
ทำไมต้องฉีดโบท็อกซ์ที่ดีเลิฟเวอรี่คลินิก
โบท็อกซ์ คืออะไร?

วิธีการทำงานของ Botulinum Toxin
เมื่อแพทย์ฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการรักษาแล้ว สารโบทูลินั่ม ท็อกซินจะเข้าไปจับที่ปลายประสาททำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมายังกล้ามเนื้อได้ กล้ามเนื้อจะเริ่มผ่อนคลาย ทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ ดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทำให้เกิดริ้วรอยใหม่ การฉีดที่ถูกต้องจะไม่ทำให้ใบหน้าดูแข็งเกร็ง ยังสามารถแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้ตามปกติ หลังจากฉีดจะเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 2 – 3 วัน แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นหลังจากฉีดไปแล้ว 7 วัน การฉีดจะทำให้ใบหน้ากระชับขึ้น ร่องลึกดูตื้นและจางลง โดยผลการรักษาจะอยู่ได้นาน 6 – 12 เดือน

ฉีดโบท็อกซ์บวมไหม ปลอดภัยจริงหรือ?
Botulinum Toxin คือยาชนิดแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนยาเพื่อใช้รักษาริ้วรอย ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทย และของสหรัฐอเมริกา จึงมีการใช้โบท็อกซ์อย่างแพร่หลายมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว มีผลการศึกษาวิจัยจากสมาคมศัลยกรรมเพื่อความงามของสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความปลอดภัย และผลลัพธ์ในการรักษาของโบท็อกซ์เป็นจำนวนมาก ทำให้การศัลยกรรมความงามด้วยวิธีการนี้ได้รับความนิยม เป็นอันดับต้น ๆ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544

ฉีดโบท็อกซ์จะมีผลข้างเคียงอะไรได้บ้าง?
- หน้าแข็งกระด้าง ไร้อารมณ์ เกิดจากการฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดปัญหาใบหน้าแข็งตึง จนไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ ไม่สามารถแสดงอารมณ์ หัวเราะ หรือยิ้มได้ ทำให้หน้าตาดูแข็งทื่อคล้ายกับหุ่นยนต์ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหากหมอที่ให้บริการไม่มีความชำนาญเพียงพอ
- หน้าผากตก และแข็งตึง เกิดเมื่อฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่มากเกินไปบริเวณหน้าผาก ทำให้รู้สึกตึงและหนักที่หน้าผาก หน้าผากจะดูตกลง ส่งผลกับการยักคิ้ว และอาจทำให้ดวงตาดูตกลง ดูเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา
- หางคิ้วกระดก หลังฉีดโบท็อกซ์แล้วดูแลไม่เหมาะสม อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคิ้วยกตัวขึ้น ทำให้คิ้วเลิกสูงขึ้น ทำให้หน้าตาดูแปลกไป และอาจทำให้เกิดรอยย่นที่ด้านข้างคิ้วเพิ่มขึ้นอีกด้วย
- หนังตาตก เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากความไม่ชำนาญของแพทย์ จนฉีดผิดจุดและทำให้กล้ามเนื้อที่หยุดทำงานเกิดอาการอัมพาต อาจทำให้หนังตาตกลง หน้าจึงดูอ่อนล้าเหมือนคนที่กำลังง่วงนอนตลอดเวลา หากผลข้างเคียงร้ายแรงอาจทำให้ลืมตาได้ไม่เท่ากัน สายตาพร่ามัว แต่จะเป็นผลข้างเคียงเพียงชั่วคราวและสามารถแก้ไขได้
- ผิวมีรอยช้ำ หน้าชา เป็นผลข้างเคียงจากเข็มที่ใช้ฉีดโบท็อกซ์ เพราะเมื่อเข็มถูกฉีดลงไปในผิว จะทำให้ผิวเกิดรอยช้ำ และชาได้ ซึ่งขึ้นกับความชำนาญและการระมัดระวังของแพทย์
- อาการของโรคโบทูลิซึม เนื่องจากโบท็อกซ์เป็นสารสกัดที่ได้จากแบคทีเรีย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดเมื่อได้รับสารชนิดนี้คือร่างกายแสดงอาการว่าถูกสารดังกล่าวคุกคาม อาการสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย เช่นเกิดอาการอ่อนแรงที่แขน ขา มองเห็นภาพซ้อน หรือมองได้ไม่ชัด เสียงหาย หายใจลำบาก หายใจถี่ ๆ เป็นต้น
- ใบหน้าบางส่วนมีลักษณะอัมพาต การทำงานของโบท็อกซ์ คือการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดลงไป เกิดเป็นอาการอัมพาตชั่วคราว แต่บางครั้งฤทธิ์ของสารที่ฉีดเข้าไปอาจกระจายออกไปมากกว่าที่ต้องการ ทำให้กล้ามเนื้อข้างเคียงเกิดอาการชา ไม่สามารถขยับได้ตามต้องการ เกิดอาการอัมพาตชั่วคราวได้
- ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด มักเกิดเมื่อฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกราม แต่ตำแหน่งที่ฉีดคลาดเคลื่อน ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่หน้าดึงมุมปากจนม่ามารถยกได้เท่ากัน หรือปากเบี้ยวเวลายิ้มได้
- เจ็บที่ใบหน้า ปวดศีรษะ ผิวเป็นผื่นแดง วิงเวียนศีรษะ หรืออาเจียน เป็นผลข้างเคียงจากโบท็อกซ์ที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เพื่อความปลอดภัย
ผลข้างเคียงโบท็อกซ์มีโอกาสเกิดขึ้นมากหรือน้อย มักขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ และคุณภาพของตัวยาโบท็อกซ์ ซึ่งมีคลินิกเถื่อนจำนวนมากที่ทำอย่างผิดกฎหมาย เพื่อขายการทำโบท็อกซ์ในราคาที่ถูกเท่านั้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ให้บริการควรตรวจสอบใบรับรองของคลีนิคและตัวยาที่ใช้ให้ดี เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่พึงปราถนา

เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วควรทำอย่างไร?
โดยมากผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์จะค่อยหายไปเอง แต่อาจกินเวลาเป็นเดือน ดังนั้นผู้ที่เกิดผลข้างเคียงควรรอให้ผลข้างเคียงหายไปเองเพื่อความปลอดภัย แต่อาการบางอย่างเช่นหนังตาตก เวียนศรีษะ หรืออาเจียนควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ในทันที

จะเห็นผลการรักษาหลังฉีดโบท็อกซ์ลดกรามได้อย่างไร
เมื่อฉีดโบท็อกซ์กรามไปนานประมาณ 14 วัน จึงจะเริ่มเห็นผล โดยกล้ามเนื้อจะนิ่มลง เมื่อกัดฟันกล้ามเนื้อกรามจะไม่เด้ง ซึ่งผลลัพธ์นี้จะอยู่ได้นาน 2 – 3 เดือน โดยข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกราม จะทำให้เห็นผลได้เร็ว ง่ายและใช้เวลาในการทำไม่นาน กรณีที่ใช้ตัวยาที่มีคุณภาพ ตัวยาจะสลายหมดไปเอง โดยไร้สารตกค้างจึงมีความปลอดภัยสูง

สามารถฉีดโบท็อกซ์ปรับรูปหน้าบริเวณใดได้บ้าง?
โบท็อกซ์สามารถฉีดได้ทั่วใบหน้า และลำตัว แต่ในกรณีการรักษาบริเวณใบหน้า สามารถใช้ตามตำแหน่งต่าง ๆ ได้ดังนี้
- หน้าผาก
- คิ้ว
- หางตา
- โหนกแก้ม
- แกนจมูก
- ปีกจมูก
- กราม

การฉีดโบท็อกซ์ ต้องพักฟื้นไหม?
- พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่รับการรักษาทุก ๆ 15 นาที ครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อให้โบท็อกซ์สามารถกระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่นกรณีฉีดรอบดวงตา ควรยิ้มทุก ๆ 15 นาที เป็นเวลา 4 ชั่วโมงแรกหลังรับการรักษา
- หลีกเลี่ยงการนอนราบ หรือเอนศีรษะกับพื้นนานประมาณ 4 ชั่วโมงแรก หลังการรักษา เพื่อป้องกันการไหลกระจายของตัวยาไปสู่กล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ จนเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการได้
- แนะนำให้ล้างหน้าและทาครีมบำรุง หลังการรักษาไปแล้ว 4 ชั่วโมง แต่กรณีการใช้เครื่องสำอางค์ควรทำในวันถัดไปแทน
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังการฉีดโบท็อกซ์ 3 – 5 วัน
กรณีเกิดรอยช้ำ แนะนำให้ทำหารประคบเย็นภายใน 24 ชั่วโมงหลังการรักษา จากนั้นจึงประคบด้วยน้ำอุ่นต่อ - หลังการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกราม ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีเนื้อแข็ง ขนมขบเคี้ยว หมากฝรั่ง หรืออาหารที่ต้องใช้ฟันขบกัดมาก ๆ
- หลีกเลี่ยงไม่ทำการนวดหน้า ขัดหน้า หรือทำเลเซอร์บริเวณใบหน้า หลังการรักษาด้วยโบท็อกซ์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
หลีกเลี่ยงการกดคลึงบริเวณที่ทำการฉีดโบท็อกซ์ หลังการรักษาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ - รอยนูนหลังการฉีดจะค่อย ๆ จางลงเองภายใน 2 – 3 ชั่วโมงหลังการฉีด แต่สามารถประคบเย็นเพื่อให้หายเร็วขึ้นได้

ฉีดโบท็อกซ์กี่วันเห็นผล?
ปัจจัยการเห็นผลในการรักษาด้วยโบท็อกซ์นั้นขึ้นกับหลายปัจจัย ทั้งความบริสุทธิ์ของตัวยาที่แตกต่างกันในแต่ละแบรนด์ ตำแหน่งการฉีดตามปัญหาที่ต้องการรักษา ความเหมาะสมของโดสยาที่ใช้ ภาวะดื้อยา รวมไปถึงการดูแลและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้รับการรักษาด้วย เพราะบางคนเมื่อเห็นผลช้า อาจรู้สึกเป็นกังวลได้
- การฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณกราม สามารถเห็นผลได้เต็มที่หลังการฉีดไปประมาณ 4 – 6 สัปดาห์หลังฉีด ก่อนที่กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดจะค่อย ๆ นิ่มและเล็กลง
- การฉีดเพื่อลดริ้วรอย จะรู้สึกผิวตึง ๆ หลังฉีดนานประมาณ 3 – 7 วัน และจะเห็นผลการรักษาอย่างเต็มที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีด
- การฉีดเพื่อยกกระชับหน้า จะเริ่มเห็นผลการรักษาอย่างเต็มที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ หลังรับการรักษา
- การฉีดเพื่อลดเหงื่อ จะเห็นผลหลังการฉีดโบท็อกซ์นาน 2 – 4สัปดาห์

ระยะเวลาการเห็นผลที่ต่แตกางกัน เนื่องจากตำแหน่งการรักษาที่แตกต่างกัน เพราะขนาดกล้ามเนื้อมีความต่างกัน จึงส่งผลต่อระยะเวลาการรักษา เพราะกลไกของโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทต่อกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ๆ แตกต่างกัน
ฉีดโบท็อกซ์อยู่ได้นานไหม?
ปกติแล้วหลังฉีดโบท็อกซ์ ผลการรักษาจะอยู่ได้นานประมาณ 3 – 8 เดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวยา รวมถึงการกิจวัตรประจำวัน และการดูแลของผู้รับการรักษา ตัวยาโบท็อกซ์จะสลายได้เร็วขึ้นเมื่อสัมผัสความร้อน หรือกล้ามเนื้อต้องเคลื่อนไหวบ่อย ๆ เช่นการแสดงสีหน้า การเคี้ยวอาหาร จะส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวได้เร็วขึ้น การดูแลหลังจากฉีดโบท็อกซ์จึงมีความสำคัญ

ริ้วรอยจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากหยุดฉีดโบท็อกซ์?
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์นั้นไม่ถาวร ดังนั้นเมื่อหยุดการรักษา ริ้วรอยจะค่อย ๆ กลับคืนมา เพราะกล้ามเนื้อที่คลายตัวจากฤทธิ์ของโบท็อกซ์จะเริ่มหดตัวเหมือนเดิม ริ้วรอยจะกลับมาแต่ไม่เพิ่มหรือลึกขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากรับการรักษากล้ามเนื้อจะขยับได้น้อยลง ใบหน้าจึงไม่เกิดริ้วรอยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดี สามารถฉีดโบท็อกซ์ซ้ำใหม่ โดยควรเว้นระยะห่างจากกันครั้งละประมาณ 3 – 4 เดือน เพื่อไม่ให้ร่างกายดื้อกับตัวยา จนไม่เกิดผลลัพธ์ในการรักษาครั้งต่อ ๆ ไป

ระหว่างอเมริกากับเกาหลี โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดีที่สุด?
โบท็อกซ์เกาหลีและอเมริกา แต่ละยี่ห้อนั้นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งคุณสมบัติ ความบริสุทธิ์ของตัวยา ประเภทของ protein complex และขนาดของ molecule complex รวมถึงวิธีการเก็บรักษา
ตัวอย่างโบท็อกซ์อเมริกา ยี่ห้อ Allergan
Allergan ถือเป็นต้นกำเนิดของโบท็อกซ์ ผลิตมาแล้วกว่า 40 ปี และยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ข้อดีคือมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% โอกาสในการดื้อยาเมื่อใช้ไปหลายครั้งจึงน้อยมาก และยาจะกระจายตัวน้อย แพทย์สามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของตัวยาได้แม่นยำ มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าของเกาหลีประมาณ 20% แต่มีข้อเสียที่ราคาสูงกว่าของเกาหลีมาก จึงต้องระมัดระวังของปลอมให้ดี

ตัวอย่างโบท็อกซ์เกาหลี AESTOX, HUGEL
เป็นตัวยาที่เริ่มมีบทบาทในวงการความงามมาแล้วประมาณ 10 ปี ได้รับความนิยมเนื่องจากมีราคาถูก ปัจจุบันมีหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองจากอย. เช่นยี่ห้อ HUGEL, Aestox, Nabota ความบริสุทธิ์โดยเฉลี่ยอคือ 98.7% ข้อดีคือราคาที่ไม่แพง และออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างไว แต่ข้อเสียคือระยะเวลาในการออกฤทธิ์สั้นกว่าตัวยาจากอเมริกา เฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว วิธีการดูแลและกิจวัตรประจำวันของแต่ละคน


อยากฉีดโบท็อกซ์ตรงไหน คลิกอ่านเพิ่มเติมได้เลย
ความรู้เรื่องโบท็อกซ์

SCULPTRA ดีไหม สรุปแบบเข้าใจง่าย
Sculptra Collagen Biostimulator เป็น 1 ในแบรนด์แห่งนวัตกรรมยุคใหม่ล่าสุดที่ช่วยปลุกผิวสวย เติมเต็มความเต่งตึง ความเรียบเนียนไร้ริ้วรอยเหมือนย้อนคืนอายุให้ผิวด้วย Biostimulator โดยแบรนด์นี้หมอบอกก่อนเลยนะคะว่าได้รับการรับรองผ่าน อย.ไทยมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สาวและหนุ่ม ๆ หลายคนยังไม่คุ้นหูคุ้นตากันมากเท่าไหร่ คงสงสัยและหารีวิวข้อมูลกันเยอะว่า Sculptra ดีจริงไหม Sculptra ต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ตรงไหน และมีหลักการทำงาน รวมถึงให้ผลลัพธ์ข้อดีเป็นยังไง คำถามที่เคยสงสัยหรือเอ๊ะใจทุกคำถามหมอจะมาบอกรายละเอียดให้หายข้องใจกันในบทความนี้ทั้งหมดเลยค่ะ Sculptra Biostimulator คืออะไร ? Biostimulator เป็นสารกระตุ้นที่ฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อสร้างกระบวนการฟื้นฟูคอลลาเจนหรือสร้างใหม่ขึ้นมาเอง เป็นนวัตกรรมที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเป็นธรรมชาติ และใกล้เคียงกระบวนการธรรมชาติมากที่สุดตามกระบวนการสร้างของร่างกาย ถือเป็นความก้าวหน้าของวงการความงามเลยก็ได้ค่ะ คอลลาเจนสำคัญกับผิวยังไง ? รู้ก่อนได้เปรียบกับคอลลาเจนองค์ประกอบสำคัญของผิวที่หลายคนชอบเมิน หมอเชื่อว่าหลายคนรู้จักคอลลาเจน แต่ไม่รู้ว่าคอลลาเจนหน้าตาเป็นยังไง คอลลาเจนมีหน้าที่อะไร และคอลลาเจนสำคัญกับผิวยังไง โดยคอลลาเจนมีหน้าตาคล้ายเชือกถักเรียงกันอยู่หลายชั้น ทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิวและข้อต่ออย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญช่วยให้ผิวยืดหยุ่น แข็งแรง อิ่มน้ำ ชุ่มชื้น ซึ่งร่างกายจะสูญเสียต้นกำเนิดการสร้างคอลลาเจนและคอลลาเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งปริมาณและความแข็งแรงตามอายุจนแสดงออกมาในรูปแบบของริ้วรอย หน้าหย่อนคล้อย ใบหน้าไม่เรียบเนียน ความไม่กระชับของผิว ผิวไม่แข็งแรง ผิวขาดน้ำ หรือถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย

วิธีตรวจสอบโบท็อกซ์อเมริกา ของแท้ ของปลอม ดูตรงไหนบ้าง
โบท็อกซ์ของแท้ อเมริกา ตรวจสอบตรงไหนบ้างถึงจะไม่โดนหลอก โดนย้อมแมว ระวังหน้าจะพังได้นะ

ฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดีที่สุด ปลอดภัย มีหลักการเลือกแบบไหน หลายคนอาจจะไม่เคยรู้
สาระน่ารู้เรื่องความงาม มีมาอัพเดทให้ทุกสัปดาห์ ตามเทรนด์ให้ทัน รู้ก่อนสวยได้ที่นี่

โบท็อกซ์ HUGEL ดีไหม ทำไมราคาถูก ดีกว่ายี่ห้ออื่นอย่างไร เช็คของแท้ของปลอมยังไง
เช็คกันหน่อย อย่าให้โดนหลอก จนหน้าต้องดื้อโบท็อกซ์ ของแท้ต้องตรวจสอบได้ และได้ตรวจสอบก่อนฉีดทุกเคส

คอลลาเจน คืออะไร ทำไมทุกโปรแกรมของคลินิกความงาม ต้องมีคำว่า “เสริมสร้างคอลลาเจน”
คอลลาเจน คืออะไร สำคัญต่อผิวอย่างไร โดยสรุปสั้นๆได้ว่า คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นกับเนื้อเยื่อภายในร่างกาย โดยพบได้ในผิวหนัง เส้นเอ็น หลอดเลือด กล้ามเนื้อ และมีหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น รวมถึงช่วยในการกำจัดและซ่อมแซมผิวหนังเวลาเกิดการบาดแผล ส่วนใหญ่จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น (โดยเฉลี่ยจะเริ่มที่อายุ 45 ปี) (คอลลาเจนจะมีในร่างกายคนเรามากที่สุด คือช่วงอายุ 25 ปี) ทำให้ผิวหนังดูหย่อนคล้อยได้ ดังนั้นการดูแลและเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาความสวยและสุขภาพของผิวหนังในระยะยาวในอนาคต จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทุกบริการในคลินิกความงาม จะต้องมีส่วนไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวของเรานั่นเองค่ะ ผิวขาดคอลลาเจน จะเป็นอย่างไร คอลลาเจนเป็นโปรตีนธรรมชาติที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกายเราโดยเฉพาะในเนื้อเยื่อผิวหนัง ซึ่งในผิวหนังมีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังเพื่อให้ผิวดูมีสุขภาพดี แต่เมื่อเราอายุมากขึ้นแล้วเนื้อเยื่อผิวหนังจะเริ่มลดลง ทำให้ผิวหน้าดูเหี่ยวแห้งและเกิดริ้วรอยเพิ่มขึ้นเนื่องจากคอลลาเจนไม่เพียงพอสำหรับการรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนัง แต่ความจริงคือว่าคอลลาเจนที่เหลืออยู่นั้น ไม่สามารถเพิ่มประมาณได้เอง เพื่อให้เพียงพอต่อรักษาให้ผิวกลับมาสวย ใส เปล่งปลั่งดังเดิมได้ แต่หากมีการเติมคอลลาเจนให้กับผิว ไม่ว่าจะเป็นการทาน การฉีด หรือการทา จะช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันการลดลงของเนื้อเยื่อผิวหนังรวมถึงลดการเกิดริ้วรอย โดยมีงานวิจัยชัดเจน พิสูจน์ได้ว่าผิวหน้าของเราจะสุขภาพดีขึ้นหลังใช้ผลิตภัณฑ์ หรือรับบริการที่มีการเสริมสร้างคอลลาเจน แต่ยังไงผิวคนเราก็ยังต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา เพียงแต่สามารถยืดระยะเวลาให้ช้าลงได้ ดังนั้นคอลลาเจนเป็นเพียงตัวช่วยที่ช่วยผิวหน้าปรับปรุงไม่ใช่ตัวยาวิเศษ ที่ช่วยรักษาคงสภาพผิวเด็กไว้ได้ตลอดไป คอลลาเจนแบบทา คืออะไร การทาคอลลาเจนโดยตรงทางผิวหนังจะทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและมีความนุ่มนวลมากขึ้น แต่อย่าลืมที่ว่าคอลลาเจนมีขนาดโมเลกุลใหญ่มาก จึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปยังชั้นผิวหนังชั้นในได้ ดังนั้น ส่วนมากได้ความชุ่มชื้น ยังไม่ถึงขั้นสามารถลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยได้ดีมากนัก ในปัจจุบันมีวิธีการทาคอลลาเจนโดยใช้เทคโนโลยีนาโนเอ็มเตอร์
โปรโมชั่นที่คุณอาจสนใจ
