Unlock the new dimension of you.
ปั้นหน้าผากใหม่ให้ละมุน ปรับมิติใบหน้า ไม่ต้องผ่าตัด ด้วยโปรแกรมฟิลเลอร์
หน้าผากที่ได้สัดส่วน โหนกนูนอย่างพอเหมาะ และเรียบเนียน เสริมให้โครงหน้าโดยรวมดูมีมิติและอ่อนเยาว์ D’ Lovevery Clinic เราเข้าใจถึงความต้องการในการปรับรูปหน้าให้สวยงามและเป็นธรรมชาติที่สุด โปรแกรมฟิลเลอร์หน้าผากจึงถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความมั่นใจให้คุณ ด้วยเทคนิคขั้นสูงที่เน้นความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ

ไขความลับหน้าผากอิ่มฟู โปรแกรมฟิลเลอร์ทำงานอย่างไร
โปรแกรมฟิลเลอร์หน้าผาก คือการใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ฉีดเข้าไปบริเวณหน้าผากเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าผากแบน หน้าผากยุบ มีร่องลึก หรือผิวไม่เรียบเนียน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินโครงสร้างใบหน้าและเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด เพื่อปั้นทรงหน้าผากให้โค้งมนสวยงาม สร้างมิติให้ใบหน้าดูละมุนและสมดุลมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเหมือนการผ่าตัด
ข้อดีและข้อควรพิจารณาของโปรแกรมฟิลเลอร์หน้าผาก
ข้อดี
- เห็นผลทันที สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปทรงหน้าผากได้ทันทีหลังทำ
- ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ปรับแก้ได้ หากผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่พอใจ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์เพื่อปรับแก้ได้
- ความเป็นธรรมชาติสูง แพทย์สามารถปั้นแต่งรูปทรงได้อย่างละเอียด ทำให้ผลลัพธ์ดูเรียบเนียนกลมกลืนไปกับผิว
- กระตุ้นคอลลาเจน สาร HA ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวในระยะยาว
ข้อควรพิจารณา
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร ฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติในระยะเวลาประมาณ 12-18 เดือน
- อาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปได้เองในไม่กี่วัน
- ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์สูง เนื่องจากบริเวณหน้าผากมีเส้นเลือดสำคัญจำนวนมาก การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์จึงสำคัญอย่างยิ่ง

หน้าผากแบนเกิดจากอะไรคะหมอ?
โดยปกติแล้ว หน้าผากที่สวยงามตามหลักกายวิภาคคือต้องมีความโค้งมน นูนสวยรับกับจมูกและคาง แต่ในบางท่านอาจมีลักษณะหน้าผากที่แบน หรือแบนจนดูยุบลงไป ซึ่งสาเหตุหลักๆ มีดังนี้ค่ะ
- กรรมพันธุ์และโครงสร้างกระดูกแต่กำเนิด
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดค่ะ ลักษณะของกระโหลกศีรษะบริเวณหน้าผาก (Frontal Bone) ของเราถูกกำหนดมาโดยพันธุกรรม เหมือนกับที่เรามีสีตาหรือสีผมตามพ่อแม่นั่นเองค่ะ หากคนในครอบครัวมีลักษณะหน้าผากแบน เราก็มีแนวโน้มที่จะมีโครงสร้างหน้าผากแบบเดียวกันได้ค่ะ - การฝ่อตัวของกระดูกและไขมันเมื่ออายุมากขึ้น
เรื่องนี้เป็นไปตามธรรมชาติเลยค่ะ เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะเริ่มมีการฝ่อตัวและยุบตัวลงของโครงสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดูกที่บางลง หรือชั้นไขมันใต้ผิวที่สลายตัวไป บริเวณหน้าผากก็เช่นกันค่ะ จากเดิมที่เคยดูเต็มอิ่ม ก็อาจจะค่อยๆ แบนราบหรือยุบตัวลงได้ ทำให้ใบหน้าดูมีอายุและเหนื่อยล้าค่ะ - การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ในบางกรณี การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะช่วงวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลต่อความหนาแน่นของกระดูกและการสลายของไขมันได้เช่นกัน ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยเสริมที่ทำให้หน้าผากดูแบนลงได้เมื่ออายุเพิ่มขึ้นค่ะ
วิธีเช็กหน้าผากตัวเองง่ายๆ ว่าแบนหรือไม่?
เราสามารถเช็กโครงสร้างหน้าผากของตัวเองได้ง่ายๆ เลยค่ะ เพียงแค่ลองหันหน้าเข้ากระจกในมุมด้านข้าง 90 องศา แล้วสังเกตตามนี้ค่ะ
- วิธีที่ 1: สังเกตความโค้งมนโดยรวม
มองภาพรวมของหน้าผากตั้งแต่ไรผมลงมาจนถึงหัวคิ้วค่ะ หน้าผากที่ได้สัดส่วนที่ดีควรมีความโค้งนูนออกมาเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นระนาบเส้นตรงดิ่งลงมา ถ้ามองแล้วรู้สึกว่าหน้าผากดูตรงๆ ขาดความโค้ง ก็แสดงว่าเรามีลักษณะหน้าผากที่ค่อนข้างแบนค่ะ - วิธีที่ 2: ใช้ไม้บรรทัดหรือของที่เป็นเส้นตรงช่วย
ลองหาไม้บรรทัด ปากกา หรือบัตรแข็งๆ มาทาบเบาๆ ในแนวตั้ง ให้ปลายด้านหนึ่งแตะที่จุดสูงสุดของหน้าผาก (ปกติจะอยู่เหนือคิ้วขึ้นไปเล็กน้อย) และปลายอีกด้านแตะที่หัวคิ้วค่ะ- ถ้าหน้าผากโค้งนูน: จะเกิดช่องว่างระหว่างผิวหน้าผากกับไม้บรรทัด
- ถ้าหน้าผากแบน: ผิวหน้าผากส่วนใหญ่จะแนบสนิทไปกับไม้บรรทัดเลยค่ะ

ร่องลึกเหนือหัวคิ้ว (หน้าผากเว้า) เกิดจากอะไรคะหมอ?
ร่องลึกที่เกิดขึ้นบริเวณเหนือหัวคิ้วโดยตรง ทำให้หน้าผากช่วงนั้นดูยุบหรือเว้าลงไป มีสาเหตุหลักๆ มาจากการผสมผสานกันของโครงสร้างและพฤติกรรมค่ะ
- โครงสร้างกระดูกหน้าผากส่วนล่าง (Supraorbital Ridge)
นี่คือสาเหตุหลักเลยค่ะ คนไข้บางท่านมี กระดูกเบ้าตาส่วนบนหรือบริเวณโหนกคิ้วที่นูนเด่นออกมามากกว่าปกติ ซึ่งเป็นลักษณะทางกรรมพันธุ์ค่ะ พอโหนกคิ้วเด่นมาก ก็จะยิ่งขับให้บริเวณ “เหนือ” โหนกคิ้วขึ้นไปดูยุบหรือเว้าลงไปโดยเปรียบเทียบ กลายเป็นร่องลึกขึ้นมาค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะ เหมือนเรามีภูเขา (โหนกคิ้ว) ที่สูงชัน หุบเขา (ร่องเหนือคิ้ว) ที่อยู่ติดกันก็จะยิ่งดูลึกค่ะ - การยุบตัวของไขมันและกระดูกเฉพาะจุด
เมื่ออายุมากขึ้น การยุบตัวของกระดูกและการฝ่อตัวของไขมันใต้ผิว อาจเกิดขึ้นไม่เท่ากันทั่วทั้งหน้าผากค่ะ บริเวณเหนือหัวคิ้วก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไขมันมักจะสลายตัวไปได้ง่าย ทำให้เกิดเป็นร่องหรือแอ่งลึกลงไป ในขณะที่หน้าผากส่วนบนอาจจะยังดูเต็มอยู่ - การทำงานของกล้ามเนื้อขมวดคิ้ว (Corrugator Muscles)
กล้ามเนื้อที่ใช้ในการขมวดคิ้วจะอยู่บริเวณหัวคิ้วพอดีค่ะ การขมวดคิ้วบ่อยๆ หรือแสดงสีหน้าเคร่งเครียดเป็นประจำ จะทำให้กล้ามเนื้อมัดนี้แข็งแรงและมีขนาดใหญ่ขึ้น เหมือนการเล่นเวทเลยค่ะ พอกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น ก็จะไปดึงรั้งผิวหนังและไขมันบริเวณนั้น ทำให้เกิดเป็นร่องลึกถาวรขึ้นมาได้ แม้ในเวลาที่เราทำหน้าเฉยๆ ก็ตามค่ะ
วิธีเช็กร่องลึกเหนือคิ้วด้วยตัวเอง
วิธีเช็กก็คล้ายกับการดูหน้าผากแบนเลยค่ะ คือต้องอาศัยมุมมองด้านข้างเป็นหลัก
- ขั้นตอนที่ 1: หันหน้าด้านข้างเข้าหากระจก
มองโปรไฟล์หน้าของตัวเองในมุม 90 องศา แล้วสังเกตเส้นเงาที่พาดผ่านหน้าผากค่ะ - ขั้นตอนที่ 2: สังเกตความต่อเนื่องของความโค้ง
ลากสายตาจากหน้าผากส่วนบนลงมาที่หัวคิ้วช้าๆ- หน้าผากปกติ: จะมีความโค้งที่ค่อนข้างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อาจจะมีมุมเปลี่ยนเล็กน้อย แต่จะไม่หักมุมชัดเจน
- หน้าผากมีร่องลึก: จะสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า บริเวณเหนือหัวคิ้วขึ้นไปเล็กน้อย มีลักษณะ “ยุบ” หรือ “เว้า” เข้าไป เหมือนเป็นแอ่งเล็กๆ ก่อนที่จะนูนออกมาอีกครั้งตรงโหนกคิ้ว ทำให้ความโค้งของหน้าผากดูไม่ต่อเนื่องและไม่เรียบเนียนค่ะ

ทำไมหน้าผากสองข้างถึงยุบไม่เท่ากันคะหมอ?
การที่หน้าผากของเราดูไม่สมมาตร หรือมีด้านใดด้านหนึ่งยุบตัวลงไปมากกว่าอีกข้าง จนทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุร่วมกันค่ะ
- โครงสร้างกระดูกที่ไม่สมมาตรตั้งแต่กำเนิด (Asymmetry)
นี่เป็นเรื่องปกติของร่างกายมนุษย์เลยค่ะ ไม่มีใครที่ร่างกายสองซีกจะสมมาตรกัน 100% กระโหลกศีรษะของเราก็เช่นกันค่ะ เป็นไปได้ว่ากระดูกหน้าผากซีกซ้ายและขวาของเราอาจจะมีความหนา, ความโค้ง, หรือตำแหน่งที่แตกต่างกันเล็กน้อยมาตั้งแต่เกิดแล้ว ซึ่งในตอนที่ผิวยังเต่งตึงอาจจะมองไม่เห็น แต่จะมาปรากฏชัดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นค่ะ - การยุบตัวของไขมันและกระดูกที่ไม่เท่ากัน
เมื่อเราอายุมากขึ้น การสลายตัวของไขมันและการยุบตัวของกระดูก มักจะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันและเท่ากันทั้งสองข้างเสมอไปค่ะ อาจมีปัจจัยอื่นๆ มากระตุ้นให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งยุบตัวเร็วกว่า เช่น- การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ: การนอนกดทับใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งเป็นเวลานานหลายปี อาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและทำให้ไขมันฝั่งนั้นฝ่อตัวเร็วกว่าอีกข้างได้ค่ะ
- การถนัดเคี้ยวข้าวข้างเดียว: แม้จะดูไกลตัว แต่การใช้กล้ามเนื้อใบหน้าข้างเดียวเป็นหลัก ก็ส่งผลต่อโครงสร้างโดยรวมในระยะยาวได้เช่นกันค่ะ
- การทำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่สมดุลกัน
คนเรามักจะมี พฤติกรรมการแสดงสีหน้าที่ไม่สมมาตร กันอยู่แล้วค่ะ เช่น การยักคิ้วข้างเดียวบ่อยๆ, การเลิกหน้าผากโดยใช้กล้ามเนื้อฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นหลัก เมื่อทำซ้ำๆ กล้ามเนื้อฝั่งที่ใช้งานมากกว่าก็จะแข็งแรงและดึงรั้งผิวหนังมากกว่า ทำให้เกิดร่องหรือรอยยุบที่ชัดกว่าอีกข้างหนึ่งได้ค่ะ
วิธีเช็กความไม่สมดุลของหน้าผาก
การเช็กปัญหานี้อาจต้องใช้การสังเกตที่ละเอียดขึ้นอีกนิดค่ะ
- ขั้นตอนที่ 1: การมองตรงๆ และการสัมผัส
ยืนหน้ากระจกตรงๆ ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ แล้วลองใช้ปลายนิ้วมือค่อยๆ ลูบไปทั่วๆ บริเวณหน้าผากทั้งซ้ายและขวาช้าๆ ค่ะ คนไข้จะสามารถรับรู้ได้ถึงความ “ไม่เรียบ” ของผิว อาจจะรู้สึกว่าบางจุดนูน บางจุดยุบ หรือบางทีจะรู้สึกได้เลยว่าฝั่งหนึ่งดู “เต็ม” และ “แน่น” กว่าอีกฝั่งที่รู้สึกยุบลงไป - ขั้นตอนที่ 2: การมองในมุมแสงตกกระทบ
ลองหันหน้าให้แสงไฟส่องมาจากด้านบนศีรษะ หรือหันหน้าเอียงเล็กน้อยให้แสงส่องเฉียงๆ เข้ามาค่ะ แสงและเงาจะช่วยเผยให้เห็นความไม่สม่ำเสมอของผิวหน้าผากได้ชัดเจนที่สุด คนไข้จะมองเห็นเลยว่าหน้าผากไม่ได้เรียบเนียนเป็นผิวเดียวกัน แต่มีลักษณะเป็นคลื่น มีรอยบุ๋ม หรือมีเงาตกกระทบในจุดที่ยุบตัวลงไป ซึ่งอาจจะเห็นชัดแค่ข้างใดข้างหนึ่ง หรือเป็นทั้งสองข้างแต่ไม่เท่ากันค่ะ
การมีหน้าผากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใดนะคะ เป็นเพียงลักษณะโครงสร้างรูปแบบหนึ่งเท่านั้น แต่หากคนไข้รู้สึกว่าปัญหานี้ทำให้ใบหน้าดูขาดมิติ ไม่สดใส หรือไม่มั่นใจ ก็สามารถเข้ามาปรึกษาหมอเพื่อใช้วิธีทางการแพทย์อย่างการ “ฉีดฟิลเลอร์” เพื่อปรับแก้ให้หน้าผากกลับมาโค้งมนสวยงาม รับกับใบหน้าโดยรวมได้ค่ะ

ปัญหาหน้าผากแต่ละแบบ ควรใช้ฟิลเลอร์หรือไขมันปริมาณเท่าไหร่
ปริมาณที่ใช้นั้นเป็นการประเมินเบื้องต้น และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โครงสร้างใบหน้า และความต้องการของผู้รับบริการเป็นสำคัญ
ลักษณะปัญหา หน้าผาก | ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) | ปริมาณไขมัน (CC) | คำอธิบายเพิ่มเติม |
---|---|---|---|
หน้าผากแบน ขาดมิติ | 2 – 5 CC | 20 – 40 CC | เพื่อสร้างความโหนกนูนให้หน้าผากดูมีมิติสวยงาม รับกับจมูกและคาง |
หน้าผากยุบ บุ๋มเป็นบางจุด | 1 – 3 CC | 10 – 20 CC | เป็นการเติมเฉพาะส่วนที่ยุบหรือเป็นแอ่งให้เต็มขึ้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนสม่ำเสมอ |
มีร่องลึกเหนือคิ้ว | 1 – 2 CC | 10 – 15 CC | เพื่อเติมเต็มร่องที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูกหรือไขมัน ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ลง |
ขมับตอบ ขมับยุบ | 1 – 3 CC (ต่อข้าง) | 10 – 20 CC (ต่อข้าง) | การเติมขมับช่วยให้กรอบหน้าดูเต็มสวยงาม และใบหน้าโดยรวมดูหวานละมุนขึ้น |
ต้องการปรับโหงวเฮ้ง | 2 – 4 CC | 20 – 30 CC | เน้นการเติมในตำแหน่งที่ช่วยส่งเสริมโหงวเฮ้ง เช่น ความนูน กว้าง และความเรียบเนียน |
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
ตารางเปรียบเทียบ ฟิลเลอร์หน้าผาก vs ฉีดไขมันหน้าผาก
หัวข้อเปรียบเทียบ | โปรแกรมฟิลเลอร์ (Hyaluronic Acid) | การฉีดไขมัน (Fat Grafting) |
---|---|---|
ที่มาของสารที่ใช้ | สารสังเคราะห์เลียนแบบสารในร่างกาย (HA) | ไขมันจากร่างกายของตัวเอง (เช่น จากหน้าท้อง ต้นขา) |
ขั้นตอนการทำ | ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที | ซับซ้อนกว่า ต้องมีขั้นตอนดูดไขมันและปั่นแยกเซลล์ก่อนนำมาฉีด |
การพักฟื้น | ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย 2-3 วัน | ต้องพักฟื้น ทั้งบริเวณที่ฉีดและบริเวณที่ดูดไขมัน มีอาการบวมช้ำนานกว่า |
ความแม่นยำ/การปั้นทรง | ⭐⭐⭐⭐⭐ ปั้นทรงได้ละเอียด คมชัด แม่นยำสูง | ⭐⭐⭐ ควบคุมผลลัพธ์ได้ยากกว่า อาจไม่เรียบเนียนเท่าฟิลเลอร์ |
ผลลัพธ์หลังทำทันที | เห็นผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจนทันที | จะบวมมากในช่วงแรก และไขมันจะมีการสลายตัวบางส่วน ต้องรอ 1-3 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์สุดท้าย |
ระยะเวลาของผลลัพธ์ | ประมาณ 12-18 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่นฟิลเลอร์และการดูแล) | หากไขมันติดแล้วจะให้ผลลัพธ์กึ่งถาวร แต่คาดการณ์ผลได้ยาก |
ความปลอดภัย | ปลอดภัยสูง สลายได้เองตามธรรมชาติ หรือฉีดสลายได้หากไม่พอใจ | ต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานสูง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ |
ความเหมาะสม | ผู้ที่ต้องการความแม่นยำสูง ปรับรูปทรงเฉพาะจุด ไม่ต้องการพักฟื้นนาน | ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานขึ้น และมีไขมันส่วนเกินเพียงพอให้ดูดออกมาใช้ |

- การฉีดไขมัน จะต้องมีการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาใช้ และปริมาณที่ฉีดเข้าไปจะต้องเผื่อการสลายตัวของไขมันส่วนหนึ่ง (ประมาณ 30-50%) ด้วย จึงต้องใช้ปริมาณ CC ที่เยอะกว่าฟิลเลอร์เสมอ
- การฉีดฟิลเลอร์ มีข้อดีคือสามารถใช้ปริมาณน้อยๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทันทีหลังทำ
เลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะ ปั้นหน้าผากสวยละมุนเป็นธรรมชาติ
การเลือกฟิลเลอร์สำหรับบริเวณหน้าผาก ซึ่งเป็นผิวหนังที่บางและมีการขยับของกล้ามเนื้อตลอดเวลา ควรเน้นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลเรียบเนียน ยืดหยุ่นสูง และไม่เป็นก้อนง่าย เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
ยี่ห้อฟิลเลอร์ | รุ่นที่เหมาะสำหรับหน้าผาก | ลักษณะโมเลกุล/เนื้อฟิลเลอร์ | จุดเด่นของรุ่น |
---|---|---|---|
Juvederm (อเมริกา) | Volbella / Volift | เนื้อนิ่ม เรียบเนียน มีความยืดหยุ่นสูง (เทคโนโลยี Vycross) | Volbella เนื้อจะนิ่มมาก เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผิวเรียบเนียน ส่วน Volift จะมีเนื้อที่ฟูขึ้นมาเล็กน้อย เหมาะกับการเติมร่องลึกและปรับความโค้งมน |
Restylane (สวีเดน) | Volyme / Refyne | เนื้อเจลมีความคงตัวและยืดหยุ่น สามารถยกพยุงผิวได้ดี (เทคโนโลยี OBT) | Volyme ให้ปริมาตรความฟูได้ดี เหมาะกับเคสหน้าผากแบนที่ต้องการความโหนกนูน ส่วน Refyne มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการเติมในจุดที่มีการขยับบ่อยๆ |
Lorient (เกาหลี) | No. 4 | เนื้อเจลมีความหนืดปานกลาง ให้วอลลุ่มแบบพอดีและให้ความชุ่มชื้น | เหมาะสำหรับการเติมเต็มหน้าผากให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องการวอลลุ่มที่มากเกินไป ให้ผลลัพธ์ที่ดูเรียบเนียนและชุ่มชื้น |
Flore (เกาหลี) | Max / Aqua-S | เนื้อเจลมีความหนืดและปั้นทรงง่าย แต่ยังคงความเรียบเนียน | ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ และมีราคาที่เข้าถึงง่าย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยม |
Ultra V Hyal Filler (เกาหลี) | Medium | เนื้อเจลมีโมเลกุลขนาดเล็ก มีความละเอียด เรียบเนียนเป็นพิเศษ | เหมาะสำหรับการแก้ไขริ้วรอยเล็กๆ หรือเติมเต็มผิวชั้นตื้นให้ดูเรียบเนียนขึ้น ไม่เน้นการเพิ่มปริมาตรมากนัก แต่จะเน้นเรื่องความละเอียดของผิว |

ข้อแนะนำเพิ่มเติม การจะเลือกรุ่นไหนหรือยี่ห้อใดนั้น ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมิน ตามสภาพปัญหาผิว โครงสร้างใบหน้า และผลลัพธ์ที่คาดหวังของแต่ละบุคคล เพราะแพทย์จะสามารถเลือกรุ่นฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดีที่สุดค่ะ

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของหน้าผากชาย-หญิง
ลักษณะ (Feature) | หน้าผากผู้ชาย (Male Forehead) | หน้าผากผู้หญิง (Female Forehead) |
---|---|---|
1. ความกว้างและรูปทรง | กว้างกว่า, มีความเป็นเหลี่ยม (Square) ชัดเจน | แคบกว่าเล็กน้อย, มีความโค้งมน (Rounded) |
2. ความลาดชัน (Slope) | มีความลาดเอียงไปด้านหลังมากกว่า (Sloping) | มีความตั้งชัน, ดูตรงและเรียบเนียน (Vertical & Flat) |
3. โหนกคิ้ว (Brow Bone) | เด่นชัดมาก, กระดูกโหนกคิ้วหนาและยื่นออกมา | เรียบเนียน หรือนูนออกมาเพียงเล็กน้อย กลืนไปกับหน้าผาก |
4. จุดนูนของหน้าผาก | มักจะเรียบแบน หรืออาจมีส่วนนูนบริเวณเหนือโหนกคิ้ว | มีความนูนโค้งมนสวยงามบริเวณกลางหน้าผาก (Frontal Eminence) |
5. กรอบผม (Hairline) | มักเป็นรูปตัว M (M-Shape) มีเว้าลึกบริเวณขมับ | มักเป็นรูปโค้งมนคล้ายระฆังคว่ำ (Bell-Shape) |
6. ความสูง | โดยทั่วไปจะสูงกว่าเล็กน้อย (วัดจากคิ้วถึงไรผม) | โดยทั่วไปจะเตี้ยกว่าเล็กน้อย |

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
แม้ว่าโปรแกรมฟิลเลอร์หน้าผากจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมสูง แต่ก็มีเงื่อนไขและข้อควรระวังสำหรับบุคคลบางกลุ่ม เพื่อป้องกันความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจไม่เหมาะสมกับบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้
กลุ่มที่มีข้อห้ามทางการแพทย์โดยเด็ดขาด
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่รับรองความปลอดภัยของฟิลเลอร์ต่อทารกในครรภ์และทารกที่ดื่มนมมารดา จึงควรงดเว้นการทำหัตถการนี้โดยเด็ดขาด
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือยาชา เพราะเป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์และยาชาที่ใช้ก่อนทำหัตถการ หากมีประวัติแพ้ควรหลีกเลี่ยงทันที
- ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือกำลังรับประทานยาในกลุ่มนี้ (เช่น Warfarin) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการเลือดออกหรือห้อเลือดรุนแรงบริเวณที่ฉีด
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Diseases) โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรค SLE, Scleroderma หรือกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนตัดสินใจ เพราะการฉีดฟิลเลอร์อาจกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบได้
กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
- ผู้ที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบที่ผิวหนังบริเวณหน้าผาก เช่น มีสิวอักเสบจำนวนมาก เป็นโรคเริม หรืองูสวัดบริเวณใบหน้า ควรรักษาอาการติดเชื้อให้หายสนิทเสียก่อน เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อโรค
- ผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง ผู้ที่คาดหวังว่าการฉีดฟิลเลอร์จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระดูกได้อย่างถาวร หรือต้องการผลลัพธ์ที่เกินกว่าความเป็นไปได้ทางกายภาพ อาจไม่เหมาะกับหัตถการนี้ การปรึกษาเพื่อทำความเข้าใจขอบเขตของผลลัพธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
- ผู้ที่เคยเสริมหน้าผากด้วยซิลิโคนเหลว การฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่เคยมีซิลิโคนเหลวมาก่อน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการอักเสบ ปฏิกิริยาต่อต้าน หรือเกิดพังผืดที่ผิดปกติได้
- ผู้ที่เคยผ่าตัดหรือมีอุบัติเหตุรุนแรงบริเวณหน้าผาก เนื่องจากโครงสร้างใต้ผิวหนังอาจมีพังผืดหรือเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของฟิลเลอร์และเพิ่มความเสี่ยงในการฉีดได้
การให้ข้อมูลที่จริงใจและตรวจสอบข้อห้ามต่างๆ ก่อนทำหัตถการ คือมาตรฐานความปลอดภัยที่ D’ Lovevery Clinic ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกค่ะ
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจทำฟิลเลอร์หน้าผาก
ข้อสงสัย | คำอธิบายและคำแนะนำ | ระดับผลกระทบ/ระยะเวลา |
---|---|---|
อาการบวม | อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหลังฉีด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย | ⭐⭐ (บวมเล็กน้อย 2-3 วัน) |
ความเจ็บ | รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะเดินยา แต่จะมีการแปะยาชาหรือประคบเย็นเพื่อลดความรู้สึก | ⭐ (เจ็บน้อย) |
เทียบกับการฉีดไขมัน | ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนกว่า ปั้นทรงได้ง่ายกว่า และไม่ต้องพักฟื้นนาน | ⭐⭐⭐⭐ (แตกต่างชัดเจน) |
เทียบกับการเสริมซิลิโคน | ฟิลเลอร์มีความเสี่ยงน้อยกว่า ดูเป็นธรรมชาติกว่า และสามารถปรับแก้ได้ง่ายหากไม่พอใจ | ⭐⭐⭐⭐⭐ (แตกต่างมาก) |
การเตรียมตัวก่อนรับบริการ
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ควรเตรียมตัวดังนี้
- งดยากลุ่มต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน, NSAIDs รวมถึงวิตามินและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา อย่างน้อย 7 วันก่อนรับบริการ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่รับประทานเป็นประจำให้แพทย์ทราบโดยละเอียด
- ในวันที่นัดหมาย ควรพักผ่อนให้เพียงพอและงดการแต่งหน้า
การดูแลตัวเองหลังรับบริการ
การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้นและคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด นวด หรือขยับใบหน้าแรงๆ บริเวณหน้าผาก ในช่วง 3-5 วันแรก
- งดการออกกำลังกายอย่างหนัก การเข้าซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายสัมผัสความร้อนสูงประมาณ 3 วัน
- พยายามหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณที่ฉีด
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำและฟูสวยยิ่งขึ้น
- งดการทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ที่มีความร้อนลงสู่ชั้นผิวลึกบริเวณหน้าผากเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาเท่าไหร่
ราคาของการฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลักๆ ได้แก่
- ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) ที่ใช้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา
- ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แต่ละชนิดมีราคาแตกต่างกัน
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานของคลินิก
- ที่ดีเลิฟเวอรี่คลินิก พบแพทย์ประจำ ปรึกษา สอบถามให้แน่ใจ ก่อนตัดสินใจรับบริการได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

ทำไมต้องที่ D’ Lovevery Clinic
- เป็นส่วนตัวและใส่ใจ เราให้ความสำคัญกับเวลาของคุณ ไม่ต้องรอนาน ไม่แออัด แพทย์ให้คำปรึกษาแบบ case-by-case อย่างละเอียด ไม่เร่งรีบ เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด
- สบายใจไม่มีแรงกดดัน เราไม่มีเซลส์คอยปิดการขาย ไม่มีการบังคับซื้อคอร์ส คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างสบายใจที่สุด
- จ่ายสบายเลือกได้ เรามีระบบมัดจำเพื่อจองคิวและโปรโมชั่น สามารถแบ่งจ่ายผ่าน Shopee PayLater และผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
- ดูแลต่อเนื่องโดยแพทย์คนเดิม คุณจะได้ติดตามผลกับแพทย์ที่ทำการรักษาโดยตรง เพื่อความต่อเนื่องและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- รีวิวจริงจากลูกค้าจริง เรานำเสนอรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง ไม่มีการจ้างดาราหรือ Influencer เพื่อให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่เป็นจริง
- แพทย์ประสบการณ์สูงตรวจสอบได้ ทีมแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง สามารถตรวจสอบประวัติและใบประกอบวิชาชีพได้
- คลินิกมาตรฐาน เดินทางสะดวก คลินิกของเราผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข สะอาด ปลอดภัย และมีที่จอดรถฟรีอำนวยความสะดวก
- โปร่งใสและตรวจสอบได้ เราให้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว สามารถเช็คคอร์สคงเหลือได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ใช้เป็นของแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และสามารถตรวจสอบได้ทุกกล่อง
นัดหมายหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- D’ Lovevery Clinic สาขาพาซิโอ ทาวน์ รามคำแหง โทร 064-424-6526
- D’ Lovevery Clinic สาขา Crystal Design Center (CDC) โทร 095-236-4546

“Facial Harmony Filler” ไม่ใช่เทคนิคที่เป็นความลับหรือมีใครเป็นเจ้าของค่ะ แต่มันคือ “ปรัชญา” และ “ศิลปะ” ในการปรับรูปหน้า ที่เปลี่ยนมุมมองจากการ “เติมเป็นจุดๆ” มาเป็นการ “ปั้นและออกแบบใบหน้าแบบองค์รวม” ค่ะ หัวใจสำคัญคือการที่แพทย์ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าทั้งหมด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและสร้างความสมดุลให้ทุกส่วนประกอบบนใบหน้าดูกลมกลืนกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่การเติมเต็มส่วนที่ขาด แต่คือการ คืนความอ่อนเยาว์ สร้างมิติที่สวยงาม และดึงความงามในแบบที่เป็นธรรมชาติที่สุดของคนไข้ ออกมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการย้ำเตือนให้คนไข้เข้าใจว่า การฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ใครก็ฉีดได้ แต่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของแพทย์อย่างแท้จริงค่ะ
คือ โบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อเพื่อ “ป้องกันและลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับ” เช่น เวลายักคิ้ว ในขณะที่ ฟิลเลอร์จะทำหน้าที่ “เติมเต็มร่องลึกถาวร” ที่มองเห็นแม้จะทำหน้าเฉยๆ ค่ะ ในหลายกรณี การใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กันจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผากได้อย่างครอบคลุมและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนดูอ่อนเยาว์อีกครั้งค่ะ
การฉีดฟิลเลอร์ในผู้ชายมีความแตกต่างจากผู้หญิงอย่างชัดเจนในเรื่องของเป้าหมายและเทคนิคค่ะ สำหรับผู้ชายจะเน้นการฉีดเพื่อเสริมสร้างความคมชัดของกรอบหน้า (Masculinization) เช่น การทำให้หน้าผากดูกว้างและตรง, สร้างสันจมูกให้คม, เพิ่มความกว้างและความเหลี่ยมของคาง, และสร้างแนวกรามให้คมชัดเป็นสัน เพื่อส่งเสริมโครงสร้างที่ดูแข็งแรงตามแบบผู้ชาย ในขณะที่ การฉีดในผู้หญิงจะเน้นการสร้างความโค้งมน อ่อนหวาน (Feminization) เช่น การทำให้หน้าผากโหนกนูน, สร้างโหนกแก้มให้ดูอิ่มเอิบ, ทำให้คางเรียวเป็น V-shape และปั้นปากให้อวบอิ่มสวยงามค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในบริเวณอื่นๆ เช่น ใต้ตาและร่องแก้ม เทคนิคและเป้าหมายจะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากปัญหาเกิดจากการยุบตัวของโครงสร้างใต้ผิวหนังเหมือนกัน เป้าหมายหลักจึงเป็นการ “เติมเต็ม” เพื่อแก้ปัญหาร่องลึกและความโทรมให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่ทั้งนี้ แพทย์จะยังคงพิจารณาปริมาณฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละเพศ และใช้เทคนิคการเกลี่ยที่พิถีพิถัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและส่งเสริมเอกลักษณ์ของคนไข้แต่ละคนได้ดีที่สุดค่ะ
ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีในร่างกาย รวมถึงฟิลเลอร์ ที่เป็นกล่องๆ ที่ผ่าน อย. แบบที่เราคุ้นเคยกันนั้นจะค่อย ๆ สลายตัวเองตามกระบวนการปกติของร่างกายค่ะ โดยมีเอนไซม์มาค่อย ๆ ย่อยสลายฟิลเลอร์จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก ๆ สุดท้ายจะถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับของเสียอื่น ๆ จึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีการตกค้างเป็นอันตราย หรือไหลไปสะสมที่อื่นแน่นอนค่ะ
คนไข้หลายคนเข้าใจว่าตอนแรกฟิลเลอร์มีลักษณะเป็น “เจล” เพราะคลินิกต้องเอาหลอดฟิลเลอร์ให้ดูก่อนฉีดอยู่แล้ว และสุดท้ายก็กลายเป็นน้ำ “ถูกขับออกจากร่างกายไป” อันนี้ก็ต้องบอกว่าถูกต้องเหมือนกันค่ะ แต่หมอขอขยายส่วนที่บอกว่ากลายเป็น “น้ำ” นิดนึงค่ะ
จริงๆ แล้วฟิลเลอร์ HA ไม่ได้สลายตัวกลายเป็น “น้ำ” (H₂O) โดยตรงค่ะ แต่กระบวนการที่ถูกต้องคือ
- จากเจลสู่โมเลกุลน้ำตาล: เอนไซม์ในร่างกายจะย่อยสลายเนื้อเจลของฟิลเลอร์ ให้กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายอยู่ในรูปของ “โมเลกุลน้ำตาล” ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสาร Hyaluronic Acid ค่ะ
- ร่างกายนำไปใช้และขับออก: หลังจากนั้น ร่างกายก็จะดูดซึมโมเลกุลน้ำตาลเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ หรือ ขับออกตามกระบวนการขับของเสียปกติของร่างกาย ซึ่งก็คือผ่านทางปัสสาวะหรือเหงื่อนั่นเองค่ะ
ดังนั้น ที่คนไข้เข้าใจว่ามันกลายเป็นของเหลวแล้วถูกขับออกนั้นถูกต้องเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้เป๊ะๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือ จากเจล กลายเป็นน้ำตาล แล้วจึงถูกขับออก นั่นเองค่ะ
มีอะไรสงสัยถามหมอได้อีกเลยนะคะ ยินดีตอบเสมอค่ะ
เบื้องต้นควรฉีด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ก่อนเพื่อให้ผิวฟื้นฟู จากนั้นสามารถทิ้งระยะในการฉีดได้โดยฉีดทุกๆ 6 เดือนนะคะ
การฉีด Profhilo บริเวณใบหน้าจำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 1 ไซริงค์ (2 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 25,000 บาทค่ะ แต่หากเป็นการฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอ จำนวน 1 ครั้ง / ใช้ 2 ไซริงค์ (4 ml.) จะมีราคาอยู่ที่ 45,000 บาทค่ะ
สวัสดีค่ะ D’Lovevery Clinic ยินดีให้บริการค่ะ 😊
ไม่ทราบว่าสนใจสอบถามข้อมูลฟิลเลอร์ JUVEDERM ตัวไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ ตอนนี้เรามีโปรโมชั่นสุดพิเศษ ทุกโมเลกุลราคาเดียวเลยค่ะ
- 1 cc ราคา 18,000 บาท
- 2 cc ราคา 30,000 บาท
- 3 cc ราคา 39,000 บาท
สามารถปรึกษาคุณหมอเพื่อประเมินใบหน้าก่อนได้นะคะ หรือถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม ถามแอดมินได้เลยค่า
โปรแกรม HACa จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Hyaluronic Acid (HA) และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยให้ผิวดูอิ่มฟูและยกกระชับ แต่ยังมีคุณสมบัติเด่นในการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองค่ะ โปรแกรมนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณลูกค้าที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ หรือผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพตามวัย เพราะจะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรงและแน่นฟูขึ้นจากภายในค่ะ
ส่วนโปรแกรม Filler นั้นจะมีส่วนผสมหลักคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งจะเน้นไปที่การเติมเต็มวอลลุ่มที่ขาดหายไปเป็นหลักค่ะ เช่น การเติมเต็มร่องลึก หรือปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม เหมาะสำหรับคุณลูกค้าที่ต้องการเห็นผลลัพธ์เรื่องการเติมเต็มและปรับรูปหน้าอย่างชัดเจน หรือมีปัญหาการยุบตัวของกระดูกใต้ผิวหนัง การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ตรงจุดค่ะ เพื่อให้หมอแนะนำได้แม่นยำยิ่งขึ้น รบกวนคุณลูกค้าเล่าปัญหาผิวที่กังวลให้หมอฟังหน่อยได้ไหมคะ?
การฉีดหน้า ไม่ได้เท่ากับ การทำศัลยกรรมค่ะ การฉีดหน้าอย่างเช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือ Biostimulator จัดเป็น “หัตถการ” ซึ่งเป็นการเสริมความงามแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องวางยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนการผ่าตัดศัลยกรรมค่ะ จุดเด่นคือเป็นการปรับแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ริ้วรอยร่องลึก การปรับรูปหน้า หรือการเติมเต็มผิว ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนแต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ และเมื่อเวลาผ่านไปสารที่ฉีดเข้าไปส่วนใหญ่ก็จะสลายไปได้เองตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างถาวรเหมือนการทำศัลยกรรมค่ะ
ดังนั้นสบายใจได้เลยนะคะ การฉีดหน้าเป็นวิธีเสริมความงามที่ปลอดภัยและได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เพราะช่วยให้เราดูดีขึ้นในแบบที่เป็นธรรมชาติและรวดเร็วทันใจค่ะ อย่างเคสของคุณลูกค้าหลาย ๆ ท่านที่ D’lovevery Clinic ก็เข้ามารับบริการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์เพื่อแก้ปัญหาความกังวลต่าง ๆ บนใบหน้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็สร้างความพึงพอใจให้กับคนไข้เป็นอย่างมาก หลายท่านกลับมาด้วยความมั่นใจและใบหน้าที่ดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้น เหมือนกับรีวิวที่คุณลูกค้าสามารถดูเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของเราเลยค่ะ