Let them wonder why you look so refreshed, not what you had done.

โปรแกรมฟิลเลอร์ Lorient ที่ D’ Lovevery Clinic เติมเต็มความมั่นใจ คืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
ความงามที่แท้จริงไม่ได้วัดจากกรอบของสังคม แต่คือความรู้สึกมั่นใจที่เปล่งประกายมาจากภายใน แต่เมื่อกาลเวลาทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยร่องลึกหรือความหย่อนคล้อยที่ทำให้หลายคนสูญเสียความมั่นใจ โปรแกรมฟิลเลอร์ Lorient ที่ D’ Lovevery Clinic คือคำตอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อคืนความสดใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) คุณภาพ ที่จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย ปรับรูปหน้าให้สมดุล และฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูอิ่มฟูอีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และมอบผลลัพธ์ที่เรียบเนียน

เผยความลับของฟิลเลอร์ Lorient
ฟิลเลอร์ Lorient คือสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ที่พัฒนาขึ้นโดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติสูงสุด เนื้อเจลถูกออกแบบให้มีความบริสุทธิ์สูงและใช้สารเชื่อมโยงโมเลกุล (BDDE) ในปริมาณต่ำ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้หรือการอักเสบภายหลัง ที่สำคัญคือเนื้อเจลมีคุณสมบัติที่เรียบเนียนเป็นเนื้อเดียว ทำให้ปั้นทรงได้ง่าย กลมกลืนไปกับผิวจริง ไม่เกิดปัญหาเป็นก้อนแข็งหรือเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง จึงเป็นตัวเลือกที่แพทย์ไว้วางใจและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความงามที่ดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ Lorient มีให้เลือก 3 รุ่น เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาในแต่ละบริเวณของใบหน้าได้อย่างตรงจุด
- Lorient No.2 (เนื้ออ่อน) เหมาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยตื้นๆ และบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ใต้ตา หรือริมฝีปาก
- Lorient No.4 (เนื้อปานกลาง) เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องแก้ม หน้าผาก หรือเพิ่มปริมาตรให้แก้มดูอิ่มฟู
- Lorient No.6 (เนื้อแข็ง) เหมาะสำหรับการปรับโครงสร้างใบหน้าให้มีมิติคมชัดขึ้น เช่น คาง และกรอบหน้า

ฟิลเลอร์ Lorient แตกต่างจากตัวอื่นอย่างไรบ้าง
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของฟิลเลอร์ Lorient อยู่ที่ “เทคโนโลยีและโครงสร้างของเนื้อเจล” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยหลังฉีด
- โมเลกุล HA และการอักเสบ (High Molecular Weight HA)
- Lorient: ใช้ Hyaluronic Acid ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และน้ำหนักสูง (High Molecular Weight) ซึ่งมีความเสถียรสูง โครงสร้างแข็งแรง และที่สำคัญคือ กระตุ้นการอักเสบในร่างกายน้อยกว่า จึงช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงระยะยาวที่เรียกว่า Delayed Inflammatory Reactions (DIR) หรืออาการบวมๆ ยุบๆ หลังฉีดไปแล้วนานๆ ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักของผู้ที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้อ (โดยเฉพาะรุ่นเก่าๆ) อาจใช้ HA ที่มีโมเลกุลหลากหลายขนาด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากกว่า
- ความบริสุทธิ์และสารตกค้าง (Low BDDE Crosslinker)
- Lorient: มีปริมาณสารที่ใช้เชื่อมโมเลกุล (BDDE) ในระดับที่ต่ำมาก ทำให้ฟิลเลอร์มีความบริสุทธิ์สูง โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้หรือการอักเสบหลังฉีดจึงน้อยมาก เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
- ฟิลเลอร์อื่น: ปริมาณ BDDE อาจแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์และรุ่น ซึ่งหากมีปริมาณสูงก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองได้
- เนื้อเจลและความเรียบเนียน (Monophasic Gel)
- Lorient: เป็นเจลเนื้อเดียว (Monophasic) ที่มีความเนียนละเอียดสม่ำเสมอ ทำให้แพทย์สามารถปั้นทรงได้ง่าย ผลลัพธ์ที่ได้จึงเรียบเนียน กลืนไปกับผิวจริง ไม่เกิดปัญหาเป็นก้อนแข็ง และฟิลเลอร์ไม่เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง แม้ในบริเวณที่ขยับบ่อยๆ
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้ออาจเป็นเนื้อเจลแบบ Biphasic (มีทั้งเจลและอนุภาคผสมกัน) ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่แข็งกว่า หรือเสี่ยงต่อการจับตัวเป็นก้อนได้มากกว่าหากเทคนิคการฉีดไม่เหมาะสม
- อาการบวมหลังฉีด (Osmolarity ที่ใกล้เคียงกับผิว)
- Lorient: มีค่าแรงดันออสโมติก (Osmolarity) ที่ออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อผิวหนังของมนุษย์ ทำให้เนื้อเจล ไม่ดึงน้ำเข้ามาในบริเวณที่ฉีดมากเกินไป ผลลัพธ์คือ อาการบวมหลังฉีดจึงน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เร็วกว่า
- ฟิลเลอร์อื่น: บางยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติดึงน้ำมากกว่า ทำให้เกิดอาการบวมได้ชัดเจนในช่วง 3-7 วันแรกหลังฉีด

ข้อดีและข้อควรพิจารณาของฟิลเลอร์ Lorient
ข้อดี
- ผลลัพธ์สวยเป็นธรรมชาติ เนื้อเจลละเอียดพิเศษ ผสานเข้ากับชั้นผิวได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่จับตัวเป็นก้อน
- บวมช้ำน้อยมาก ด้วยคุณสมบัติของเจลที่ไม่ดึงน้ำมากเกินไป และมีค่าแรงดันที่ใกล้เคียงกับผิวหนัง ทำให้หลังฉีดแทบไม่มีอาการบวม
- ปลอดภัยสูง ลดโอกาสแพ้ ผ่านกระบวนการผลิตที่ทำให้สารตกค้าง (BDDE) อยู่ในระดับต่ำมาก ปลอดภัยแม้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง
- ฉีดง่ายและแม่นยำ แพทย์สามารถควบคุมการฉีดได้ง่าย ทำให้ผลลัพธ์ออกมาแม่นยำตามที่วางแผนไว้
- คงผลลัพธ์ยาวนาน ฟิลเลอร์สามารถยึดเกาะกับผิวได้ดี ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานตั้งแต่ 6 ถึง 16 เดือน ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ใช้และสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ข้อควรพิจารณา
- ผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ชั่วคราวและค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ จำเป็นต้องกลับมาเติมเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้
- ไม่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเอง

การเตรียมตัวก่อนรับบริการฟิลเลอร์
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัยสูงสุด ควรเตรียมตัวดังนี้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนรับบริการ
- หยุดรับประทานยาหรือวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา อย่างน้อย 3-5 วัน
- พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อม
- แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่รับประทานอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด

การดูแลตัวเองหลังรับบริการ
การดูแลตัวเองหลังฉีดเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่และสวยงาม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด หรือนวดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก
- งดกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าสัมผัสความร้อน เช่น ซาวน่า สตรีม หรือการตากแดดจัด ประมาณ 3-5 วัน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักที่อาจทำให้หน้าแดงหรือมีเหงื่อออกมากเป็นเวลา 1-2 วัน
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ทำงานและอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น
- หากมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการได้
ข้อควรรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ Lorient
- ความรู้สึกระหว่างทำ ก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเฉพาะที่เพื่อลดความรู้สึกเจ็บ ทำให้ระหว่างฉีดจะรู้สึกเจ็บน้อยมากหรือไม่รู้สึกเลย
- บริเวณที่สามารถฉีดได้ ฟิลเลอร์ Lorient สามารถใช้ได้กับหลายส่วนบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หน้าผาก แก้ม คาง ขมับ และริมฝีปาก โดยแพทย์จะประเมินและเลือกรุ่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากฟิลเลอร์ Lorient ถูกออกแบบมาให้อ่อนโยนและปลอดภัย ผลข้างเคียงจึงพบได้น้อยมาก อาจมีเพียงอาการบวมหรือรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน
- การแก้ไขผลลัพธ์ หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถทำได้ เนื่องจากฟิลเลอร์ Lorient เป็นสารไฮยาลูรอนิกแอซิด ซึ่งสามารถใช้เอนไซม์เพื่อสลายฟิลเลอร์ออกได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของแพทย์

ทำไมต้องเลือกฟิลเลอร์ ที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวอย่างละเอียด ไม่เร่งรีบ เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน เราไม่มีเซลส์คอยกดดันหรือบังคับขายคอร์ส คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระและสบายใจ
- จ่ายสบายเลือกได้ เรามีทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย ทั้งระบบมัดจำ การแบ่งจ่าย Shopee PayLater (เร็วๆนี้) และโปรแกรมผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม คุณจะได้ติดตามผลการรักษากับแพทย์ที่ดูแลคุณโดยตรง เพื่อความต่อเนื่องและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง ความไว้วางใจของคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด เรารวบรวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่มีการจ้างดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้ ทีมแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง สามารถตรวจสอบประวัติและใบประกอบวิชาชีพได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกของเราผ่านการรับรองตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข สะอาด ปลอดภัย พร้อมที่จอดรถฟรีเพื่อความสะดวกของคุณ
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ เราให้ข้อมูลที่รวดเร็วและโปร่งใส คุณสามารถตรวจสอบคอร์สคงเหลือได้ง่าย และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย และสามารถตรวจสอบได้
พร้อมคืนความอ่อนเยาว์และเติมความมั่นใจให้ใบหน้าของคุณแล้วหรือยัง นัดหมายเพื่อปรึกษาแพทย์ได้แล้ววันนี้ที่ D’ Lovevery Clinic ทั้ง 2 สาขา
- สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง โทร 064-424-6526
- สาขา Crystal Design Center (CDC) โทร 095-236-4546

ทำไมต้องที่ D’ Lovevery Clinic
การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและไว้วางใจได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคุณในทุกๆ ด้าน
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case ละเอียด ไม่เร่งรีบ
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน ไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส
- จ่ายสบายเลือกได้ มีระบบมัดจำ แบ่งจ่ายได้ มี Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง รวมรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่ใช่ดาราหรือ Influencer
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกผ่านการรับรอง มีที่จอดรถฟรี
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ ข้อมูลรวดเร็ว เช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวผ่าน อย. ไทยและตรวจสอบได้

ปัญหา “แก้มแฮมสเตอร์” หรือแก้มกระรอก แล้วแต่จะเรียก ที่คนไข้มักกังวล คือภาวะที่ใบหน้าส่วนล่างดูบวมหรือยื่นออกมาคล้ายกระพุ้งแก้มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆ ซึ่งชาวต่างชาติมักเรียกปัญหานี้รวมๆ ว่า “Trout Pout” หรือ “Overfilled” อันเกิดจากการฉีดสารเติมเต็มมากเกินไปหรือผิดเทคนิค จนทำให้ใบหน้าดูหนัก ไม่เป็นธรรมชาติ และสูญเสียความกลมกลืน แต่ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับคนไข้ภายใต้การดูแลของเราอย่างแน่นอน เพราะเรายึดมั่นในหลักการ “ความงามที่เป็นธรรมชาติ” ด้วยการประเมินโครงสร้างใบหน้าอย่างละเอียด ใส่ใจในทุกมิติ และที่สำคัญคือ “รู้จักที่จะหยุดเมื่อพอดี” ในปริมาณที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้คือความงามที่สมดุลและดูดีอย่างยั่งยืนค่ะ
ความถี่ในการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นชนิดของฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีด ไลฟ์สไตล์ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด อีกนัยนึงคือ คนไข้ที่มีปัญหาเยอะและต้องใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณมาก (หลาย cc) อาจจะต้องแบ่งการฉีดออกเป็นหลายเซสชั่น (เช่น 2 ครั้ง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเหมาะสม เพราะการอัดฟิลเลอร์เข้าไปในปริมาณมาก ๆ ในครั้งเดียว อาจจะไม่เหมาะกับบางเคส ดังนั้น การปรึกษารับบริการกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จริง เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
ต้องบอกว่าจริงบางส่วน แต่มันไม่ใช่ทุกคน ทุกบริเวณ และทุกครั้งค่ะ
การที่ฟิลเลอร์จะอยู่ได้นานแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลคือ ชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ บริเวณที่ฉีด การดูแลตัวเองหลังฉีด และกระบวนการสลายของร่างกายแต่ละบุคคล แม้ว่าการฉีดตอนอายุน้อยอาจมีส่วนช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากสภาพผิวที่สมบูรณ์กว่า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมและได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ
การดูแลผิวหน้าให้สวยสมบูรณ์แบบและอ่อนเยาว์นั้น ไม่ใช่แค่การดูแลผิวชั้นบนเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่าปัญหาเกิดจากชั้นผิวไหน เพื่อให้หมอเลือกโปรแกรมที่ ตรงจุด เช่น โปรแกรม Sculptra, Profhilo, Radiesse, Thermage FLX, Potenza, Oligio เหมาะกับการปรับปรุงคุณภาพผิวและกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวหนังและไขมันตื้น, โปรแกรม Botox ใช้กับริ้วรอยจากการทำงานของกล้ามเนื้อ, โปรแกรม Ulthera ยกกระชับโครงสร้างลึกถึงชั้น SMAS, และ โปรแกรม Filler ช่วยเสริมสร้างและเติมเต็มโครงสร้างกระดูกและไขมันชั้นลึก การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินปัญหาในแต่ละชั้นผิวอย่างละเอียด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สวยงามและยั่งยืนค่ะ
“Facial Harmony Filler” ไม่ใช่เทคนิคที่เป็นความลับหรือมีใครเป็นเจ้าของค่ะ แต่มันคือ “ปรัชญา” และ “ศิลปะ” ในการปรับรูปหน้า ที่เปลี่ยนมุมมองจากการ “เติมเป็นจุดๆ” มาเป็นการ “ปั้นและออกแบบใบหน้าแบบองค์รวม” ค่ะ หัวใจสำคัญคือการที่แพทย์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าทั้งหมด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและสร้างความสมดุลให้ทุกส่วนประกอบบนใบหน้าดูกลมกลืนกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่การเติมเต็มส่วนที่ขาด แต่คือการ คืนความอ่อนเยาว์ สร้างมิติที่สวยงาม และดึงความงามในแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุดของคนไข้ ออกมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการย้ำเตือนให้คนไข้เข้าใจว่า การฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ใครก็ฉีดได้ แต่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของแพทย์อย่างแท้จริงค่ะ
คือ โบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อเพื่อ “ป้องกันและลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับ” เช่น เวลายักคิ้ว ในขณะที่ ฟิลเลอร์จะทำหน้าที่ “เติมเต็มร่องลึกถาวร” ที่มองเห็นแม้จะทำหน้าเฉยๆ ค่ะ ในหลายกรณี การใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กันจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผากได้อย่างครอบคลุมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนดูอ่อนเยาว์อีกครั้งค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชายมีความแตกต่างจากผู้หญิงอย่างชัดเจนในเรื่องของเป้าหมายและเทคนิคค่ะ สำหรับผู้ชายจะเน้นการฉีดเพื่อเสริมสร้างความคมชัดของกรอบหน้า (Masculinization) เช่น การทำให้หน้าผากดูกว้างและตรง, สร้างสันจมูกให้คม, เพิ่มความกว้างและความเหลี่ยมของคาง, และสร้างแนวกรามให้คมชัดเป็นสัน เพื่อส่งเสริมโครงสร้างที่ดูแข็งแรงตามแบบผู้ชาย ในขณะที่ การฉีดในผู้หญิงจะเน้นการสร้างความโค้งมน อ่อนหวาน (Feminization) เช่น การทำให้หน้าผากโหนกนูน, สร้างโหนกแก้มให้ดูอิ่มเอิบ, ทำให้คางเรียวเป็น V-shape และปั้นปากให้อวบอิ่มสวยงามค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในบริเวณอื่นๆ เช่น ใต้ตาและร่องแก้ม เทคนิคและเป้าหมายจะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัญหาเกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนังเหมือนกัน เป้าหมายหลักจึงเป็นการ “เติมเต็ม” เพื่อแก้ปัญหาร่องลึกและความโทรมให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่ทั้งนี้ แพทย์จะยังคงพิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละเพศ และใช้เทคนิคการเกลี่ยที่พิถีพิถัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและส่งเสริมเอกลักษณ์ของคนไข้แต่ละคนได้ดีที่สุดค่ะ
ผิวบริเวณลำคอมีต่อมไขมันและคอลลาเจนน้อยกว่าผิวหน้า ทำให้ผิวแห้งและบางกว่าโดยธรรมชาติ จึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายและเร็วกว่าค่ะ นอกจากนี้ การหดตัวของกล้ามเนื้อที่คอยังดึงรั้งให้เกิดเป็นเส้นๆ ชัดขึ้นในคนผิวบาง วิธีดูแลคือต้องใส่ใจทาสกินแคร์และครีมกันแดดที่คอให้เหมือนกับใบหน้าเสมอ พร้อมปรับพฤติกรรมการก้มหน้าเล่นมือถือ หากมีริ้วรอยชัดเจนแล้วก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อทำหัตถการช่วยยกกระชับได้ค่ะ







