การที่คนในครอบครัวเป็นคีลอยด์ง่ายเหมือนกัน บ่งชี้ว่าเรามี “แนวโน้มทางพันธุกรรม” ที่ร่างกายจะซ่อมแซมบาดแผลได้ดีเกินไปค่ะ
หมอขอเปรียบเทียบง่ายๆ แบบนี้นะคะ เวลาเรามีแผล ร่างกายจะส่งทีมช่าง (เซลล์ไฟโบรบลาสต์) ไปสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมแผลให้ปิดสนิท สำหรับคนทั่วไป พอแผลปิดสนิทดีแล้ว ทีมช่างก็จะหยุดทำงาน แต่สำหรับ คนไข้ที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์ ทีมช่างนี้จะขยันเป็นพิเศษค่ะ พวกเขาไม่ยอมหยุดทำงาน ยังคงสร้างคอลลาเจนต่อไปเรื่อยๆ จนเนื้อเยื่อที่ซ่อมแซมนั้นมัน “นูน” และ “ขยายขอบเขต” เกินจากแผลเดิมไปมาก กลายเป็นคีลอยด์ที่เราเห็นกันนั่นเองค่ะ
ดังนั้นคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า “มีวิธีแก้ไขไหม” หมอต้องตอบตามตรงว่า เรา “ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม” นี้ได้ แต่ข่าวดีก็คือ เรามีวิธี “ควบคุมและจัดการ” กับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ ค่ะ โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก

1. การป้องกัน คือหัวใจสำคัญที่สุด
สำหรับคนไข้และครอบครัวที่มีภาวะนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าการรักษาคือการป้องกันค่ะ
- แจ้งให้แพทย์ทราบเสมอ ไม่ว่าจะทำหัตถการอะไรก็ตามที่มีโอกาสเกิดแผล เช่น การผ่าตัด การเจาะหู การสัก หรือแม้แต่การทำเลเซอร์บางชนิด ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอว่าเราเป็นคีลอยด์ง่าย เพื่อให้แพทย์วางแผนการดูแลแผลอย่างดีที่สุด
- หลีกเลี่ยงการสร้างแผลที่ไม่จำเป็น เช่น การเจาะร่างกายในตำแหน่งที่เสี่ยง, การสัก, การแกะสิวหรือเกาจนเป็นแผลลึก
- นวัตกรรมใหม่ในการป้องกันตั้งแต่แผลยังสด (การฉีด PN เช่น Rejuran, Plinest)
นี่คือประเด็นที่คนไข้กังวลมากที่สุดค่ะ ว่าถ้าเลี่ยงแผลไม่ได้ เช่น การผ่าคลอด หรือการผ่าตัดอื่นๆ จะทำอย่างไร? ปัจจุบันเรามีตัวช่วยที่ดีมากคือ การฉีด PN (Polynucleotide) ค่ะ
PN คือสารสกัดจาก DNA ปลาแซลมอน , ปลาเทราต์ ที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อฉีดเข้าไปบริเวณขอบแผลสดๆ (เช่น หลังเย็บแผลเสร็จทันที) มันจะเข้าไปทำหน้าที่เหมือนเป็น “ผู้ควบคุมการก่อสร้าง” ที่ชาญฉลาด คอยบอกทีมช่างของร่างกายว่า “ให้ซ่อมแซมแผลอย่างเป็นระเบียบนะ อย่าสร้างคอลลาเจนสะเปะสะปะ”
มีงานวิจัยรองรับค่ะ ว่า PN สามารถช่วย ลดการอักเสบของแผล และ ปรับสมดุลกระบวนการสร้างคอลลาเจน ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เซลล์เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ผลลัพธ์คือแทนที่จะเกิดแผลเป็นนูนแข็ง ร่างกายจะสร้างแผลเป็นที่เรียบเนียนและใกล้เคียงกับผิวปกติมากที่สุด จึงเป็นวิธีที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ที่วางแผนผ่าคลอด หรือเคสผ่าตัดอื่นๆ ที่กังวลเรื่องแผลเป็นคีลอยด์ในอนาคตค่ะ
2. การรักษาคีลอยด์ที่มีอยู่แล้ว
สำหรับแผลเป็นคีลอยด์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และระยะของคีลอยด์ค่ะ โดยส่วนใหญ่มักเป็นการรักษาแบบผสมผสาน
- การฉีดยาเข้าไปโดยตรง (Intralesional Corticosteroid Injection) เป็นวิธีมาตรฐานและได้ผลดีที่สุดค่ะ ตัวยาจะเข้าไป สั่งให้ทีมช่างที่ขยันเกินไปนั้น “หยุดทำงาน” และค่อยๆ สลายตัวไป ทำให้คีลอยด์ที่นูนแข็งค่อยๆ ยุบตัวลงและนิ่มขึ้น อาจต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์จนกว่าแผลจะเรียบเป็นที่น่าพอใจ
- การใช้เลเซอร์ (Laser Therapy) Pico, Vbeam Laser จะช่วยลดความแดงของคีลอยด์ได้ดีมาก ส่วนเลเซอร์ชนิดอื่นๆ อาจช่วยให้แผลเรียบเนียนขึ้นได้ การใช้เลเซอร์มักทำควบคู่ไปกับการฉีดยาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
- การผ่าตัด (Surgical Excision) วิธีนี้ต้องระวังอย่างยิ่งค่ะ! เพราะการผ่าตัดเอาคีลอยด์ออกไปเฉยๆ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้คีลอยด์กลับมาใหม่และใหญ่กว่าเดิม ดังนั้นการผ่าตัดจึงมักจะทำในเคสที่ก้อนใหญ่มากๆ และ จำเป็นต้องทำร่วมกับการฉีดยาสเตียรอยด์ทันที หรือการรักษาอื่นๆ ตามหลังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำค่ะ






