เลือดกำเดาไหล เพราะฝุ่น PM 2.5 จริงไหม
- การอักเสบของเยื่อบุจมูก (Nasal Inflammation): ฝุ่น PM 2.5 มีสารเคมีและโลหะหนักบางตัวอยู่ เช่น ซัลเฟต ไนเตรต หรือสารพิษอื่นๆ ที่ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกของเราบวมและอักเสบขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยแตกง่าย
- กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแบบผิดปกติ: ฝุ่นขนาดนี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้ร่างกายผลิตสารก่อการอักเสบ เช่น ฮีสตามีน และไซโตไคน์ ส่งผลต่อการบวมและเลือดออกได้
- เส้นเลือดฝอยใต้เยื่อบุจมูกอ่อนแอขึ้น: เพราะระดับออกซิเจนในจมูกอาจลดลงจากผลของ PM 2.5 ที่กีดขวางการทำงานของเซลล์ รวมถึงมีสารพิษในฝุ่นที่ทำลายผนังของเส้นเลือดโดยตรง ทำให้แตกง่ายขึ้น
- เพิ่มความไวของเยื่อบุจมูก: เช่น หากจามแรงๆ สั่งน้ำมูก หรือแม้แต่การขยี้จมูกเล็กน้อย ก็อาจทำให้เส้นเลือดฝอยแตก เกิดเลือดกำเดาไหลได้ค่ะ
เลือดกำเดาไหล เป็นเพียงสัญญาเริ่มต้น
เลือดกำเดาเป็นสัญญาณหนึ่งที่เตือนว่าร่างกายเราเริ่มได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จมูก (Allergic Rhinitis) หรือไซนัสอยู่แล้ว จะยิ่งมีโอกาสเกิดอาการเลือดกำเดาได้ง่ายขึ้น เพราะเยื่อบุจมูกอาจไวต่อสารกระตุ้นพวกนี้มากกว่าคนปกติค่ะ
ป้องกันยังไงดี
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มี PM 2.5 สูง ถ้าจำเป็นจริงๆ ควรใส่หน้ากาก N95 เพื่อป้องกันฝุ่น
- หากอยู่นอกบ้านเมื่อกลับมาควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือแบบอ่อน (Normal Saline) เพื่อล้างฝุ่นออกจากโพรงจมูก
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน เอาให้เหมาะสมกับขนาดห้องด้วยนะคะ โดยเฉพาะห้องนอน ห้องทำงาน ที่ใช้ชีวิตอยู่นานๆหลายชั่วโมง เพื่อกรอง PM 2.5 ออกจากอากาศรอบตัว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้เยื่อบุโพรงจมูกมีความชุ่มชื้น ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยแตกหรือเลือดไหล
ถ้าเลือดกำเดาไหลบ่อยขึ้นหรือมีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น ไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หรือหายใจไม่อิ่ม หมอแนะนำให้มาตรวจอย่างละเอียดนะคะ เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าฝุ่น PM 2.5 กำลังส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจในระดับลึกกว่านี้ค่ะ