ฆสพ.สบส. ๒๙๘๓/๒๕๖๗

ดื่มน้ำน้อย กับไม่ทาสกินแคร์ อะไรทำให้ผิวพังได้มากกว่า

เวลาผิวแห้งมาก สาเหตุหลัก ๆ คือขาดน้ำจากข้างในและขาดเกราะป้องกันจากข้างนอกค่ะ ถ้าต้องเลือกว่าอะไรพังผิวมากกว่า กินน้ำน้อยจะส่งผลรุนแรงกว่าค่ะ เพราะผิวต้องการน้ำหล่อเลี้ยงจากภายใน ถ้าร่างกายขาดน้ำ ผิวจะกร้าน หมอง ไม่สดใส ต่อให้ทาครีมกี่ชั้นก็ช่วยได้แค่ภายนอกเท่านั้น แต่ถ้าไม่ทาครีมแต่กินน้ำเพียงพอ ผิวยังมีความชุ่มชื้นจากภายใน ถึงจะแห้งหรือหยาบขึ้นบ้างแต่ไม่ถึงกับพังหนัก

ดังนั้นหมอแนะนำว่าให้เน้นดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แล้วค่อยเสริมด้วยการทาสกินแคร์เพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องผิวอีกที เพื่อให้ผิวทั้งสวยจากข้างในและได้รับการดูแลจากข้างนอกค่ะ


หมายเหตุ: คำตอบนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลเบื้องต้น กรุณาทำนัดเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรับข้อมูลโดยละเอียด

กินน้ำน้อย VS ไม่ทาครีม อะไรทำให้ผิวแห้งมากกว่ากัน
กินน้ำน้อย VS ไม่ทาครีม อะไรทำให้ผิวแห้งมากกว่ากัน-2

จริง ๆ แล้วทั้ง “กินน้ำน้อย” กับ “ไม่ทาสกินแคร์” สองอย่างนี้ ต่างก็ทำให้ผิวแย่ลงได้ทั้งคู่ค่ะ แต่ถามว่าข้อไหน “พัง” ได้หนักกว่ากัน ส่วนใหญ่ การกินน้ำน้อยจะกระทบต่อสุขภาพผิวโดยรวมมากกว่า!

หมอขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบนี้นะคะ

กินน้ำน้อย

  • ผิวของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าขาดน้ำ ต้นไม้จะแห้ง เหี่ยว ขาดชีวิตชีวา ผิวก็เหมือนกันค่ะ
  • กินน้ำน้อย ผิวจะขาดความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวดูแห้งกร้าน ขาดน้ำ หมอง ไม่สดใส
  • ผิวขาดน้ำ จะเห็นร่องเล็ก ๆ และริ้วรอยชัดขึ้นเร็วขึ้น
  • ดื่มน้ำน้อยนาน ๆ ยังทำให้ระบบขับของเสียในร่างกายไม่ดี ผิวอาจดูหมองคล้ำง่ายขึ้นด้วย
  • ต่อให้ทาสกินแคร์ดีแค่ไหน แต่ข้างในขาดน้ำ ผิวก็ยังขาดความชุ่มชื้นที่แท้จริงค่ะ

ไม่ทาสกินแคร์

  • ถ้าไม่ทาสกินแคร์ (พวกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือครีมล็อกน้ำ) ผิวก็แห้งได้ไว เพราะไม่มีตัวช่วยกักเก็บน้ำไว้
  • โดยเฉพาะคนที่อยู่ห้องแอร์ อยู่ในที่ที่อากาศแห้ง ผิวมักสูญเสียน้ำเร็ว
  • แต่ถ้าเรายังกินน้ำเพียงพอ ผิวข้างในก็ยังสดใสมีน้ำมีนวลอยู่ในระดับนึง ถึงจะขาดความนุ่มลื่นไปบ้าง
  • การไม่ปกป้องผิว (เช่น ไม่ทากันแดด) จะทำให้ผิวเสียสะสมเร็วขึ้น เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่นี่เป็นอีกเรื่องค่ะ

หมอแนะนำ

  • ถ้าต้องเลือกแค่ข้อเดียว การกินน้ำ”พอเพียง”สำคัญกับผิวมากกว่า!!
  • แต่หมออยากให้ทำควบคู่กัน คือ ทั้งดื่มน้ำพอ และใส่ใจการดูแลผิวภายนอกด้วย
  • เพราะทั้งสองอย่างคือ “ทีมเวิร์ก” เพื่อผิวสวย
  • กินน้ำเยอะ แต่ไม่ทาครีม = ผิวขาดเกราะป้องกัน
  • ทาครีมดี แต่ไม่กินน้ำ = ครีมช่วยอะไรไม่ได้มาก

ผิวดีต้องสวยจากข้างในและข้างนอกพร้อมกันค่ะ หมอเชียร์ให้เริ่มจากพฤติกรรมง่าย ๆ ก่อนเลย คือ กินน้ำให้เพียงพอทุกวัน แล้วเสริมด้วยการทาสกินแคร์ที่เหมาะสมกับผิว ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดขึ้นแน่นอนค่ะ


เด็กเนิร์ดมารวมกันตรงนี้

สำหรับน้อง ๆ ที่ชอบการคิดวิเคราะห์แบบเนิร์ด ๆ แต่ก็อยากเข้าใจเรื่องผิวพรรณ หมอจะลองอธิบายด้วยแนวคิดเชิงโมเดลทางคณิตศาสตร์แบบง่าย ๆ ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นนะคะ

การจำลองอัตราการเสื่อมของผิว (Conceptual Skin Aging Model)

ในทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีสมการตายตัวที่แม่นยำเป๊ะ ๆ สำหรับทำนายสภาพผิวในอนาคต เพราะผิวของเราซับซ้อนกว่านั้นมากค่ะ มีปัจจัยพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมส่วนบุคคลที่ส่งผลกระทบ แต่เราสามารถสร้าง “โมเดลเชิงแนวคิด” ขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของการเสื่อมสภาพของผิว (Skin Aging Score – SAS) ซึ่งเป็นคะแนนที่บ่งชี้ระดับความเสียหายหรือความชราของผิว โดยค่า SAS ที่สูงขึ้นหมายถึงผิวที่เสื่อมสภาพมากขึ้นค่ะ

เราสามารถมองการเปลี่ยนแปลงของ SAS ในแต่ละปี ($\Delta SAS$) ได้จากสมการง่ายๆ ดังนี้

$$ \Delta SAS = R_0 + D_E – P_I $$

โดยที่:

  • $R_0$ (Baseline Aging Rate): อัตราการเสื่อมตามวัยพื้นฐาน เป็นค่าคงที่ที่ทุกคนต้องเจอเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ว่าดูแลดีแค่ไหน ผิวก็เสื่อมไปตามกาลเวลาอยู่แล้วค่ะ
  • $D_E$ (External Damage Factors): ปัจจัยเร่งจากภายนอก เช่น รังสี UV, มลภาวะ, อนุมูลอิสระ ยิ่งสัมผัสมาก ตัวแปรนี้ก็ยิ่งเพิ่มค่า SAS ค่ะ
  • $P_I$ (Protective & Internal Factors): ปัจจัยป้องกันและฟื้นฟู ซึ่งรวมถึง:
    • Hydration (น้ำดื่ม): การดื่มน้ำเพียงพอจะลดการขาดน้ำของเซลล์ ทำให้ผิวแข็งแรง ต้านทานความเสียหายได้ดีขึ้น
    • Skincare (การดูแลผิว): การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว, กันแดดช่วยบล็อก $D_E$, และสารบำรุงอื่น ๆ ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟู
    • Genetics & Lifestyle (พันธุกรรมและพฤติกรรม): เช่น การนอนหลับ อาหาร ความเครียด ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน

สถานการณ์จำลอง 10 ปี

ทีนี้ลองมาเปรียบเทียบสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันผ่านไป 10 ปีดูนะคะ

1. “Team Optimal Care” (ดื่มน้ำพอ + ทาสกินแคร์สม่ำเสมอ) ในกลุ่มนี้ ค่า $D_E$ จะถูกลดทอนลงอย่างมากจากกันแดดและสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนค่า $P_I$ จะสูงขึ้นจากน้ำดื่มที่เพียงพอและการบำรุงที่สม่ำเสมอ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของ SAS ในแต่ละปี ($\Delta SAS_{Optimal}$) มีค่าน้อยที่สุด:

$$ \Delta SAS_{Optimal} = R_0 + (D_E \text{ – Effective Protection}) – (P_I \text{ + Optimal Hydration & Skincare}) $$

2. “Team Suboptimal Care” (ดื่มน้ำน้อย + ไม่ทาสกินแคร์ หรือไม่สม่ำเสมอ) ในทางกลับกัน กลุ่มนี้จะเผชิญกับ $D_E$ ที่แทบจะไม่มีตัวช่วยป้องกัน ทำให้ผลกระทบจากแสงแดดและมลภาวะเต็มที่ และ $P_I$ ก็ต่ำลงมากจากการขาดน้ำและการไม่บำรุงผิว ทำให้ $\Delta SAS_{Suboptimal}$ สูงกว่ามากในแต่ละปี:

$$ \Delta SAS_{Suboptimal} = R_0 + (D_E \text{ + No Protection}) – (P_I \text{ – Dehydration & No Skincare}) $$

ผลลัพธ์หลัง 10 ปี

เมื่อเราสะสมค่า $\Delta SAS$ ไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 10 ปี (ลองคิดเป็นการรวมผลรวม $\sum \Delta SAS$) หลัง 10 ปี: $$ SAS_{10 \text{ Years}} = SAS_{\text{Initial}} + \sum_{t=1}^{10} \Delta SAS_t $$

จะพบว่า $SAS_{10 \text{ Years}}$ ของ “Team Optimal Care” จะมีค่าต่ำกว่า “Team Suboptimal Care” อย่างเห็นได้ชัดเจนมากค่ะ นั่นหมายถึงผิวที่ดูอ่อนเยาว์กว่า มีริ้วรอยน้อยกว่า กระจ่างใสและชุ่มชื้นกว่ามาก ๆ

นี่เป็นเพียงโมเดลเชิงแนวคิดที่ทำให้เห็นภาพว่า การดูแลผิวที่ดี (โดยเฉพาะการดื่มน้ำและการบำรุง) จะช่วยลด “อัตราเร่ง” ของความเสื่อมสภาพผิว ทำให้ผลลัพธ์สะสมเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยล่ะค่ะ

คำถามอื่นๆที่พบบ่อย