน ไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส
- จ่ายสบายเลือกได้ มีระบบมัดจำ แบ่งจ่ายได้ มี Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง รวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่ใช่ดาราหรือ Influencer
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกผ่านการรับรอง มีที่จอดรถฟรี
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ ข้อมูลรวดเร็ว เช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวผ่าน อย. ไทยและตรวจสอบได้

มันมีงานวิจัยที่ชัดเจนและมีมานานแล้วค่ะ การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายสูญเสีย Zinc (สังกะสี) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าระดับ Zinc ที่ต่ำอาจลดประสิทธิภาพของโบท็อกซ์ลงได้ถึง 30%
การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและสร้างอนุมูลอิสระที่เร่งการสลายของตัวยาค่ะ ถ้าเทียบระยะเวลาที่จะ “หายไป” ให้เห็นภาพชัดเจนคือ
- โบท็อกซ์: จากมาตรฐานอยู่ได้ 4-6 เดือน ฤทธิ์ยาอาจคลายตัวไวขึ้น เหลือเพียง 3-4 เดือน (หายไปประมาณ 1 เดือน)
- ฟิลเลอร์: จากรุ่นมาตรฐานทั่วไปที่อยู่ได้ 8-12 เดือน อาจจะยุบตัวและสลายไวเหลือเพียง 6-9 เดือน (หายไปถึง 2-3 เดือน)
ดังนั้น ถ้าคนไข้ไม่อยากให้ความหล่อ-ความสวยที่ลงทุนไปหลักหมื่น อยู่กับเราสั้นลงแบบน่าเสียดาย หมอแนะนำให้ลดปริมาณการดื่มลงและดื่มน้ำเปล่าชดเชยให้มากๆ จะช่วยยืดอายุยาได้ และยังดีต่อสุขภาพมากกว่าด้วยนะคะ 🙂
สำหรับคนไข้ที่มี ผิวบาง หมอสรุปให้ฟังง่ายๆ ว่า ไม่ได้ห้ามทำ 100% เลยนะคะ แต่อาจจะไม่ใช่วิธีแรกที่แนะนำ ค่ะ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด ผิวเป็นคลื่น (Dimpling) หรือ เห็นรางไหม ได้ชัดเจนกว่าคนทั่วไป เนื่องจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังมีน้อย เปรียบเหมือนผ้าบางๆ ที่ปิดโครงสร้างด้านล่างไม่มิด หากต้องการทำจริงๆ ต้องใช้ เทคนิคการวางไหมชั้นลึก หรือเลือกใช้ ไหมเส้นเล็ก เพื่อเน้นงานผิวแทน แต่ในมุมมองของหมอ การเลือกใช้กลุ่ม เครื่องยกกระชับ (Energy-based devices) หรือการเติม Filler เพื่อเสริมฐานผิว จะเป็นทางเลือกที่ ปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติกว่า สำหรับคนไข้กลุ่มนี้ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การนำผิวมาให้หมอประเมินแบบรายบุคคลจะตอบได้เคลียร์กว่า เพราะบางเคสเข้าใจว่าตัวเองผิวบางไปเอง หรืออาจจะรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมาก็เป็นได้ค่ะ
หมอจะบอกว่าผิวหนังรอบดวงตามีความหนาเพียง 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่าผิวหน้าบริเวณอื่นถึง 4 เท่า ทำให้ไวต่อแรงเสียดสีและการมองเห็นเส้นเลือดคั่งได้ง่ายที่สุดเลยค่ะ
สาเหตุของขอบตาดำคล้ำในกรณีนี้เกิดจาก ปัจจัยผสมผสาน (Multifactorial) ค่ะ โดยมี โรคภูมิแพ้เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดดำคั่ง (Venous Congestion) จนเห็นเป็นเงาคล้ำใต้ผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคือง จนนำไปสู่พฤติกรรม การขยี้ตา ซึ่งเป็นการซ้ำเติมผิวที่บอบบางที่สุด ให้เกิดการอักเสบ เส้นเลือดฝอยแตก และกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเข้มขึ้น (Hyperpigmentation) สะสมถาวร ดังนั้นการรักษาให้ได้ผลดีที่สุด จึงต้อง แก้ที่ต้นเหตุคือคุมอาการภูมิแพ้ ควบคู่ไปกับ การหยุดพฤติกรรมการขยี้ตา และบำรุงผิวรอบดวงตาให้แข็งแรงค่ะ ส่วนเคสอื่นๆที่ใต้ตาคล้ำ แต่ไม่ได้เกิดจากการมีอาการภูมิแพ้ อาจจะเป็นใต้ตาลึก เกิดเป็นเงา เป็นหลุมลึกลงไป แบบนี้จะเป็นการแก้ไขด้วยการเติมสารเติมเต็มเข้าไปทำทำให้ผิวเรียบเนียนแทนค่ะ
ริ้วรอยจากการนอนหลับ (Sleep Lines) คือ รอยเส้นแนวตั้งหรือแนวทแยงบนใบหน้า ที่เกิดจากการที่ ผิวถูกกดทับและเสียดสีกับหมอนเป็นเวลานาน โดยเฉพาะท่านอนตะแคง ซึ่งแตกต่างจากริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าทั่วไป โดย Botox และ Filler ช่วยได้ แต่อาจไม่ใช่วิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากริ้วรอยประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อโดยตรง ดังนั้น การป้องกันจึงสำคัญกว่า ด้วยการ ปรับท่านอนเป็นนอนหงาย เลือกใช้หมอนที่เหมาะสม และบำรุงผิวให้แข็งแรงสม่ำเสมอ เพื่อคงความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าค่ะ
แพทย์ทั่วโลกเป็นที่ทราบกันดีว่า ริ้วรอยแนวตั้งหรือแนวทแยงจากการนอนหลับนั้นรักษายากกว่าด้วย Botox หรือ Filler เนื่องจากไม่ใช่ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าโดยตรง ใครที่กังวลเรื่องนี้หรือชอบแนนตะแคง ลองเลือกหาหมอนที่เหมาะสมกับการนอนดูนะคะ
ฟิลเลอร์เกาหลีที่นำเข้าถูกต้องและผ่าน อย. ไทย มีคุณภาพดีพอและความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน เหมือนแบรนด์ยุโรปเลยค่ะ กระบวนการ สิทธิบัตรเทคโนโลยีอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่เหตุผลด้านราคานั้นเป็นเรื่องของ กลยุทธ์ทางการตลาด ล้วนๆ ค่ะ ต้องเข้าใจว่าแบรนด์จากยุโรปหรืออเมริกาคือ “เจ้าตลาด” ที่อยู่มานานและมีต้นทุนแบรนด์ดิ้งกับการวิจัยที่ลงทุนไปมหาศาล ในขณะที่แบรนด์เกาหลีถือเป็น “ผู้เล่นหน้าใหม่” ที่เข้ามาในตลาดทีหลัง การตั้งราคาให้เข้าถึงง่ายจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญเพื่อสร้างการรับรู้และเข้ามาแข่งขันในตลาดค่ะ ดังนั้น ราคาที่เป็นมิตรกว่าจึงไม่ได้หมายความว่าคุณภาพด้อยกว่า แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนไข้ยังคงเป็นการ เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์มากพอ เชื่อถือได้ ประเมินผิวตามปัญหา วางแผนการรักษาให้คนไข้เห็นภาพตั้งแต่ยังไม่ลงมือรักษา และใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ตรวจสอบได้ ตรงนี้ที่เป็นหัวใจสำคัญค่ะ
การดึงหน้า ถือเป็นขั้นสุดท้ายของการกอบกู้ผิว ให้กลับมาดูหนุ่ม ดูสาวได้อีกครั้ง อายุ + ปัญหา ณ เวลานั้น จึงเป็นตัวแปรสำคัญมากๆ การดึงหน้า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก มีร่องแก้มลึก มีเหนียงใต้คาง และต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน หากผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่มาก อาจเลือกวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การร้อยไหม หรือการใช้เครื่องยกกระชับผิว การตัดสินใจว่าจะดึงหน้าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนไข้เป็นหลัก
หลายครั้งหลายคราที่เวลาฉีดฟิลเลอร์ให้คนไข้ ถ้าเจอเคสสอดเข็มปลายทู่ยากๆ บวกกับหมออยากให้คนไข้ผ่อนคลาย หมอก็จะพูดว่า “คนไข้หนังเหนียวเหมือนกันนะคะเนี่ย” แต่ในความอารมณ์ขันนี้ก็มีความจริงด้านกายวิภาคซ่อนอยู่ เพราะคำว่า “หนังเหนียว” ในบริบทนี้ไม่ได้หมายถึงผิวที่ยืดหยุ่นดี
แต่หมายถึงผิวที่มีชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ที่หนาแน่น ทำให้การสอดเข็มปลายทู่เข้าไปทำได้ยากกว่าปกติ เนื่องจากเข็มต้องใช้แรงมากกว่าในการแหวกผ่านเนื้อเยื่อ
การที่หมอพูดแบบนี้เป็นการสื่อสารว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและแม่นยำ และที่สำคัญคือเพื่อสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย ลดความกังวลของคนไข้ขณะทำหัตถการ การใช้เข็มทู่นี้เป็นเทคนิคที่แพทย์ที่มีประสบการณ์เลือกใช้เพื่อลดอาการข้างเคียงต่างๆได้ เช่น ร่นระยะเวลาการบวมช้ำ หรือแทบไม่ช้ำเลยได้ ฯลฯ
ปัญหา “แก้มแฮมสเตอร์” หรือแก้มกระรอก แล้วแต่จะเรียก ที่คนไข้มักกังวล คือภาวะที่ใบหน้าส่วนล่างดูบวมหรือยื่นออกมาคล้ายกระพุ้งแก้มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆ ซึ่งชาวต่างชาติมักเรียกปัญหานี้รวมๆ ว่า “Trout Pout” หรือ “Overfilled” อันเกิดจากการฉีดสารเติมเต็มมากเกินไปหรือผิดเทคนิค จนทำให้ใบหน้าดูหนัก ไม่เป็นธรรมชาติ และสูญเสียความกลมกลืน แต่ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับคนไข้ภายใต้การดูแลของเราอย่างแน่นอน เพราะเรายึดมั่นในหลักการ “ความงามที่เป็นธรรมชาติ” ด้วยการประเมินโครงสร้างใบหน้าอย่างละเอียด ใส่ใจในทุกมิติ และที่สำคัญคือ “รู้จักที่จะหยุดเมื่อพอดี” ในปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้คือความงามที่สมดุลและดูดีอย่างยั่งยืนค่ะ







